สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 108 ประดิษฐ์
กู้เจียวไปที่โรงหมอ
วันนี้เป็นวันที่นัดตรวจซ้ำกับบุคคลใหญ่โตลึกลับคนนั้น อีกฝ่ายมารอที่หุยชุนถังตั้งนานแล้ว คราวนี้เขาไม่ได้ให้คนไล่คนไข้ออกจากโรงหมอไป
กู้เจียวมาสายนิดหน่อยเพราะรอส่งเซียวลิ่วหลังเดินทาง จึงทำให้อีกฝ่ายรออยู่ครู่หนึ่ง
องครักษ์หนุ่มข้างกายเขาคนนั้นสีหน้าบูดบึ้งมากแล้ว “เฮอะ คนที่กล้าให้นายท่านของข้ารอ เจ้าเป็นคนแรกเลย!”
กู้เจียวแบมือ “อ้อ ช่างเป็นเกียรตินัก”
องครักษ์หนุ่มคนนั้นสะบัดหน้าหนี
กู้เจียวเดินเข้าห้องปีกข้างไป
บุรุษผู้นั้นสวมหมวกสานมีผ้าคลุมผืนบางปกปิดใบหน้าไว้ แต่กลิ่นอายสูงส่งน่ายำเกรงทั่วทั้งร่างนั้นไม่อาจปกปิดได้
ข้างกายเขายังคงมีคนรับใช้ท่าทางนอบน้อมคอยเฝ้าอยู่สองคน
เห็นมาสองสามครั้งแล้ว พวกคนรับใช้จึงชินชากับความไร้มารยาทของกู้เจียว พวกเขาเห็นกู้เจียวพบนายท่านของพวกเขากระทั่งคำนับยังไม่มี ก็ตรงมานั่งเองแล้ว และพวกเขาก็ทำได้แค่บ่นในใจ ปากกลับไม่กล้าเหน็บแนมใส่แม้ครึ่งคำ
เหตุผลไม่ใช่อื่นใด เด็กสาวนางนี้รักษาอาการป่วยของนายท่านของพวกเขาให้หายได้จริงๆ!
กู้เจียวฉีดยาเบนซาไทน์เพนนิซิลลินให้เขาทั้งหมดสามเข็ม หนึ่งเข็มในทุกๆ เจ็ดวัน เข็มสุดท้ายฉีดครบเมื่อเดือนที่แล้ว วันนี้เขามาเพื่อตรวจอาหารซ้ำอีกครั้ง
กู้เจียวจับชีพจรให้เขาเพื่อตรวจอาการ
“นี่ข้าหายดีแล้วกระมัง” เสียงบุรุษผู้นั้นยากจะปิดบังความปรีดาเอาไว้ได้
กู้เจียวถอดถุงมือออกแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ยามนี้ดูเหมือนจะฟื้นฟูได้ดีมาก แต่ต้องไม่ให้กำเริบขึ้นอีกภายในสองปีนี้จึงจะเรียกได้ว่าหายขาด ติดตามดูอาการไว้”
“เอ่อ…” บุรุษผู้นั้นเงียบไป
กู้เจียวสัมผัสได้ว่าอารมณ์เขาแตกต่างกันกับก่อนหน้านี้ลิบลับ “เป็นอะไรไปรึ ติดตามดูอาการไม่ได้แล้วหรือ ”
บุรุษผู้นั้นแย้มยิ้มก่อนเอ่ยว่า “บอกตรงๆ เลยแล้วกัน ข้าต้องกลับแล้ว”
“อ้อ” กู้เจียวกลับไม่แปลกใจ ฟังสำเนียงเขาแล้วไม่เหมือนคนท้องที่ กระทั่งอาจจะไม่ใช่ชาวโยวโจว เขามาจากสถานที่ที่ไกลกว่านั้น แต่เป็นที่ไหนนั้นนางไม่อาจเดาได้
