สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 107.1 หึงหวง (1)
ถูกเสี่ยวจิ้งคงขัดจังหวะไปเช่นนี้ หัวข้อสนทนาเมื่อครู่จึงไม่ได้ดำเนินต่อ
เจ็ดวันต่อมา กู้เจียวก็ไปโรงหมออีกครั้ง
คนทั้งถูกกวาดต้อนโรงหมอออกไปหมดอีกครั้ง
กู้เจียวขมวดคิ้ว คราก่อนลืมสั่งไว้ว่าอย่ามาวุ่นวายกิจการโรงหมอ
คนผู้นั้นยังมาไม่ถึง องครักษ์หนุ่มที่คราก่อนถูกกู้เจียวเตะกระเด็นไปบนต้นไม้ก็พาพวกองครักษ์มากวาดต้อนคนออกไปก่อน
กู้เจียวค่อนข้างเดือดดาลทีเดียว
หุยชุนถังเป็นโรงหมอแห่งเดียวในเมือง ทุกวันล้วนมีคนไข้มากมายมารักษา เชิญพวกเขาออกไปกันหมดจะทำให้การรักษาของผู้ป่วยต้องล่าช้าเข้าไปอีก
บุรุษผู้นั้นกลับไม่ได้ให้กู้เจียวต้องรอนาน เขาสวมหมวกสานเข้าโรงหมอมา
หมวกสานมีผ้าผืนบางคลุมอยู่อีกชั้น ปกปิดศีรษะเขาได้อย่างพอดิบพอดี
เขาสามารถมองเห็นด้านนอกได้ แต่คนด้านนอกมองไม่เห็นหน้าเขา
“แม่นาง” บุรุษผู้นั้นเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าอ่อนโยน ฟังจากน้ำเสียงเขาแล้วคล้ายมีชีวิตชีวากว่าคราก่อนอยู่บ้าง “ยาของแม่นางให้ผลยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย อาการป่วยของข้าไม่ได้ย่ำแย่ลงแล้ว”
ถึงขั้นว่าฟื้นตัวดีขึ้นเลยด้วยซ้ำ ประโยคนี้เขาไม่ได้เอ่ยขึ้น เกรงว่าจะเป็นความเข้าใจผิดของตัวเขาเอง
กู้เจียวไม่ได้รีบร้อนตรวจอาการให้เขา แต่เอ่ยขึ้นแทนว่า “ต่อไปอย่าได้ยึดเอาโรงหมอไว้คนเดียว โรงหมอไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิมาเชิญคนป่วยคนอื่นออกไป”
องครักษ์หนุ่มกัดฟัน “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร เจ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านของข้าเป็นใคร”
“หุบปาก” บุรุษผู้นั้นตวาดห้ามองครักษ์หนุ่มเอาไว้
องครักษ์หนุ่มรู้ตัวว่าตัวเองพลั้งปากไปจึงปิดปากฉับอย่างไม่พอใจ
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร มาที่นี่ล้วนเป็นคนป่วย คนป่วยทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่สนใจฐานันดรสูงส่งยากดีมีจน สนแค่อาการป่วยฉุกเฉินหรือไม่”
บุรุษผู้นั้นตบโต๊ะ เอ่ยอย่างใจกว้างเต็มไปด้วยความฮึกเหิมว่า “ไม่สนใจฐานันดรสูงส่งร่ำรวยยากจน สนแค่อาการป่วยฉุกเฉินหรือไม่ช่างยอดเยี่ยมนัก! หากหมอแคว้นจ้าวของข้าสามารถเป็นเหมือนแม่นางเช่นนี้ได้ เหตุใดจึงต้องกังวลว่าจะรักษาประชาชนคนธรรมดาไม่ได้ด้วย แม่นางที่เป็นสตรี นึกไม่ถึงว่าจะมีความตระหนักในเรื่องนี้…”
“ถอดกางเกง!” กู้เจียวเอ่ยขัดเขาขึ้น
“…”
บุรุษผู้นั้นมุมปากกระตุก รอให้เขาเอ่ยคำเยินยอจบก่อนมิได้หรือไร
กู้เจียวเริ่มตรวจอาการให้เขา
คนรับใช้ทุกคนต่างออกไปกันหมด ภายในห้องเหลือแค่หมอกับคนไข้สองคน ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แต่บุรุษผู้นั้นก็ยังหน้าแดงอยู่ดี
ตรงกันข้าม กู้เจียวกลับสงบนิ่งอย่างยิ่ง
ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็ทนไม่ไหว เขาถามด้วยใบหน้าสีแดงระเรื่อว่า “แม่นาง เจ้าทำจิตใจสงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไรหรือ”
กู้เจียวส่งเสียงอ๋อคำหนึ่ง “เห็นมาเยอะก็เท่านั้นเอง”
บุรุษผู้นั้น “!!”
