สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 105 เศรษฐี (2)
พอกางชุดออก นางพบว่าขนาดของชุดนั้นยาวเกินกว่าที่นางจะใส่ได้
นางเริ่มกำเสื้อแน่น
สาวใช้ไม่ทันระวังว่ากู้จิ่นอวี้ยืนอยู่ตรงนั้น พอเห็นเข้าก็เริ่มหน้าซีดทำตัวไม่ถูก
จะให้สาวใช้คว้าเสื้อตัวนั้นกลับมาก็ไม่ใช่เรื่อง แต่จะไม่หยิบมาเลย ก็ไม่ใช่เรื่องอีก
กู้จิ่นอวี้คลี่ยิ้มให้ พลางเอ่ย “แม่ทำเสื้อมายาวเกินไปหน่อย เอาให้ท่านพี่ใส่เถิด”
นี่เป็นชุดที่แม่นางเหยาตั้งใจทำให้กู้เจียวอยู่แล้ว แต่ในเมื่อกู้จิ่นอวี้เอ่ยเช่นนี้ หากนางพูดอะไรออกไป เกรงว่าจิ่นอวี้จะทำตัวไม่ถูก
แม่นางเหยาเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน “ไว้แม่เย็บเสื้อให้ใหม่นะ”
ว่ากันตามตรงแล้ว แม่นางเหยาไม่ได้เย็บเสื้อผ้าให้กู้จิ่นอวี้นานมากแล้ว
เหตุผลก็เพราะแบบเสื้อผ้าที่นางทำ คนเมืองหลวงไม่ค่อยใส่กัน กู้จิ่นอวี้มองว่าไม่ทันสมัย เลยไม่ค่อยได้หยิบออกมาใส่เท่าไหร่
กู้จิ่นอวี้คว้าแขนของมารดา พลางเอ่ย “ขอแค่เป็นเสื้อที่ท่านแม่ทำ จิ่นอวี้จะใส่ทุกวันเลยเจ้าคะ!”
กู้จิ่นอวี้อยู่ทานข้าวเย็นกับแม่นางเหยา ท่านโหวกู้เองก็มาร่วมวงด้วย
หลังจากที่เขาโดนกู้เจียวสั่งสอนไป วันนี้เขาเพิ่งจะฟื้นร่างได้ ท่านโหวกู้รู้สึกอับอายเกินที่จะบอกความจริง เขาจึงใส่ร้ายหวงจงว่าเมาแล้วขับจนทำให้รถม้าประสบอุบัติเหตุ
พอทานข้าวเสร็จ กู้จิ่นอวี้ก็สั่งให้สาวใช้ยกกล่องใหญ่กล่องนึงเข้ามา
“คืออะไรรึ” แม่นางเหยาสงสัย
“พวกนี้คือของขวัญที่ข้าเลือกให้ท่านพี่ ข้าไม่รู้ว่านางชอบอะไร ก็เลยขนมาเยอะหน่อย” กู้จิ่นอวี้เอ่ยด้วยท่าทีอ่อนน้อม
แม่นางเหยาให้สาวใช้เก็บจานออกไป พอเปิดกล่องออกมา ก็พบว่ามีทั้งเครื่องประดับที่ทำจากมุก ภาพวาดโบราณ อุปกรณ์ปักลายบนผ้า…ดูก็รู้ว่ากู้จิ่นอวี้ตั้งใจมอบให้นางจริงๆ ของแต่ละชิ้นมูลค่าไม่น้อยเลยทีเดียว
และชิ้นที่สะดุดตาที่สุด จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากกู่ฉิน
แม่นางเหยาพอเห็นกู้ฉินห้าสายที่มีลักษณะโบราณ ถึงกับสูดปาก พลางเอ่ย “จิ่นอวี้ นี่…”
“ใช่แล้ว มันคือกู่ฉินทรงฝูซีเงาจันทร์” กู้จิ่นอวี้ยิ้มให้พลางพยักหน้าหงึกๆ
กู่ฉินประเภทนี้หาใช่กู่ฉินธรรมดาไม่ เป็นของกำนัลจากฝ่าบาท ทั้งแคว้นมีแค่เครื่องเดียวเท่านั้น
กู่ฉินทรงฝูซีที่แท้จริงนั้นหมดความนิยมและเลือนหายไปตามกาลเวลา กู่ฉินเครื่องนี้ปรากฏขึ้นในแคว้นเฉิน ผู้ครองครองเป็นนักกู่ฉินอันดับหนึ่งของแคว้น เป็นทรงกู่ฉินที่ออกแบบมาได้คล้ายคลึงกับกู่ฉินทรงฝูซีดั้งเดิมมากที่สุด เลยถูกเรียกว่ากู่ฉินทรงฝูซีเงาจันทร์
กู้จิ่นอวี้เคยเล่นกู่ฉินในตำหนักของซูเฟย พอฝ่าบาทได้ทรงสดับก็เกิดโปรดปรานและชื่นชมความสามารถของกู้จิ่นอวี้
ฝ่าบาทมองว่าทักษะทางดนตรีของกู้จิ่นอวี้นั้นหาตัวจับได้ยาก เลยพระราชทานกู่ฉินทรงฝูซีเงาจันทร์ให้นาง
แม่นางเหยามองว่าไม่เหมาะสม “เจ้าจะยกของมูลค่ามหาศาลเช่นนี้ให้นางได้อย่างไร”
กู้จิ่นอวี้ทำหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ย “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ฝ่าบาทเคยตรัสไว้ว่ามันเป็นของข้าแล้ว ข้าจะทำอะไรกับมันก็ได้”
แม่นางเหยาส่ายหัว “แต่ข้าว่ามันเกินไปหน่อย”
ท่านโหวกู้เห็นด้วย “นั่นนะสิ ซ้ำเด็กนั่น…เอ่อ พี่สาวเจ้าเล่นกู่ฉินไม่เป็นด้วย” เอาของสูงค่าตีราคาไม่ได้เช่นนี้ให้นางก็เท่ากับสูญเปล่าน่ะสิ!