บุรุษผู้นั้นเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “แต่ข้าเชื่อว่าแม่นางรักษาข้าหายแล้ว ข้าน้อยขอบังอาจถามแม่นางว่า ฝีมือการแพทย์เจ้ายอดเยี่ยมเช่นนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์อยู่ที่ใดรึ”
กู้เจียวตอบไปว่า “อาจารย์ข้ามีมากมายนัก”
นี่เป็นความจริง ชาติก่อนนางอยู่ที่มหาวิทยาลัยและสถานบันวิจัยทางการแพทย์ ต่อมาก็เข้าสถานบันวิจัย อาจารย์ที่เคยสอนนางมีมากมายนัก
บุรุษผู้นั้นไม่ใช่คนมีตาหามีแววไม่ ในเมื่อกู้เจียวไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากนัก เช่นนั้นเขาก็ไม่ไล่ถามต่อ เขาเอ่ยว่า “ขอบคุณแม่นางที่รักษาข้าให้หายยิ่งนัก วันนี้ที่ข้ามายังมีอีกเรื่องหนึ่ง หวังว่าจะสามารถขอบคุณแม่นางได้อย่างจริงจัง”
“เจ้าจ่ายเงินค่ารักษาแล้ว คำขอบคุณคงไม่ต้องหรอก…” กู้เจียวพูดไปได้ครึ่งทางก็เห็นบุรุษผู้นั้นรับกล่องบุผ้าไหมมาจากมือคนรับใช้แล้ววางไว้บนโต๊ะ
กล่องใบนั้นแค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา
กู้เจียวรีบเอ่ยต่างในทันใด “คำขอบคุณนั้น หากเจ้าต้องการจะให้จริงๆ ข้าก็จำต้องฝืนรับไว้”
พวกคนรับใช้ไม่อยากมองนางแล้ว เจ้า เจ้ามีปัญญาก็หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเสียหน่อยสิ พูดต่อสิว่าเจ้าไม่เอา!
บุรุษผู้นั้นแย้มยิ้มออกมาอย่างใจดี เลื่อนกล่องบุไหมไปยังข้างมือกู้เจียว
กู้เจียวเปิดออกดู นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพัดพับมรกตประณีตวิจิตรใสแวววาวด้ามหนึ่ง กู้เจียวคว้าพัดมาไว้ในมือ สัมผัสเย็นเล็กน้อย เรียบลื่นเย็นฉ่ำดุจน้ำแข็ง เป็นพัดที่ดีด้ามหนึ่งทีเดียว
“ชอบหรือไม่” บุรุษผู้นั้นถาม
กู้เจียวสีหน้าลังเลใจ
พวกคนรับใช้ต่างพากันมึนงง ไม่หรอกกระมัง พัดทนี้ทำจากหยกเหมันต์พันปีเชียวนะ จะไม่ชอบได้หรือ
“ไม่ชอบจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ” บุรุษผู้นั้นบอกเสียงนุ่มนวล
“อ้อ เช่นนั้นมีพัดที่ทำจากทองคำหรือไม่” กู้เจียวถาม
พวกคนรับใช้พากันทนไม่ได้สักคน ร่างกายโงนเงนอยู่สองหน ท่านยังไม่เกรงอกเกรงใจกันอีกนะ มาถึงก็จะเปลี่ยนเป็นทองคำ แต่ทองคำมีมูลค่ากว่ามันอีกหรือ พวกชาวบ้านชนบทนี่ไม่รู้อะไรเสียเลย!
