สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 110.1 บดให้แหลก (1)
ยามนี้จึงกระอักกระอ่วนมาก ลายมือของกู้จิ่นอวี้ยอดเยี่ยมโด่งดังอยู่ที่เมืองหลวง คุณหนูจวงผู้นี้แม้จะเป็นหลานสาวของผู้ว่าจวง แต่หากจะแข่งกับกู้จิ่นอวี้เกรงว่าคงได้พ่ายแพ้อย่างอเนจอนาจมากทีเดียว
คุณหนูจวงดูเหมือนไม่ใช่คนอดทนสูง หากพ่ายแพ้ย่อยยับจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะกลั่นแกล้งอะไรกู้จิ่นอวี้ก็เป็นได้ แววตาขอความช่วยเหลือของท่านโหวกู้ถูกส่งไปยังอันจวิ้นอ๋อง หวังว่าเขาจะสามารถห้ามปรามน้องสาวเอาไว้ได้บ้าง ไหนเลยจะรู้ว่าอันจวิ้นอ๋องไม่มีทีท่าจะเอ่ยปากขึ้นเลยสักนิด
ท่านโหวกู้แอบปาดเหงื่อเย็น ก่อนจะส่งสายตาไปให้กู้จิ่นอวี้อย่างเงียบๆ หวังว่ากู้จิ่นอวี้จะสามารถแกล้งแพ้ให้คุณหนูจวงได้
แม่นางเหยาเห็นกู้จิ่นอวี้ถูกคุณหนูจวงกลั่นแกล้ง ก็นึกถึงกู้เจียวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ กู้จิ่นอวี้ที่ยังคงเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนโหวก็ยังโดนกลั่นแกล้งได้ หากกู้เจียวที่เติบโตในป่าเขาชนบทกลับเมืองหลวงไป สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นน้อยๆ ได้หรือ
คนทั้งกลุ่มเข้าห้องรับแขกไป
คนรับใช้ถือพู่กันและแท่นฝนหมึกมา
“คุณหนูจวงอยากจะแข่งอย่างไรหรือ” กู้จิ่นอวี้ถามอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง
คุณหนูจวงเลิกคิ้วเอ่ยว่า “แต่ละคนเขียนกลอนกันคนละบท แล้วให้พี่ชายข้ากับท่านโหวกู้เป็นกรรมการตัดสินว่าลายมือใครสวยกว่ากัน!”
“กลอนบทเดียวกันหรือ” กู้จิ่นอวี้ถาม
คุณหนูจวงแค่นเสียงเฮอะ “แน่นอนอยู่แล้วสิ มิฉะนั้นจะแข่งอย่างไร”
นี่เป็นคำพูดของมือสมัครเล่น กู้จิ่นอวี้มองออกแต่ไม่พูด “เชิญคุณหนูจวงเลือกกลอนได้เลย”
จวงเมิ่งอวิ๋นครุ่นคิด มือเรียวโบกขึ้นเขียนกลอนที่อันจวิ้นอ๋องเป็นคนแต่ง
นี่เป็นกลอนที่อันจวิ้นอ๋องแต่งขึ้นเมื่อครั้งไปอยู่ที่แคว้นเฉินเป็นปีที่สอง ปีนั้นเขายังไม่ครบสิบขวบดีก็เขียนกลอนบทเจ็ดพยางค์คนึงบ้านเกิดเต็มแผ่นกระดาษ
ความสามารถของเขาทำเอาแคว้นเฉินตกตะลึง
กษัตริย์แคว้นเฉินเสียดายความสามารถของเขาจึงไม่ได้ฆ่าเชลยอย่างเขาเพื่อระบายความแค้นหลังจากที่แคว้นเฉินพ่ายแพ้ให้
กู้จิ่นอวี้แค่มองคำขึ้นต้นก็รู้แล้วว่าเป็นกลอนบทไหน กลอนบทนี้แพร่หลายกันในแคว้นจ้าวเป็นอย่างมาก นางทั้งเลื่อมใสในความสามารถของอันจวิ้นอ๋องพลางเขียนกลอนทั้งบทเสร็จเรียบร้อยอย่างเป็นธรรมชาติลื่นไหล นึกไม่ถึงว่าจะเขียนเร็วกว่าคุณหนูจวงอยู่หลายฝีแปรง
