สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 104 เด็กน้อย
กว่าท่านโหวกู้และหวงจงเดินทางกลับเวินเฉวียนซานก็มืดค่ำแล้ว
เดิมทีพวกเขาวางแผนจะกลับเร็วกว่านี้ แต่พวกเขาขยับตัวแทบไม่ได้เลย
พอกู้จิ่นอวี้เห็นร่างสะบักสะบอมของทั้งสองคนก็ถึงกับร้องอุทาน “ท่านพ่อ องครักษ์หวง เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ท่านโหวกู้ไม่อาจแบกหน้าบอกความจริงได้ จึงกุเรื่องขึ้น “อุบัติเหตุตอนเดินทางน่ะ”
กู้จิ่นอวี้ถามด้วยความตื่นตระหนก “รถม้าเป็นอะไรไปรึ ไฉนถึงเกิดอุบัติเหตุได้”
“หวงจงเมาแล้วขับน่ะสิ” ท่านโหวกู้เอ่ยพลางจ้องเขม็งไปที่หวงจง
“…”
อยู่ดีๆ ก็กล่าวหากันเสียอย่างนั้นเลยนะท่าน!
กู้จิ่นอวี้เลิกคิ้วแล้วเอ่ยถาม “เหตุใดองครักษ์หวงถึงดื่มเหล้าเล่าเจ้าคะ”
สายตาหวงจงเหล่ไปที่ท่านโหวกู้ พลางตอบ “ท่านโหวให้ดื่มขอรับ”
…
ในที่สุดก็ถึงช่วงวันหยุดปลายเดือนเสียที กู้เสี่ยวซุ่นที่ระเห็ดมาพักที่หอพักสำนักบัณฑิตอยู่นานจะได้กลับบ้านแล้ว!
แม้เขาจะไม่ได้อยู่ที่เรือนก็จริง แต่เขายังคงจำเรื่องที่เขาเคยก่อไว้ได้เป็นอย่างดี เพราะเสี่ยวจิ้งคงมักจะคาบข่าวมารายงานให้เขาฟังอยู่ตลอด
ตั้งแต่ที่จิ้งคงมาเรียนหนังสือ พวกเขาทั้งสามคนมักจะรวมตัวกินข้าวกลางวันด้วยกันทุกวัน
เดิมโรงเรียนของจิ้งคงมีอาการกลางวันแจกให้ แต่อาหารของโรงเรียนมีน้ำมันหมูผสมอยู่ เขาจึงกินไม่ได้ เซียวลิ่วหลังจึงต้องพาเขาออกไปกินข้าวข้างนอก
ด้วยความเป็นพี่ใหญ่ ก็เลยต้องพาเด็กๆ ออกมาทานข้าวด้วยกัน
เวลาอยู่ในห้องเรียน จิ้งคงจะวางตัวเรียบร้อยไม่พูดไม่จา แต่กลับพูดน้ำไหลไฟดับเวลาอยู่กับกู้เสี่ยวซุ่น เขาจึงเลยรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือน
ครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ากู้เจียวไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพวกตระกูลกู้ กู้เสี่ยวซุ่นมีอาการตกใจจนแทบจะเป็นลม และเมื่อเขารู้เรื่องที่กู้เหยี่ยนย้ายเข้ามาอยู่กับกู้เจียว กู้เสี่ยวซุ่นเกิดสะดุ้งจนหัวแทบจะหลุดออกจากอก!
เสี่ยวจิ้งคงแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนเวลาพูดถึงกู้เหยี่ยน
“แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้น เจ้ามีห้องเป็นของตัวเองแล้ว ต่อไปเจ้าก็มาอยู่ที่นี่ได้แล้ว!”