บุรุษผู้นั้นหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “พัดทองคำไม่มี แต่ที่ข้านั้นมีอย่างอื่นที่ทำจากทองอยู่”
เอ่ยจบ เขาก็เรียกคนรับใช้คนหนึ่งมา กระซิบสั่งข้างหูเขาเบาๆ ดวงตาคนรับใช้พลันเบิกโต “นายท่าน นี่มันไม่เหมาะกระมัง นั่นมันเป็น…”
บุรุษผู้นั้นไม่ได้มีสีหน้าที่ดีต่อคนรับใช้เหมือนที่ทำกับกู้เจียวเลยสักนิด “ให้เจ้าเอามาก็เอามา จะมัวมาพูดเหลวไหลอยู่ไย ลงเจียงหนานมาครานี้ ข้าชักสังเกตว่าเจ้าเก่งอยู่หนึ่ง นับวันยิ่งพูดมากความขึ้นเรื่อยๆ”
“ขอรับ” คนรับใช้ไม่กล้าชักช้าอีก ถลึงตาใส่กู้เจียวอย่างคับแค้นใจ แล้วไปเอากล่องใบเล็กใหม่เอี่ยมมาจากรถม้า
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหรงหวาเต้าที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ทั้งอัน
หรงหวาเต้าคือของเล่นลับสมองชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ มีขายอยู่ในร้านรวงไม่น้อย แต่ในตลาดล้วนทำจากไม้ทั้งสิ้น ที่ทำจากทองคำนั้นกู้เจียวเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ทั้งสนุกทั้งระยิบระยับ เสี่ยวจิ้งคงต้องชอบแน่
กู้เจียวพยักหน้าอย่างพอใจ
บุรุษผู้นั้นเห็นว่าในที่สุดใบหน้าดวงน้อยของนางที่ไม่ยิ้มไม่แย้มนั้นแสดงความรู้สึกออกมาเล็กน้อยแล้ว ก็อดหัวเราะไม่ได้ “แม่นางชอบทองคำหรือว่าชอบหรงหวาเต้าล่ะ”
กู้เจียวตอบว่า “ข้าไม่ได้ชอบหรอก แต่น้องชายข้าชอบ”
บุรุษผู้นั้นยิ้มจาง “แม่นางมีน้องชายด้วยหรือ”
กู้เจียวนับนิ้ว “ไม่ได้มีแค่คนเดียวนะ แต่มีสามคนเลยละ”
บุรุษผู้นั้น เช่นนั้นดูเหมือนว่าให้แค่อันเดียวจะไม่ค่อยดีนัก!
บุรุษผู้นั้นมอบของขวัญให้กู้เจียวอีกสองอย่าง พวกคนรับใช้ด้านข้างต่างรู้สึกถึงความเอ็นดูจากนายท่านของตนได้แล้ว ท่านถามอะไรไม่ถาม จบบทสนทนาแล้วมิใช่หรือไร ซ้ำตัวเองยังรีดไถตัวเองไปให้คนอื่นอีก
แถมยังขมขื่นแต่ไม่อาจบอกใครได้อีก
เป็นเพราะท่านรักหน้าตาตัวเอง
ตอนที่กู้เจียวออกจากโรงหมอนั้น ในตะกร้ามีห่อของขวัญหรูหราห่อใหญ่เพิ่มมาสามชิ้น!
บุรุษผู้นั้นประสานมือให้กู้เจียวอยู่หน้าหุยชุนถัง “แม่นาง ไว้พบกันใหม่”
กู้เจียวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “พูดว่าไว้พบกันใหม่กับหมอ เจ้าฟั่นเฟือนหรืออย่างไร”
เอ่ยจบ นางก็สะพายตะกร้าใบน้อย เดินเข้าฝูงชนไปโดยไม่หันกลับมามอง
พวกคนรับใช้เดือดดาลจนควันออกหูแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “นายท่าน ท่านดูนางสิ…”
บุรุษผู้นั้นก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน อย่างไรเสียบางทีอาจไม่มีใครกล้าพูดเช่นนี้กับเขาแล้วก็ได้ แต่เขานึกย้อนกลับไปแล้วกลับหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดีมากนัก “นั่นสิ ข้าฟั่นเฟือนไปหรืออย่างไร เหตุใดจึงอยากจะพบหมออีก ร่างกายก็แข็งแรงดีแล้วนี่นา”
“นายท่าน…”
“ควรกลับเมืองหลวงได้แล้ว ไปกันเถิด”
…
กู้เจียวออกจากหุยชุนถังมาก็มุ่งหน้าไปยังร้านตีเหล็กแห่งเดียวในเมืองนี้
ร้านตีเหล็กร้านนี้เปิดมายี่สิบกว่าปีแล้ว เรียกได้ว่าเป็นร้านเก่าร้านแก่
กู้เจียวเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงตีเหล็กโป๊งๆ เป๊งๆ ดังขึ้นเป็นระลอก กิจการร้านตีเหล็กดีมาก พวกช่างตีเหล็กยุ่งกันจนหัวหมุน
ในร้านไม่มีโต๊ะคิดเงิน กู้เจียวจึงเรียกพนักงานร้านมาคนหนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “เมื่อเดือนที่แล้วข้าสั่งจองเครื่องมือเกษตรไว้ วันนี้เป็นวันส่งมอบสินค้าแล้ว”
พนักงานยกตะกร้าแร่เหล็กหนักอึ้งพลางตะโกนไปทางห้องโถงว่า “เหล่าหวัง! มีคนมาเอาของ!”