นี่มันช่างเป็นคำพูดอันโหดร้ายยิ่งนัก!!!
“วันนี้ฉีดเข็มที่สอง” กู้เจียวหยิบเพนิซิลลินออกมา ความหวาดกลัวเข็มฉีดยาถาโถมขึ้นมาในใจ บุรุษผู้นั้นพลันตระหนกขึ้น “ช้าก่อนๆ ข้าสามารถ…โอ๊ย…”
บุรุษผู้นั้นร่างแข็งทื่อกัดผ้าห่มไว้
…
ช่วงเวลาการสอบของรัชสมัยนี้ใกลเคียงกันกับของรัชสมัยที่แล้ว ล้วนจัดขึ้นในเดือนแปดทั้งสิ้น แต่เพื่อไปพักในตัวเมืองล่วงหน้า ผู้สอบที่อยู่ค่อนข้างไกลจำนวนหนึ่งจึงพากันทยอยเดินทางออกจากบ้านเกิดกันตั้งแต่เดือนหกแล้ว
ทางเซียวลิ่วหลังมีรถม้าพันลี้ของตระกูลหลินควบขับมาส่ง ไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทางเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจออกเดินทางช้าเกินไปได้เช่นกัน
ทั้งสองคนทำอาหารกันอยู่ในห้องครัว
กู้เจียวถามเซียวลิ่วหลังว่า “ตั้งใจว่าจะออกเดินทางเมื่อใดหรือ”
“อีกสามวัน” เซียวลิ่วหลังบอก
“เฝิงหลินก็ไปด้วยหรือ”
“อืม ไปด้วย”
“ก็ดี จะได้คอยดูแลระหว่างทาง” เฝิงหลินเป็นคนจัดการเรื่องราวกู้เจียวจึงวางใจ เขาไม่จะดูแลตนอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ต้องดูแลเซียวลิ่วหลังให้ดีอย่าได้ขาดตกบกพร่อง
กู้เจียวนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามขึ้นอีกว่า “จะผ่านอำเภอซงหรือไม่”
อำเภอซงเป็นบ้านเกิดเฝิงหลิน เซียวลิ่วหลังกับมารดาเขายังมีพี่ชายที่เคยอาศัยอยู่ที่อำเภอซงมาก่อน
เซียวลิ่วหลังส่ายหน้า “ไม่ คนละทางกัน หากใช้ทางน้ำไปเมืองหลวงก็จะผ่าน”
อำเภอซงมีแม่น้ำขนส่งสินค้าสายหนึ่ง มีแหล่งขนส่งเกลือขนาดใหญ่สองแห่งให้แก่ราชสำนัก หนึ่งในนั้นอยู่ใกล้อำเภอซง
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมา
เมื่อคืนวันส่งท้ายปี เฝิงหลินคิดถึงบ้านร้องไห้ออกมาไม่น้อย หากได้กลับไปบ้านสักครั้งก็คงจะสบายใจขึ้นบ้าง
กู้เจียวเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอให้เขาสอบขุนนางระดับท้องถิ่นผ่าน ปีหน้าไปสอบที่เมืองหลวงจะได้แวะกลับบ้านสักครั้ง”
ประโยคนี้ไม่ได้แฝงความนัยหมายถึงคนอื่น แต่พูดจบกู้เจียวก็สัมผัสถึงความแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย นางลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าสำนักหลีเคยบอกว่าเซียวลิ่วหลังไม่อยากเข้าเมืองหลวงไปสอบ
นางไม่เคยเกลี้ยกล่อมอะไรเขาเลยสักครั้ง
เขามีชีวิตของเขา มีทางเลือกของเขา