กู้จิ่นอวี้กอดกู่ฉินไว้ในอ้อมอก พลางเอ่ยหน้าเศร้า “แต่นี่เป็นของมีค่าที่สุดที่จิ่นอวี้มีไว้ครอบครอง จิ่นอวี้ชอบท่านพี่ อยากตอบแทนท่านพี่ ถ้าเป็นไปได้จิ่นอวี้ก็อยากจะยกชีวิตของตัวเองให้นาง แค่มอบกู้ฉินเครื่องเดียวให้ เหตุใดจิ่นอวี้ถึงทำไมได้เล่าเจ้าคะ”
แม่นางเหยายื่นมือเกี่ยวปอยผมของจิ่นอวี้ทัดเข้าไปที่หลังหู จากนั้นจึงถอนหายใจ “เด็กโง่เอ๊ย”
แม่นางเหยาขอไว้แค่กู่ฉินอย่างเดียว ส่วนของที่เหลือยกให้กู้เจียวได้ เดี๋ยวนางจะจัดแจงเอาไปมอบให้ หากเจียวเจียวชอบก็ยกให้ แต่ถ้าไม่ชอบ แม่นางเหยาก็จะนำกลับมา
กู้จิ่นอวี้กอดกู่ฉินไว้แล้วเดินกลับเรือนของตัวเอง
ท่านโหวกู้เดินตามจิ่นอวี้ไป จากนั้นเอ่ยเตือน “วันหน้าวันหลังเจ้าอย่าคิดทำอะไรโง่ๆ เช่นนี้อีก!”
“ท่านพ่อว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” กู้จิ่นอวี้ทำหน้าฉงน
ท่านโหวกู้มองเข้าไปที่กู่ฉินที่นางกำลังกอดอยู่ “เจ้าไม่กลัวว่าท่านแม่จะเอามันไปจริงๆ รึ”
“ก็ข้าตั้งใจจะมอบให้ท่านพี่อยู่แล้ว น่าเสียดายที่ท่านแม่ไม่เห็นด้วย!” กู้จิ่นอวี้ตาลุกชันพลางจ้องไปที่บิดาของตน
“โชคดีแค่ไหนที่ท่านแม่เจ้าไม่เห็นด้วย พี่สาวเจ้าเป็นเด็กที่โตมาในบ้านนอก นางไม่รู้จังหวะทำนองอะไรกับเขาหรอก นางทำเป็นก็แค่ผ่าฟืนทำกับข้าว เจ้าให้นางผ่าฟืนให้ยังว่าไปอย่าง แต่นี่อะไร จะให้นางเล่นกู่ฉินอย่างนั้นรึ หึ น้อยๆ หน่อย! เอาของมีค่าขนาดนั้นไปไว้ที่นาง เท่ากับว่าหัวล้านได้หวีชัดๆ ”
“ข้าสอนนางได้ ถ้านางต้องการ!” กู้จิ่นอวี้เอ่ยด้วยวาจาอันแน่วแน่
ท่านโหวกู้ถอนหายใจ พลางเอ่ย “เช่นนั้น เจ้าก็ต้องให้นางยอมรับในตัวเจ้าให้ได้ก่อน! เอาล่ะ เจ้าเก็บกู่ฉินของเจ้าให้ดี อย่าสะเพร่ายกให้ใครง่ายๆ อีกล่ะ!”
กู้จิ่นอวี้ก้มหน้า พลางนึกในใจ กู่ฉินทรงฝูซีแบบนี้หาที่ไหนในโลกไม่ได้อีกแล้ว เดิมทีนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะยกให้แต่แรกอยู่แล้ว
…
โรงเรียนเอกชนเข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียน ขณะที่สำนักบัณฑิตไม่ได้มีการหยุดเรียนแต่อย่างใด กู้เจียวกำลังง่วนอยู่กับการทำกับข้าวในครัว พลางคำนวณในหัวแล้วว่าเวลานี้กู้เสี่ยวซุ่นและเซียวลิ่วหลังควรจะเดินทางมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว นางจึงเริ่มลงมือทำกับอาหารจานสุดท้าย
“เจียวเจียว เจียวเจียว! ลูกคิดของข้าหายไปแล้ว!”