“มาแล้ว มาแล้ว!” นายช่างเหงื่อไคลเต็มหน้าคนหนึ่งฝีเท้ารีบร้อนวิ่งออกมา บนลำคอเขามีผ้าคล้องไว้ผืนหนึ่ง เขาใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดเหงื่อนบนใบหน้าพลางมองกู้เจียว “ใครจะเอาของ เจ้าหรือ”
คราก่อนคนขับรถของหุยชุนถังมาจองของให้ ด้วยเหตุนี้ช่างตีเหล็กจึงไม่รู้จักนาง
กู้เจียวขานรับแล้วส่งป้ายให้เขา
คนที่เรียนหนังสือในสมัยก่อนมีน้อยมาก ช่างตีเหล็กรู้หนังสือก็ไม่มาก ด้วยเหตุนี้จึงใช้ป้ายคู่ บนป้ายคู่ทุกแผ่นมีลำดับเลขที่ตรงกันเขียนเอาไว้ ดูจากลำดับเลขก็สามารถทราบสินค้าได้ว่าเป็นกลุ่มไหน
“ของเจ้ายังทำไม่เสร็จเลย” นายช่างชราขมวดคิ้วบอก
กู้เจียวเอ่ยว่า “แต่คราก่อนบอกว่าวันนี้ให้มาเอาของนี่นา”
นายช่างชราใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อก่อนเอ่ยว่า “แต่ในความเป็นจริงยังทำไม่เสร็จ พวกเราทำอะไรไม่ได้”
“แล้วต้องใช้เวลาอีกประมาณเท่าใด” กู้เจียวถาม
“เรื่องนี้…” นายช่างชราครุ่นคิด “เดือนสองเดือนกระมัง”
กู้เจียวฉงน “นานเพียงนั้นเชียวรึ เครื่องมือทางการเกษตรที่ข้าต้องการก็ไม่ได้มากมายเกินไปนี่นา”
นายช่างชราถอนใจ “ไม่ใช่งานของเจ้าหรอก เมื่อเดือนที่แล้วที่ร้านรับงานมา รับมาก่อนหน้าของเจ้า ต้องการเครื่องมือเหล็กสำหรับขุดแร่เหล็กหนึ่งพันชิ้นเต็มๆ ร้านตีเหล็กเล็กๆ อย่างพวกเราไหนเลยจะไปทำทัน ยามนี้ยังทำได้ครึ่งนิดๆ เอง! คนงานก็ไม่พอ เตาก็ไม่พอ…”
“เหล่าหวัง! ต้องตีเหล็กแล้ว!” ด้านในมีช่างเหล็กตะโกนขึ้น
“เอ้อ! มาแล้ว!” นายช่างชราตะโกนบอกด้านในร้าน แล้วหันมาบอกกู้เจียวว่า “แม่นาง เดือนหน้าเจ้าค่อยมาดูก็แล้วกันนะ”
กู้เจียวไม่อยากรอนานเพียงนั้น
หลังจากที่นายช่างชราเข้าไป นางก็เข้าร้านตีเหล็กไปด้วย พนักงานร้านกับพวกนายช่างยุ่งกันจนหัวหมุน ไม่มีใครมาสนใจเด็กสาวคนหนึ่งเลย
หากว่ากันอย่างเป็นกลางแล้ว คนงานในร้านตีเหล็กไม่ใช่น้อยๆ เลย นับตามจำนวนคนแล้ว ทำเครื่องมือเหล็กพันชิ้นภายในหนึ่งเดือนเหลือเฟือเลยจึงจะถูก
ดังนั้นปัญหาน่าจะไม่ได้เกิดที่การขาดคนงาน
กู้เจียวมองเตาสูงของพวกเขาต่อ ทันใดนั้นก็พบปัญหาแล้ว
หลอมเหล็กต้องใช้อุณหภูมิที่สูงมาก เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่สูงมากนี้ โดยปกติแล้วเตาสูงต้องใช้เครื่องเป่าลม กู้เจียวเดิมทีคิดว่าร้านตีเหล็กในสมัยโบราณนี้ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะได้ใช้เครื่องเป่าลมโดยใช้น้ำแล้ว ใครจะไปคิดว่าเป็นการเป่าลมโดยใช้แรงงานมนุษย์แบบดั้งเดิมอยู่เลย