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ถึงวันที่เซียวลิ่วหลังออกเดินทางไปในเมืองของมณฑลแล้ว
ผู้ดูแลโจวขับรถม้ามาที่หมู่บ้านตั้งแต่เช้า รู้ว่าต้องขนสัมภาระขึ้นรถ เขาจึงให้คนขับรถม้าจอดลงหน้าประตูของกู้เจียวกับเซียวลิ่วหลัง
ตระกูลหลินเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองและเป็นเจ้าแห่งแวดวงการค้าและขนส่งเกลือ รถม้าของพวกเขาจึงหรูหราเสียยิ่งกว่าของจวนโหว ม้าพันลี้สูงใหญ่ทรงพลังสี่ตัว สูงกว่าชายวัยผู้ใหญ่อีกด้วยซ้ำ
ตามกฎเกณฑ์แล้ว พวกอาชีพค้าขายไม่สามารถใช้รถที่หรูหรามาตรฐานสูงเช่นนี้ได้ แต่เป็นราชวงศ์ที่มอบสิทธิพิเศษนี้ให้แก่ตระกูลหลิน ห้องโดยสารก็กว้างใหญ่ ด้านในยังวางตั่งเล็กๆ อ่อนนุ่มไว้อีกตัว เป็นรถนอนแบบฉบับโบราณขนานแท้
ได้นั่งรถเช่นนี้ไปในเมือง กู้เจียวจึงค่อนข้างพอใจ
ในหมู่บ้านมีคนที่มาดูความคึกคักกันไม่น้อย แต่ล้วนถูกรัศมีขององครักษ์และม้าพันลี้ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้
มีเพียงโก่วหวาที่เป็นเพื่อนบ้านตัวน้อยกำลังออกแรงปีนขึ้นรถม้าเหมือนลูกวัวเกิดใหม่จึงไม่กลัวเสือ[1]อยู่
เซวียหนิงเซียงกระอักกระอ่วนจะไปอุ้มลูกลงมา แต่โก่วหวาไม่ยอม
ผู้ดูแลโจวจึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอก ให้เขาขึ้นไปลองนั่งดู เจ้าดูไว้ไม่ให้ล้มก็พอแล้ว”
เซวียหนิงเซียงกระจ่างแจ้งทันทีว่าตนได้บารมีอย่างการเป็นเพื่อนบ้านเข้าให้แล้ว นางเป็นแม่ม่ายสาวในหมู่บ้าน ลับหลังไม่รู้ว่าพบเจอการแอบกลอกตาใส่ไปเท่าใด บางคนตัวคนนิสัยไม่เลวร้าย แต่สภาพแวดล้อมโหดร้าย กลายเป็นความเคยชินที่ไม่ดี คนดีจึงชูมีดในมือขึ้นมาได้
แต่วันนี้ แม่ม่ายสาวเช่นนางที่ถูกคนดูถูกดูแคลนกลับสามารถอุ้มลูกชายขึ้นนั่งรถม้าที่คนในหมู่บ้านต่างไม่กล้าเข้าใกล้กันได้อย่างผ่าเผย
จู่ๆ นางพลันเกิดความรู้สึกได้ลำพองใจขึ้นมา
กลับไปครานี้ค่อนข้างนาน สัมภาระที่กู้เจียวตระเตรียมจึงค่อนข้างเยอะ เฝิงหลินกระโดดลงจากรถม้ามาช่วยนางยกของ ยกพลางฟังนางชี้แจงว่าห่อผ้าทุกห่อใส่อะไรไว้บ้าง
เสี่ยวจิ้งคงไปหาพี่เขยตนและเจรจาเรื่องระหว่างลูกผู้ชายกันอีกแล้ว
ส่วนสถานที่ก็ยังคงเป็นห้องน้ำ
เซียวลิ่วหลังหมดคำจะพูดแล้ว เสี่ยวจิ้งคงนี่มีนิสัยแปลกประหลาดนัก จะถอดกางเกงพูคุยกับคนอื่นอยู่ได้
เสี่ยวจิ้งคงนั่งลงบนชักโครกของตัวเองอย่างยกตนข่มท่าน คนที่ไม่รู้จะคิดว่าที่เขานั่งอยู่นั้นคือบัลลังก์มังกร มาดองอาจยิ่ง!
เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “จะห่างบ้านอีกแล้ว ครานี้ไปค่อนข้างนาน ดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้ที่บ้านเป็นห่วง”
เซียวลิ่วหลังกลับไม่อยากมาฟังเสียงปีศาจแตรตัวน้อยในเวลาแบบนี้
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยต่อว่า “แล้วก็ เจ้าเป็นผู้สอบที่ชำนาญสนามแล้ว ไม่ต้องมาหวังว่าใครจะให้กำลังใจเจ้า ต้องเรียนรู้ที่จะสอบได้ที่หนึ่งด้วยตัวเอง”
เซียวลิ่วหลัง “…”
หรือว่าทุกครั้งเจ้าเป็นคนช่วยข้าสอบได้ที่หนึ่งกันล่ะ
“เอาละ ไม่พูดมากความแล้ว รักษาตัวด้วย” เสี่ยวจิ้งคงพูดจบก็ยื่นมือน้อยๆ ออกมา หมายจะตบบ่าพี่เขยเหมือนที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน จนใจที่เขาลืมไปว่าตัวเองนั่งอยู่บนชักโครก พอตบลงไป จึงตบโดนแค่ก้นของเซียวลิ่วหลังเท่านั้น
เซียวลิ่วหลังที่หันหน้ามองมือน้อยๆ ข้างนั้นคว้าก้นของตัวเอง “???”
วันนี้โรงเรียนหยุด กู้เหยี่ยนเป็นคนขี้เซา แต่เขาก็ยังคงให้กู้เสี่ยวซุ่นเขย่าปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาเพื่อบอกลาพี่เขย
จากนั้นก็กลับเข้าห้องไปนอนต่อ
“แค่นี้หรือ” เฝิงหลินยกห่อผ้าห่อสุดท้ายพลางถามกู้เจียว
กู้เจียวพยักหน้า “อืม ของของลิ่วหลังมีแค่พวกนี้ ข้าทำผักดองให้พวกเจ้าเอาไปกินระหว่างทางด้วย”
“เยี่ยมไปเลย!” เฝิงหลินไปหยิบผักดองจากในครัวมา
เห็นเขาหอบผักดองโหลใหญ่ออกมา ผู้ดูแลโจวก็คิดในใจว่า ตระกูลหลินดีร้ายอย่างไรก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง จะขาดอาหารการกินสำหรับพวกเจ้าได้หรือ
เพียงไม่นาน พอผู้ดูแลโจวชิมรสชาติของผักดองแล้วก็เริ่มบ่นเฝิงหลินว่า เหตุใดจึงไม่หอบมาสักสองโหล
ยามนี้เก็บของเสร็จสิ้นจริงๆ แล้ว กู้เจียวจึงส่งเซียวลิ่วหลังขึ้นรถม้า
เห็นรถม้ากำลังจะเคลื่อนตัวไป แม่นางโจวที่ไม่เห็นหน้าหลายวันกับกู้ฉังไห่กลับพากู้ต้าซุ่นวิ่งมาหา
———————–
[1] ลูกวัวเกิดใหม่จึงไม่กลัวเสือ ลูกวัวที่เพิ่งเกิดใหม่แม้จะเจอเสือก็ไม่แสดงอาการกลัวแต่อย่างใด นั่นไม่ใช่เพราะมันไม่กลัว แต่เพราะลูกวัวเพิ่งเกิดยังไม่มีประสบการณ์ ยังไม่รู้ว่าเสือดุร้ายและเป็นอันตราย