กู้เสี่ยวซุ่นทำหน้าเบิกบานในทันใด
ไม่สิ ปกติเขาก็เบิกบานอยู่แล้วนี่นา
กู้เสี่ยวซุ่นไม่ใช่เด็กที่เรียกร้องความสนใจขนาดนั้น เขาไม่ได้เป็นคนอ่อนไหวและเปราะบางง่ายขนาดนั้น เขาไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกอิจฉาริษยาใดๆ ของคนอื่นได้
ด้วยสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมาก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เขาเป็นเด็กที่โดนสมาชิกในบ้านเมินเฉยมาแต่ไหนแต่ไร จนเกิดเป็นความชินชาไปเอง ไม่ได้มีความต้องการการเอาใจใส่แบบที่เสี่ยวจิ้งคงและกู้เหยี่ยนเป็น
และด้วยเหตุนี้เอง จิ้งคงถึงได้ยอมรับเสี่ยวซุ่นมากเป็นพิเศษ
พอกลับถึงเรือน กู้เสี่ยวซุ่นก็ได้พบกับกู้เหยี่ยนเป็นครั้งแรก
“โอ้โห…”
ที่ผ่านมาเขาได้ยินแต่เรื่องที่จิ้งคงพูดถึงกู้เหยี่ยนเสียๆ หายๆ ไม่เห็นจะเล่าให้เขาฟังเลยว่ากู้เหยี่ยนนั้นมีหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้
กู้เสี่ยวซุ่นมองเขาไม่ละสายตา
แม้กู้เสี่ยวซุ่นที่ภายนอกอาจดูเทอะทะเงอะงะไม่เหมาะที่จะคบค้าสมาคมกับกู้เหยี่ยน แต่กู้เหยี่ยนรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่มีทางจะรังเกียจคนตรงหน้าแน่นอน
และแม้ว่ากู้เหยี่ยนจะรู้สึกอิจฉาเนืองๆ ที่กู้เสี่ยวซุ่นเติบโตมาด้วยกันกับกู้เจียว แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณที่กู้เสี่ยวซุ่นคอยอยู่เคียงข้างนางในวันที่นางลำบาก
แถมเขายังเคยยอมโดนทำโทษแทนกู้เจียวด้วย
ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นเหลือเกิน
กู้เหยี่ยนยื่นมือไปตบไหล่กู้เสี่ยวซุ่นอย่างเป็นมิตร ครั้งกำลังจะเอ่ยว่า ‘ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเราก็เป็นพี่น้องกันแล้วนะ’ แต่จังหวะที่ฝ่ามือของเขากระทบลงไปบนไหล่นั้นเองก็เกิดมือชาขึ้นในทันใด…
ให้ตายเถอะ!
หัวไหล่เขาทำจากเหล็กหรืออย่างไร
ทำไมถึงได้แข็งโป๊กเช่นนี้!
ฝ่ามือของคุณชายกู้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง…
กู้เจียวกำลังจะออกไปตักน้ำ
“เจียวเจียว! ข้าไปด้วย!” เสี่ยวจิ้งคงคว้าถังน้ำจิ๋วของเขา จาดนั้นก็เดินตามกู้เจียวออกไป
กู้เหยี่ยนเองก็อยากไปด้วยเช่นกัน
ด้วยเรี่ยวแรงอันจำกัดของเขา จึงยกได้แค่ถังน้ำจิ๋วของจิ้งคงได้เท่านั้น ซึ่งค่อนข้างน่าอายเลยทีเดียว
กู้เหยี่ยนพยายามยกถังไม้ด้วยมือทั้งสองข้าง แต่สุดท้ายก็ยกไม่ขึ้น
“ข้าช่วยเอง!” กู้เสี่ยวซุ่นออกตัว
“เจ้าจะช่วยข้าไปตักน้ำรึ”
กู้เสี่ยวซุ่นนึกในใจ เดิมทีเขาว่าจะตักน้ำของเขาเองเสียหน่อย แต่ในเมื่อกู้เหยี่ยนขอมาเช่นนี้ เขาก็จะจัดให้!
เขาเลยอาสา ‘ช่วย’กู้เหยี่ยนตักน้ำ
ด้วยความที่กู้เสี่ยวซุ่นเคยโดนแม่นางหลิวใช้งานเยี่ยงทาสมาตั้งแต่เล็กๆ เลยทำให้เขาเป็นเด็กที่มีพละกำลังล้นเหลือ และตอนนี้เขาก็กำลังตักน้ำจากบ่ออย่างไม่รู้จักเหนื่อย!