การเป่าลมโดยใช้แรงงานมนุษย์ โบราณเรียกว่าขับเคลื่อนด้วยคน ข้อเสียใหญ่หลวงที่สุดอยู่ที่จุดรอยต่อหนึ่งมีถุงหนังม้าเพียงแค่อันเดียว เป่าลมครั้งหนึ่ง ถุงหนังม้าก็จะปิดงับกันครั้งหนึ่ง
แต่เตาสูงหนึ่งเตาน่าจะมีจุดรอยต่อสี่ถึงหกแห่ง อีกนัยหนึ่งก็คือ ในเวลาเดียวกันเตาสูงหนึ่งเตาจะเป่าลมได้มากที่สุดหกครั้ง
ประสิทธิภาพนี้ด้อยกว่าขับเคลื่อนโดยน้ำมากนัก
ขับเคลื่อนโดยน้ำใช้แรงน้ำมาขับเคลื่อนถุงหนังม้า ล้อน้ำหมุนหนึ่งรอบจะขับเคลื่อนถุงหนังม้าให้สามารถเปิดปิดได้หลายครั้งมาก ไม่เพียงแต่จะประหยัดเวลาไปมากโขเท่านั้น ยังประหยัดแรงคนด้วย
กู้เจียวบอกความคิดของตัวเองให้กับนายช่างชราฟัง
นางช่างชราประหลาดใจยิ่งนัก เด็กสาวในชุดเสื้อผ้าธรรมดาๆ คนหนึ่งเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
หลังจากตกใจแล้ว เขาจึงเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดถึงนั้นข้าเคยเห็น ร้านตีเหล็กของราชสำนักจึงจะมีได้”
ชาวบ้านธรรมดาไม่มีช่างคนไหนทำถุงหนังม้าขับเคลื่อนโดยน้ำเป็นสักคน
“ข้าทำเป็น” กู้เจียวบอก
นายช่างชราตกใจอย่างแรง
กู้เจียวครุ่นคิด “แต่ว่า อีกเดี๋ยวที่ข้าจะทำไม่ใช่ถุงหนังม้าที่ขับเคลื่อนโดยน้ำ”
กู้เจียวบอกคำเรียกไป
“อะไรลมๆ นะ” นายช่างชราแสดงออกว่าตนไม่เคยได้ยินมาก่อน
“มีกระดาษหรือไม่” กู้เจียวถาม
“หา” นายช่างชราถูกกู้เขียวทำให้ตกใจจนสติหลุดไปแล้ว ครู่ต่อมาก็ยังไม่ได้สติกลับคืน
กู้เจียวเลยหาแผ่นหินอ่อนบนพื้นมาแผ่นหนึ่งด้วยตัวเอง นางหยิบดินสอถ่านในกระเป๋าออกมา แล้วรวบรวมสมาธิพลางวาดรูปลงไป
นายช่างคนอื่นๆ ถูกนางดึงดูดเข้า นายช่างชราจึงตวาดว่า “มองอะไร! ไปทำงานกันให้หมด!”
บรรดานายช่างกลัวความน่าเกรงขามของอาจารย์ชรา จึงฝืนข่มความอยากรู้อยากเห็นแล้วไปทำงาน ทว่ายังคงเหลือบตามามองกู้เจียวอยู่เป็นระยะ เด็กคนนี้วาดอะไรบนพื้นร้านเหล็กของพวกเขากันนะ
สุดท้ายนายช่างชราก็ยังอดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นว่า “แม่นาง เจ้าทำอะไรหรือ”
“วาดรูป” กู้เจียวตอบอย่างกระชับ
“เจ้าไม่มีอะไรทำแล้วเหตุใดมาวาดบนพื้นข้า อีกเดี๋ยวข้ายังต้องหาคนมาขัดอีก ยุ่งยากนัก!”
กู้เจียวยิ้มบาง “ภายในสิบวันจะทำให้เจ้าทำเครื่องมือพันกว่าชิ้นที่เหลือให้เสร็จ ไม่อยากได้หรือ”
“สะ…สิบวันอย่างนั้นรึ” นายช่างชราเท้าเอวยืดตัวตรง “อย่ามาล้อเล่นกันเลย!”
เขาเป็นช่างตีเหล็กเขาจะมองไม่ออกหรือไร ต่อให้พวกเขาทั้งร้านเหล็กรวมกันไม่หลับไม่นอนไม่หยุดพัก อย่างน้อยก็ต้องเป็นเดือนๆ โน่น!