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องครัว
กู้เจียวใส่น้ำในหม้อ จากนั้นปิดฝา “ไม่ต้องรีบร้อนไป เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าหาเอง”
จิ้งคงขนสัมภาระจากวัดกลับมาไม่น้อยเลย กู้เจียวก็เลยเอาของพวกนั้นใส่ไว้ในกล่องใหญ่สองใบ
แม้จิ้งคงจะเป็นแค่เด็กน้อยตัวเล็กๆ แต่กู้เจียวก็ให้ความเคารพพื้นที่ส่วนตัวของเขา นางจึงไม่กล้าเข้าไปยุ่งย่ามกับสมบัติของเขา
กล่องของเขาเต็มไปด้วยข้าวของยุ่งเหยิงรกรุงรังไปหมด
“เจ้าเอาไว้ในกล่องไหนรึ”
“กล่องนี้! เอ๊ะ ไม่สิ หรือว่าจะกล่องนี้!” จิ้งคงเป็นเด็กจอมวางแผนก็จริง แต่เรื่องการจัดระเบียบข้าวของเขายังต้องฝึกอีกเยอะ
กู้เจียวเริ่มต้นจากกล่องที่อยู่ทางด้านซ้ายก่อน พอค้นไปซักพัก ก็เจอลูกคิดทองของจิ้งคง
ซึ่งทำจากทองแท้ๆ เลย!
กู้เจียวเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าลังเล “อันนี้… ใช่ไหม”
“ใช่แล้ว!” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าหงึกๆ
“ใครให้เจ้ามารึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์!” จิ้งคงคว้าลูกคิดมาแล้วใช้นิ้วดีดไปดีดมา วันนี้เขาเรียนวิชาคำนวณ เลยกะว่าจะเอามาฝึกเสียหน่อย!
กู้เจียวคิดในใจ นี่อาจารย์ของเจ้ารวยขนาดที่ว่ามอบลูกคิดทองให้เจ้าเลยหรือ
“ลูกคิดนั่น ทำมาจากทองคำ เจ้ารู้ใช่ไหม” กู้เจียวเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า พลางเอ่ย “รู้สิ! ท่านอาจารย์มีลูกคิดเก็บไว้ตั้งหลายอัน แต่ข้าเลือกอันนี้มาโดยเฉพาะเลย!”
“ทำไมรึ”
“ก็มันสวยไงล่ะ!”
“…”
กู้เจียวทยอยเก็บของที่รื้อออกมาใส่ในกล่อง ระหว่างที่เก็บอยู่นั้นก็เจอกับห่อผ่าใหญ่อันนึ่ง พอหยิบขึ้นมา ก็เกิดเสียงดีดที่ดังขึ้นเหมือนกับเป็นสายของเครื่องดนตรี
พอเปิดออกมาดู ก็พบว่ามันคือกู่ฉิน
ลักษณะของมันดูโบราณคร่ำครึ กล่องใส่สำหรับมันเองก็ไม่มี แต่ดูเหมือนสายของมันยังใช้การได้ดีอยู่
กู้เจียวเลยลองดีดไปสองที
เสียงนั่น ช่างไพเราะเหลือ
เสี่ยวจิ้งคงหันมาทางกู้เจียว “เอ๋ เจียวเจียวเล่นกู่ฉินเป็นด้วยหรือ”
กู้เจียวไม่ได้ตอบเขา แต่ถามย้อมว่า “แล้วเจ้าล่ะเล่นเป็นไหม”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วเอ่ยตอบ “ข้าเล่นเป็นนิดหน่อย! แต่ข้าไม่ชอบเล่นน่ะ!”
กู้เจียวเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ “แล้วไฉนถึงมีกู่ฉินอยู่กับตัวล่ะ”
“เฮ้อ ท่านอาจารย์มอบให้ข้ามาเนี่ยสิ! ของพวกนี้ล้วนแต่เป็นของที่เขายกให้ข้าทั้งสิ้น!” เสี่ยวจิ้งคงถอนหายใจ
กู้เจียวสังเกตเห็นรอยดำคล้ายกับรอยไหม้บนกู่ฉิน
เสี่ยวจิ้งคงอธิบาย “ตอนนั้นที่วัดไม่มีฟืนเหลือแล้ว ท่านอาจารย์เลยตัดสินใจใช้กู่ฉินเป็นเชื้อเพลิง แต่ไม่สำเร็จ ก็เลยเอามันออกมา”
กู้เจียวทำหน้าตะลึง พลางนึกในใจ ต่อให้เป็นกู่ฉินเก่าๆ อย่างน้อยก็ไม่ควรเอาไปเผาเป็นเชื้อเพลิงหรือเปล่า อาจารย์ของเขาเป็นคนแบบไหนกันเนี่ย
จิ้งคงเอ่ยต่อ “ถ้าเจียวเจียวชอบล่ะก็ ข้ายกให้!”
กู้เจียวค่อยๆ สำรวจเครื่องกู่ฉินในมือ เหลือบไปเห็นคำว่า ‘ฝูซี’ สลักอยู่บนตัวเครื่อง