กู้เหยี่ยนมองเขาที่กำลังงสาวเชือกลงสาวเชือกขึ้นแล้วตักน้ำใส่ถังอย่างพึงพอใจ
นี่เป็นน้ำของเขาที่กู้เสี่ยวซุ่นตักให้!
กู้เหยี่ยนเริ่มจะยอมรับในตัวกู้เสี่ยวซุ่นมากขึ้น พอถึงเวลาอาหาร ทั้งเขาและจิ้งคงต่างรอให้กู้เจียวคีบอาหารให้พวกเขา จนกระทั่งเหลือมันฝรั่งลูกสุดท้ายบนจาน
“ยกให้เสี่ยวซุ่นสิ!” กู้เหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ลังเล
“อืม” เสี่ยวจิ้งคงก็เห็นด้วยแล้วพยักหน้า
หลังมื้ออาหาร กู้เจียวหั่นแตงให้ทุกคนทาน จนเหลือแตงชิ้นสุดท้าย
กู้เจียวไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ก็เลยต้องคำนวณปริมาณอาหารให้พอดีจำนวนคน แต่วันนี้พอกู้เสี่ยวซุ่นกลับมานอนที่นี่ นางก็เกิดคำนวณไม่ถูก
ถ้าเป็นเมื่อก่อน พวกเขาคงหันมาขอความเห็นจากนางว่าใครสมควรได้ชิ้นสุดท้าย
ทว่า วันนี้นั้น
“ให้เสี่ยวซุ่นเถอะ! เขาไม่ได้กลับบ้านมาตั้งหลายวัน ให้เขาได้กินบ้าง!” กู้เหยี่ยนเอ่ยอีกครั้ง
เสี่ยวจิ้งคงก็เห็นด้วย และไม่ได้ออกความเห็นอะไร
กู้เสี่ยวซุ่นมองว่ากู้เหยี่ยนก็ดูเป็นคนที่ไม่เลวเลย ไม่เห็นเหมือนกับที่เสี่ยวจิ้งคงเคยบ่นไว้เลยสักนิด เพื่อไม่ให้เสียมารยาท เขาเองก็ควรจะแสดงออกถึงความเป็นมิตรให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับรู้บ้าง!
“เจ้าคุ้นเคยกับที่เรือนนี้แล้วหรือยัง” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยถามกู้เหยี่ยน
กู้เสี่ยวซุ่นใช้คำว่าเรือนกับเขา พอกู้เหยี่ยนได้ยินคำว่าเรือนแล้วรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เลยคลี่ยิ้มให้หนึ่งที พลางเอ่ย “ข้าเริ่มคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว! ห้องของพวกเราอยู่ใกล้กันมาเลยทีเดียว!”
จะได้ไปมาหาสู่บ่อยๆ ไงล่ะ!