ทั้งสองวางพู่กันลง คนรับใช้ข้างกายทั้งสองนำผลงานของทั้งคู่ไปให้อันจวิ้นอ๋องและท่านโหวกู้ตัดสิน
ท่านโหวกู้ตั้งใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะกัดฟันบอกว่าคุณหนูจวงเก่งกาจก็เป็นอันเรียบร้อย แต่พอเขาเห็นลายมือของทั้งคู่แล้ว ความกล้าหาญที่จะโกหกตาไม่กะพริบพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น
นะ…นี่มันลายมือคนแน่หรือ
คุณหนูจวงดีร้ายอย่างไรก็เป็นหลานสาวสายตรงของราชครูจวง ซ้ำลุงก็เป็นปรมาจารย์ด้านอักษรอย่างผู้ว่าจวง เรียกได้ว่าตระกูลจวงมีแต่ลูกหลานที่มีวิชาความรู้ ไม่มีที่แย่เลยสักคน เหตุใดพอมาเป็นคุณหนูจวงแล้วจึงกลับตาลปัตรเช่นนี้ล่ะ
ท่านโหวกู้เหงื่อเย็นผุดซึมออกมา
ลูกสาวเอ๋ยลูกสาว พ่อให้เจ้ายอมอ่อนข้อให้คุณหนูจวงมิใช่หรือ
ช่างเถิด ลายมือแย่ถึงเพียงนี้ก็หมดหนทางจะอ่อนข้อให้ได้แล้วล่ะ
คุณหนูจวงปัดๆ มือ ก่อนจะเปล่งเสียงดังถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไร ใครจะชนะหรือ”
อันจวิ้นอ๋องรอยยิ้มจางมาก “ยังต้องพูดอีกหรือ แน่นอนว่าเป็นเจ้าอยู่แล้ว”
ท่านโหวกู้นิ่งอึ้ง
พูดโกหกตาไม่กะพริบได้อย่างมีฝีมือความสามารถสูงเพียงนี้เชียวรึ
กู้จิ่นอวี้ก็ตกใจเช่นกัน
ที่แท้อันจวิ้นอ๋องก็เป็นคนกล้ำกลืนความจริงได้เช่นกันหรือ
คุณหนูจวงแย้มยิ้มอย่างภาคภูมิ กำลังจะเอ่ยฉีกหน้ากู้จิ่นอวี้สักสองคำ ก็ได้ยินอันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ว่ากันด้วยเรื่องขายหน้าปล่อยไก่แล้ว ใครจะไปสู้เจ้าได้”
คุณหนูจวงนิ่งอึ้ง
ท่านโหวกู้กับกู้จิ่นอวี้ก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน
ชะ…ช่างไม่ไว้หน้าน้องสาวเลย…
หลังจากที่คุณหนูจวงตกใจแล้วก็เท้าเอวพลางกระทืบเท้า “พี่ชาย…พี่ชายว่าข้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างสดใสเบิกบาน “ลายมือเด็กสามขวบยังสวยกว่าของเจ้าอีก หากแค่นี้เจ้ายังมองไม่ออก เช่นนั้นก็ไม่ใช่ลายมือเจ้าไม่สวย แต่เป็นสมองเจ้ามีปัญหาแล้วล่ะ”
คุณหนูจวงโดนตอกหน้าจนเดือดดาลหน้าแดงคอเป็นเอ็น
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยว่า “หากยังอยากจะขายหน้าต่อ เช่นนั้นก็ลองดูอีกรอบสิ ยามนี้เจ้าจะแข่งกลอนกวี หรือว่าจะกาพย์โคลงล้วนต้องผลัดกันแพ้ให้คนอื่นสักรอบ”
คุณหนูจวงโมโหจนไม่อยากจะสนใจเขาแล้ว นางสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปอย่างโมโหโกรธา!