เว้นเสียแต่ว่าจะใช้เครื่องเป่าลมขับเคลื่อนโดยน้ำของราชสำนัก แต่นั่นก็ต้องมียี่สิบวันเชียวนะ
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น”
นายช่างชราแสดงออกว่าไม่เชื่อ
“หากข้าทำได้ล่ะ จะเป็นอย่างไร”
นายช่างชรายกมือสองข้างกอดอก กดตามองต่ำไปยังนางที่อยู่บนพื้น “หากเจ้าทำได้ เครื่องมือเหล็กเหล่านั้นของเจ้าข้าจะทำให้เจ้าโดยไม่คิดเงินเลย ไม่เก็บเจ้าสักแดงเดียว! ต่อไปเครื่องมือเครื่องไม้เหล็กทั้งหมดของเจ้าข้าจะเหมาทำให้หมดเลย! ไม่เก็บเจ้าสักอีแปะเดียว”
กู้เจียวครุ่นคิดอย่างจริงจัง รู้สึกว่าขอ้แลกเปลี่ยนนี้พอใช้ได้ “ตกลง ข้าตกลง”
นายช่างชรายู่ปาก เหตุใดเจ้ารับปากแล้วล่ะ ขี้โม้โอ้อวดเกินไปแล้วกระมัง!
กู้เจียววาดเสร็จแค่เพียงไม่นาน ก่อนนางจะพยักหน้าอย่างพอใจ “น่าจะเป็นแบบนี้แหละ อีกเดี๋ยวเจ้าไปหาช่างไม้มาหน่อย”
นายช่างชราอ้าปากค้าง “ว่าอย่างไรนะ”
กู้เจียวถลกแขนเสื้อขึ้น “อย่ามัวมาอึ้งอยู่เลย หากยังมัวอึ้งอยู่เครื่องมือเหล็กของเจ้าได้ทำไม่เสร็จแน่”
เอ่ยจบ กู้เจียวก็ลุกขึ้นยืน ใช้กระดาษหนังวัวห่อดินสอถ่านไว้แล้วใส่ในกระเป๋าคืน ก่อนจะหาน้ำมาล้างมือแล้วหันหลังจากไป
นายช่างชราสีหน้ามึนงง นะ นะ นี่ นี่มันอะไรกัน เด็กสาวมาแกล้งเขาเล่นอย่างนั้นรึ นางจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด นายช่างชราจึงนึกถึงท่าทางที่อีกฝ่ายนั่งชันขาข้างหนึ่ง สีหน้าสงบนิ่งวาดรูปกับพื้น ซ้ำเขายังไปตามช่างไม้ร้านข้างๆ มาเหมือนโดนผีพรายกระซิบอีก
ช่างไม้กระจ่างแจ้งดี เขาดูรูปวาดบนพื้นหินอ่อนเสร็จแววตาก็พลันเปลี่ยนไปทันที “นะ…นี่ใครวาดกัน”
“ทำไมรึ” นายช่างชราถามอย่างแปลกใจ
ช่างไม้ไม่ได้ตอบคำเขา เขาคุกเข่าลง สองมือลูบบนรูปภาพบนพื้นอย่างเคารพบูชาราวกับเห็นสมบัติล้ำค่า ทว่าเขากลับกลัวขึ้นมาอีกว่าหากแตะต้องมันแม้เพียงนิดแล้วมันจะหายไป จึงไม่กล้าลูบโดนมันจริงๆ
ท่าทางระมัดระวังนี้ทำให้ช่างเหล็กมึนงงไปหมด
ในแววตาช่างไม้พลันมีประกายวาบผ่าน เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กลับไปที่ร้านคว้าเอากระดาษพู่กันมา นั่งฟุบหมอบกับพื้นเริ่มทำสำเนารูปวาดรูปนี้อย่างเคารพบูชา
เขามีลางสังหรณ์นิดๆ ว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ตนได้ทำในชีวิตเลยก็เป็นได้!
ช่างเหล็กชราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เขาจ้องรูปวาดบนพื้นหินอ่อนซ้ายทีขวาที “ทำอะไรน่ะ หรือว่านี่จะประดิษฐ์สิ่งของออกมาได้จริงๆ”