“ห้องเจ้าอยู่หลังห้องข้าสินะ…” พวกเขาเริ่มมองกันคนละทิศคนละทาง “แล้วตอนข้าไม่อยู่ เจ้าเล่นกับใครรึ”
คำถามของเขาทำเอากู้เหยี่ยนนิ่งไป
กู้เสี่ยวซุ่นยิงคำถามต่อ “ปกติเจ้าทำอะไรตอนกลางวัน”
นั่นสิ ปกติเขาทำอะไรนะ
ช่วงนี้กู้เจียวก็วุ่นๆ เรื่องที่ภูเขา น้อยครั้งนักที่จะมีเวลาอยู่เรือน และพอนางอยู่เรือน กู้เหยี่ยนก็จะมาอยู่เล่นกับนาง
ช่วงก่อนที่เสี่ยวจิ้งคงจะออกไปเรียนหนังสือ กู้เจียวแทบไม่กังวลอะไรเลย เพราะจิ้งคงมีกิจกรรมให้ทำมากมาย เขาเป็นเด็กจอมวางแผน เลยวางแผนอยู่ตลอดว่าวันๆ หนึ่งเขาต้องทำอะไรบ้าง แถมเขามีเพื่อนฝูงในหมู่บ้านที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา เวลาว่างก็มักจะออกไปเล่นกับพวกเขา
หญิงชราเองก็มักจะอยู่ที่เรือนคนเดียว แต่กู้เจียวไม่ได้กังวลนางเท่าใดนัก
เวลาว่างๆ นางก็จะชอบเล่นกับลูกสุนัข บ้างก็ออกไปพูดคุยกับยายของเซวียหนิงเซียง ไม่ก็เล่าละครให้ชาวบ้านฟัง กิจวัตรของนางหลากหลายกว่ากู้เจียวเสียอีก
ก็มีแค่กู้เหยี่ยนเท่านั้นที่ทำตัวแปลกแยก
เขาเข้ากับคนในหมู่บ้านที่อายุไล่เลี่ยกันได้ยาก
แม้จะมาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว แต่เขาไม่เคยออกจากเรือนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะตั้งแต่เกิด เขาต้องใช้ชีวิตแบบรอวันตาย เขาไม่ใช่คนแบบจิ้งคงที่มักจะหากิจกรรมให้ตัวเองทำ ไม่ใช่ว่ากู้เหยี่ยนไม่อยากทำเช่นนั้น แต่มีหลายเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้
และแล้ว ความเงียบก็เริ่มครอบงำ…
แต่กู่เสี่ยวซุ่นกลับไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
“แล้วเจ้าไม่เบื่อรึ”
ฉึก!
“เจ้าไปหาพวกจู๋จื่อก็ได้ตอนกลางวัน แต่เจ้าเป็นคนร่างกายบอบบางนี่นา คงไปเล่นกับพวกเขาไม่ไหวกระมัง”
สองฉึก!
“ที่นี่ก็ไม่ได้มีพื้นที่ให้เจ้าเพาะปลูกด้วยสิ…”
สามฉึก!
“เจ้าช่วยงานพี่เจียวไม่ได้อยู่แล้ว มีแต่งานใช้แรงงานทั้งนั้น”
สี่ฉึก!
“จริงสิ เจ้าหน้าตาดีขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ไปเรียนหนังสือเล่า”
ห้าฉึก!
กู้เหยี่ยนทรุดตัวลงบนหลังเก้าอี้ประหนึ่งวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว!
เรียนหนังสือเกี่ยวอะไรกับหน้าตาดีด้วย
ข้าอุตส่าห์เห็นเจ้าเป็นพี่น้อง แต่เจ้ากลับเอาแต่พูดแทงใจดำข้ารัวๆ เนี่ยนะ!
เรื่องพวกนี้ แม้แต่ฝันเขาก็ไม่กล้าฝันถึง
เขาไม่ชอบเรียนหนังสือเลยแม้แต่นิด
ช่วงที่เขาเรียนหนังสืออยู่ที่จวนโหว ก็มีเชิญอาจารย์ซีสีมาช่วยติวหนังสือให้ แต่ทุกครั้งที่เขาเข้าเรียนก็มักจะชอบมาสายไม่ก็ขอเลิกเรียนก่อน หรือไม่ก็หลับระหว่างคาบ ด้วยความที่ร่างกายอ่อนแอ อาจารย์จึงไม่กล้าว่าอะไรเขามาก แต่สุดท้ายแล้วก็เอาเขาไม่อยู่ จนอาจารย์คนนั้นต้องถอนตัวไป
ที่หมู่บ้านเองก็มีอาจารย์ประจำอยู่ที่นั่น แต่ช่วงเวลาทั้งปีที่เขาสอนให้กู้เหยี่ยนรวมกันยังไม่ถึงสิบวันเลยด้วยซ้ำ
พูดภาษากู้เสี่ยวซุ่นก็คือเขาเป็นคนไม่เอาอ่าวเสียเลย!
กู้เหยี่ยนหันไปทางกู้เจียวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด พยายามส่งสายตาบอกนางว่าเขาไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่อยากไม่อยาก!
ก่อนหน้ากู้เจียวไม่ค้านความคิดที่ให้เสี่ยวจิ้งคงไปเรียนหนังสือ ตอนนี้ก็เช่นกัน นางเห็นด้วยให้กู้เหยี่ยนไปเรียนหนังสือ ร่างกายของเขาดีขึ้นมากแล้ว การเรียนหนังสือคงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา
ถ้าเป็นเรื่องอื่น นางยังพอมีข้อโต้แย้งได้บ้าง แต่พอเป็นเรื่องเรียน นางสนับสนุนอย่างไม่ลังเล
กู้เจียวเมินสายตาอ้อนวอนของกู้เหยี่ยน พลางเอ่ย “เจ้าโตแล้ว ควรไปเรียนหนังสือได้แล้ว”
กู้เหยี่ยนกรีดร้องในใจ ไม่! ข้ายังเป็นเด็กน้อยอยู่!
กู้เจียวและเซียวลิ่วหลังปรึกษากันอย่างจริงจังเรื่องที่จะส่งกู้เหยี่ยนเรียนหนังสือ
“ข้าหวังว่าเขาจะได้เข้าเรียนกับพวกเจ้า จะได้ดูแลง่ายๆ หน่อย ทั้งสำนักบัณฑิตและโรงเรียนเอกชนของจิ้งคงดูไม่เลวทั้งคู่เลย”
“ให้เขาเข้าเอกชน” เซียวลิ่วหลังเอ่ยขึ้นหลังจากขบคิดอยู่นาน
นอกจากเหตุผลที่ว่าสำนักบัณฑิตสอบเข้าไม่ง่ายแล้ว ที่จริงเขาสามารถเจรจาให้กู้เหยี่ยนเข้าไปเรียนได้ก็จริง เข้าน่ะง่าย แต่จบออกมานี่สิ
นักเรียนที่สำนักบัณฑิตต้องเป็นคนที่เรียนเก่งระดับหนึ่ง เนื้อหาการเรียนการสอนไปไว บรรยากาศคร่ำเครียด ถ้าไม่นับกู้เสี่ยวซุ่นผู้ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้อาจหนักเกินไปสำหรับกู้เหยี่ยน
กู้เจียวเองก็มองว่าโรงเรียนเอกชนน่าจะเหมาะกับเขามากกว่า พลางหันไปถามจิ้งคง “โรงเรียนเจ้าเป็นไงบ้าง”
จิ้งคงตอบด้วยท่าทางขึงขัน “ดีมากเลยล่ะ! มีแต่อาจารย์เก่งๆ ทั้งนั้น! สอนก็สนุกด้วย!”
ถ้าอาจารย์ที่โดนจิ้งคงต่อปากต่อคำทุกวันมาได้ยินเจ้าคงจะ…
โดยภาพรวม สำนักบัณฑิตอาจดูเหนือชั้นกว่าโรงเรียนเอกชน แต่ก็แน่นอนว่าเวลาเรียนไม่กดดันเท่าสำนักบัณฑิต เหมาะกับกู้เหยี่ยนผู้ที่ไม่สามารถทนแรงกดดันได้นาน
กู้เจียวรู้สึกว่าแผนการนี้ช่างสมบูรณ์แบบยิ่ง!
“เจ้าว่าอย่างไร” กู้เจียวหันไปถามกู้เหยี่ยน
“ข้าปฏิเสธได้ไหม” เด็กน้อยกู้เอ่ยถามเสียงเบา
ถ้าเป็นท่านโหวกู้มาสั่งให้เขาไปเรียนหนังสือแล้วล่ะก็ ป่านนี้เขาคงอาละวาดโยนข้าวของโบราณมีค่าทิ้งไปนานแล้ว! แต่เขาไม่บันดาลโทสะใส่กู้เจียว เขารักนางจะตาย จะไปลงกับนางได้อย่างไร
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถามว่าพรุ่งนี้จะให้ข้าไปส่งเจ้าที่โรงเรียน หรือให้พี่เขยไปส่งเจ้าดีล่ะ”
เด็กน้อยกู้ตอบอย่างไม่ลังเล “เจ้าต้องไปส่งข้า!”
เดี๋ยวก่อนนะ ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!!