ท่านโหวกู้ยิ้มแหย “วิธีการสั่งสอนน้องสาวของอันจวิ้นอ๋องนี้ช่างแปลกใหม่ไม่เหมือนใครจริงๆ”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “นางเป็นน้องสาวคนเล็กในบ้าน ที่บ้านเอาอกเอาใจจนเคยตัว ทำท่านโหวขบขันเสียแล้ว”
ท่านโหวกู้ยิ้มแห้ง “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ไม่หรอกพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูจวงฉลาดเฉลียวสดใสร่าเริง ซ้ำยังมีความน่ารักอยู่ไม่น้อยด้วย”
อันจวิ้นอ๋องพยักหน้า “ค่ำมากแล้ว ข้าไปพักผ่อนก่อนละ พรุ่งนี้เจอกันใหม่”
ท่านโหวกู้ แม่นางเหยาและกู้จิ่นอวี้คำนับให้เขา น้อมส่งเขาออกไป
มองแผ่นหลังในราตรีสีมืดของเขาหายลับไปแล้ว กู้จิ่นอวี้ก็สะทกสะท้อนใจออกมาเบาๆ ว่า “จวิ้นอ๋องผู้นี้ไม่ค่อยจะเหมือนกับท่านอ๋องคนอื่นๆ เลย…”
กู้จิ่นอวี้มักจะเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนซูเฟย เห็นองค์ชายและอ๋องมาไม่น้อย พวกเขาล้วนไม่ได้โดดเด่นอย่างอันจวิ้นอ๋องกันสักคน ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ความสามารถหรือว่านิสัย
บุรุษเช่นนี้ ทั่วทั้งแผ่นดินไม่มีสตรีใดคู่ควรด้วยได้
อันจวิ้นอ๋องกับคุณหนูจวงถูกจัดให้พักที่เขตอาศัยภายในเรือนหลังงามล้ำ คุณหนูจวงกลับมาถึงห้องก็ขังตัวเองไว้ข้างใน พวกสาวใช้อยากจะปลอบใจกลับโดนนางตะเพิดออกมากันหมด
ประตูถูกเคาะขึ้น
คุณหนูจวงเอ่ยอย่างโมโหว่า “ออกไป! ไม่อนุญาตให้เข้ามาทั้งหมดเลย!”
“ข้าเอง” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้น
“พี่ชายรึ” คุณหนูจวงลุกขึ้นอย่างดีใจ ทว่านึกถึงที่พี่ชายมอบความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและความอัปยศให้แก่ตนแล้วก็นั่งลงไปใหม่
“ข้าเข้าไปนะ” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยจบก็รออยู่พักหนึ่งจึงได้ผลักประตูเข้าไป
คุณหนูจูหันหลังให้ ก่อนสะบัดท้ายทอยให้เขา
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยขึ้นเสียงเบาวง่า “ตอนแรกเจ้าต้องการออกมาเที่ยวเล่นหาประสบการณ์กับข้า ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าไม่มีทางเอาอกเอาใจเจ้าเหมือนอย่างท่านพ่อท่านแม่ เจ้าเองก็รับปากแล้วด้วย”
“ข้า…” คุณหนูจวงจุกอยู่ในลำคอ นางไหนเลยจะคาดคิดว่าพี่ชายผู้นี้จะพูดคำไหนคำนั้น นางนึกว่าเขาจะเหมือนพ่อกับแม่ที่ปากบอกว่าจะไม่ตามใจนางแล้ว แต่ในความเป็นจริงกลับให้ท้ายอย่างไร้ขีดจำกัด
นางสะอื้นขึ้น “ข้าเป็นน้องสาวพี่นะ พี่กลับช่วยคนนอกรังแกข้า!”
อันจวิ้นอ๋องไม่ต่อปากต่อคำกับนางมาก เขาเดินไปหา แล้วส่งกล่องขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่งให้นาง
“อะไรรึ” คุณหนูจวงถามอย่างราบเรียบ
“เปิดดูก็รู้แล้ว” อันจวิ้นอ๋องบอก
คุณหนูจวงมองกล่องในมือพี่ชายแวบหนึ่ง
มือของพี่ชายสวยมาก ประณีตราวกับหยกสลัก ต่อให้เป็นหยกโปร่งใสงดงามแวววาวมาอยู่ในมือเขา ก็ไม่อาจสู้ความงดงามของเขาได้
คุณหนูจวงทอดถอนใจแล้วหยิบกล่องนั้นมา
นางเปิดออกจึงพบว่าด้านในเป็นไข่มุกราตรีที่เปล่งแสงได้เม็ดหนึ่ง นางชื่นชอบของที่ประณีตน่าสนุกเหล่านี้เป็นที่สุด ความสนใจพลันโดนดึงดูดไปทันใด
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยว่า “ไข่มุกราตรีหลากสี สิ่งล้ำค่าของกษัตริย์แคว้นเฉิน ข้าใช้กลอนสองบทไปแลกกับเขามา”
พอได้ยินว่าเป็นสิ่งของล้ำค่าจากกษัตริย์แคว้นเฉิน คุณหนูจวงก็ยิ่งชอบจนไม่วางเลย
พี่ชายยังคงรักเอ็นดูนางอยู่!
คุณหนูจวงอารมณ์ดีขึ้นมา แต่นึกถึงที่ตนยอมหายงอนได้เร็วเพียงนี้ก็รู้สึกขายหน้าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นางกระแอมก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ต่อไปนี้ไม่อนุญาตให้พี่ช่วยคนนอกรังแกข้าอีก!”
……
หลังจากปลอบใจน้องสาวเรียบร้อยแล้ว อันจวิ้นอ๋องก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง
ชายชุดดำคนหนึ่งเดินออกมาจากหลังฉากบังลม แล้วประสานมือคำนับให้ “จวิ้นอ๋อง!”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยว่า “คนของเจ้ามากันครบหรือยัง”
ชายชุดดำตอบว่า “ครบหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลบซุ่มอยู่นอกหมู่บ้าน พร้อมฟังคำสั่งของจวิ้นอ๋องตลอดเวลา!”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยว่า “ไม่ต้องให้พวกเขาหลบอยู่ในที่ลับ เปลี่ยนการแต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดาก็พอ”
ชายชุดดำครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “จวิ้นอ๋อง ท่านแน่ใจว่าอยู่ที่หมู่บ้านชิงเฉวียนแน่หรือ”
อันจวิ้นอ๋องตรองอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้คนของฝ่าบาทขาดการติดต่อข่าวคราวของไทเฮาที่หมู่บ้านชิงเฉวียน หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไทเฮาเร่ร่อนอยู่ที่นี่แน่ๆ ส่วนนางไปอยู่ที่ไหนนั้น ยังต้องตามหาอย่างละเอียด”
ชายชุดดำลังเลพลางถามว่า “ไทเฮา…เป็นโรคเรื้อนจริงหรือ”
อันจวิ้นอ๋อง “ใช่”
ชายชุดดำขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แต่คนของฝ่าบาทค้นหากันทั่วจนฟ้าพลิกดินตลบไปตั้งนานแล้วนี่นา ขนาดหมู่บ้านใต้ปกครองก็ยังค้นหาไปแล้ว ไม่พบคนน่าสงสัยเลย ไทเฮาจะ…โชคร้ายไปแล้วหรือไม่”
อันจวิ้นอ๋องแววตาลุ่มลึกขึ้น เอ่ยว่า “หากมีชีวิตอยู่ต้องเห็นตัวคน หากตายไปแล้วก็ต้องเห็นศพ ไม่ว่าอย่างไรต้องค้นหาให้ทั่ว!”
ผู้คนต่างคิดว่าจวิ้นอ๋องผู้นี้ไม่เชี่ยวชาญเรื่องราวของโลก เป็นชายหนุ่มอ่อนปวกเปียกที่รู้จักแค่แต่งกาพย์กลอนให้ยอดเยี่ยมไปวันๆ แต่หากเขาอ่อนปวกเปียกอย่างที่เห็นภายนอกเช่นนี้ แล้วจะเป็นเชลยศึกที่แคว้นเฉินซ้ำยังมีชีวิตอยู่ได้รอดปลอดภัยนานหลายปีเพียงนี้ได้อย่างไร
ไม่มีใครรู้ว่าจวิ้นอ๋องได้รับความลำบากที่แคว้นเฉินมามากมายเท่าใด จวิ้นอ๋องไม่เคยบอกแม้กระทั่งบิดามารดาแท้ๆ ทว่าชายชุดดำที่อยู่ข้างกายจวิ้นอ๋องตลอดกลับเห็นจวิ้นอ๋องผ่านวันคืนอันมืดมิดเหล่านั้นมากับตา
เขารู้จักวิธีการของจวิ้นอ๋องผู้นี้ยิ่งกว่าใครทั้งปวง เรื่องที่เขาตัดสินใจจะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด