สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 112 ไทเฮา
ดวงหน้าน้อยของเสี่ยวจิ้งคงเคร่งขรึมยามอยู่บนเกวียนระหว่างทางกลับบ้าน
วันนี้เขาได้พบกับหญิงใจร้ายผู้หนึ่ง โยมหญิงผู้นั้นเอ่ยคำพูดมากมายที่เขาฟังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่น่าใช่คำพูดที่ดีสักเท่าไหร่
ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ดูเหมือนว่าวันนี้พี่กู้เหยี่ยนจะเป็นคนปกป้องเขาเสียแล้ว…
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาฉลาดกว่าพี่กู้เหยี่ยนมากแค่ไหน เขาได้ข้ามชั้น สอบได้ที่หนึ่งทุกครั้ง พี่กู้เหยี่ยนเป็นแค่เด็กน้อย ทว่ายามที่พี่กู้เหยี่ยนก้มตัวลงเช็ดฝ่ามือน้อยของเขา หลังจากนั้นก็พาเขาเดินกลับไปที่โรงเรียนเอกชน ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองต่างหากที่คือเด็กน้อยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
อีกฟากหนึ่ง อันจวิ้นอ๋องและคุณหนูจวงกลับมาถึงจวนบนเขา
คุณหนูจวงเหนื่อยจนหมดแรง พอหัวถึงหมอนก็ผล็อยหลับไป
อันจวิ้นอ๋องสั่งกับสาวใช้ประจำตัวนาง “อย่าให้ใครรบกวนนางยามพักผ่อน ผู้ใดมาก็ห้ามเข้าพบทั้งสิ้น”
สาวใช้นิ่งอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้น “หากเป็นคุณหนูกู้เล่าเจ้าคะ…”
อันจวิ้นอ๋องมองมาด้วยสายตาเย็นชา “ไม่ให้พบ!”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ขานตอบอย่างรีบร้อน
อันจวิ้นอ๋องกลับไปที่ห้องตัวเอง
เพียงไม่นาน ชายชุดดำก็พรวดเข้ามาก่อนจะยกมือคำนับเขา “จวิ้นอ๋อง”
อันจวิ๋นอ๋องรินชาใส่แก้วให้ตัวเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “มีอะไรคืบหน้าบ้าง”
ชายชุดดำส่ายหน้า “ข้าน้อยแอบไปสืบที่โรงเตี๊ยม โรงหมอ และบ้านของหมอมาหมดแล้วขอรับ แต่ไม่พบร่องรอยของไทเฮาเลยขอรับ”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยพึมพำ “หรือบางทีนางอาจจะไม่ได้ไปที่โรงหมอ แล้วก็ไม่ได้ไปพบหมอที่หมู่บ้าน แล้วก็ไม่ได้พักอยู่โรงเตี๊ยมใด”
ชายชุดดำไม่เข้าใจ “เช่นนั้นไทเฮาจะเสด็จไปที่ใดเล่าขอรับ หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านของชาวเมืองที่ไหนสักแห่งอย่างนั้นหรือขอรับ”
อันจวิ้นอ๋องนิ่งเงียบ
ชายชุดดำไม่สนใจเขาก่อนจะเอ่ยต่อ “จวิ้นอ๋อง เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าไทเฮาเป็นโรคเรื้อน”
อาการของโรคเรื้อนในระยะแรกมีเพียงจ้ำแดงขึ้นตามตัวและใบหน้าเท่านั้น ดูเผินๆ แล้วเหมือนโดนหิมะกัดหรืออาการแพ้ ทว่าเมื่ออาการลุกลามขึ้น อาการของโรคเรื้อนจะยิ่งเห็นได้ชัด สุดท้ายแล้วก็จะต่างจากคนปกติไปโดยสิ้นเชิง
คนไปโรคเรื้อนคนหนึ่งไม่มีทางหลบซ่อนตัวได้หรอก นอกเสียจากนางเข้าไปอยู่ในป่าลึกอย่างสันโดษ
แต่นั่นยิ่งเป็นไปได้ยากเสียยิ่งกว่า
ไทเฮาได้รับการปรนนิบัติพัดวีอย่างดีมาตลอดชีวิต แม้แต่อาหารนางยังทำไม่เป็น หากจะไปอยู่ที่ป่าจริงอย่างที่ว่า ไม่เท่ากับป่วยตา หรือว่าถูกสัตว์ร้ายกัดตายเอาหรอกหรือ ไม่ช้าก็เร็วก็คงพาตัวเองอดตายอยู่ดี
อันจวิ้นอ๋องราวกับคิดอะไรอยู่บางอย่างก่อนจะ “ที่เจ้าพูดก็ถูก แต่หากนางไม่ซ่อนตัวอยู่ แล้วจะไปอยู่ที่ใดได้ นางเป็นโรคเรื้อน เดินไปแห่งหนใดก็ย่อมต้องโกลาหล”
ชายชุดดำเอ่ย “ท่านไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ไทเฮาจะสิ้นพระชนม์เลยจริงๆ หรือขอรับ”
อันจวิ้นอ๋อง “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือไร หากยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเจอตัว หากตายแล้วก็ต้องเจอศพ”
ชายชุดดำไม่หมดหนทางจะตอบกลับ
“บางที่อาจจะมีคนรับเลี้ยงนางและรักษานางจนหายดีแล้วก็เป็นได้”
ชายชุดดำเอ่ย “โรคเรื้อนรักษาไม่หายนะขอรับ!” แม้แต่แคว้นเฉินที่วิทยาการการแพทย์สูงส่ง ยังทำได้เพียงบรรเทาอาการของโรคเรื่อน ยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ที่รักษาหายจนหายขาดนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน
แน่นอนว่าอันจวิ้นอ๋องรู้ดีว่าการคาดเดาของตนนั้นไร้เหตุผลมากเพียงใด แต่เทียบกันแล้วเขายังเชื่อว่าไทเฮาได้รับการรักษาจนหายดีมากกว่าตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เขาเอ่ยสั่งการ “เจ้าไปสืบว่ามีหญิงชราเดินทางมาที่อำเภอชิงเฉวียนยามฤดูหนาวเมื่อปีก่อนบ้างหรือไม่ รวมทั้งหมู่บ้านเล็กๆ ในเขตนั้นก็อย่าให้ขาดตกบกพร่อง”
“ขอรับ”
ชายชุดดำออกไปสืบตามคำสั่ง เขาทำงานได้รวดเร็วกว่าหวงจงนัก เพียงไม่กี่วันก็สืบหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องได้ถึงสองอย่าง สถานที่แรกคือหมู่บ้านต้าหนิว สถานที่แห่งที่สองคือหมู่บ้านชิงเฉวียน ทั้งสองหมู่บ้านตั้งอยู่ทางเหนือและทางใต้ของอำเภอ
“ที่หมู่บ้านต้าหนิวมีหญิงชราเดินเร่ร่อนเดินมาถึงที่นั่นเมื่อหน้าหนาวปีก่อน ตอนที่ชาวไปเจอ นางกำลังนอนคุดคู้อยู่ในคอกวัวร้างแห่งหนึ่ง ชาวบ้านเห็นนางน่าสงสาร จึงให้นางอาศัยอยู่ที่คอกวัวนั้น มีคนเอาของกินให้นางเป็นครั้งคราว ไม่ให้นางหิวตาย”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ย “แล้วอีกที่หนึ่งล่ะ”
ชายชุดดำพูดต่อ “ที่หมู่บ้านชิงเฉวียนเป็นญาติห่างๆ ของซิ่วไฉคนหนึ่ง แต่เกิดเรื่องในครอบครัว คนแก่ไร้ที่พึ่งจึงหอบผ้าหอบผ่อนมาขออาศัยเขาขอรับ”
ดูจากเบาะแสแล้ว หญิงชราที่หมู่บ้านต้าหนิวนั้นตรงตามกับคนที่พวกเขาตามหามากกว่า
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด อันจวิ้นอ๋องกลับเลือกไปที่หมู่บ้านชิงเฉวียนแทน
ไม่มีเหตุผล เพียงแต่สัญชาตญาณบอกเช่นนั้น
ยามฤดูร้อนเวลากลางช่างแสนยาวนาน แม้จะเป็นยามพลบค่ำแต่ท้องฟ้าก็ยังคงสว่างไสว
อันจวิ้นอ๋องผูกม้าไว้กับต้นพะยูงเก่าแก่หน้าปากทางเข้าหมู่บ้าน ก่อนจะเดินยังเรือนของครอบครัวหนึ่งตามแผนที่ที่ชายชุดดำวาดไว้
ในตอนนั้นเสี่ยวจิ้งคงกำลังให้อาหารไก่ แต่เพราะกลัวว่าเหล่าไก่น้อยจะวิ่งออกไปจึงปิดประตู
อันจวิ้นอ๋องยกมือเคาะประตู
เสี่ยวจิ้งคงเป็นคนเปิดประตู
ในวันนั้น เสี่ยวจิ้งคงถูกกู้เยี่ยนพาไปที่โรงเรียนเอกชนก่อนที่กู้เจียวจะลงไม้ลงมือ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่แน่ชัดว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งยังไม่ได้พบกับอันจวิ้นอ๋อง
ทว่าอันจวิ้นอ๋องที่เหลียวกลับไปมองยามอยู่บนรถม้า มองเห็นกู้เจียวเดินจูงมือเสี่ยวจิ้งคงออกมาจากโรงเรียนเอกชน ด้านหลังของทั้งสองมีเด็กหนุ่มใบหน้าเคร่งขรืมเหมือนกับท่านโหวกู้เดินตามมา คาดว่าน่าจะเป็นกู้เหยี่ยนที่หมอหลวงวินิจฉัยว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงสิบห้าปี
แปลกนัก เจ้าหนูคนนี้เหตุใดถึงอยู่ที่นี่ได้
“นี่บ้านของเจ้าหรือ” อันจวิ้นอ๋องถาม
เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้เปิดประตูเต็มบาน เหลือไว้เพียงแค่ช่องแคบๆ โผล่ออกมาเพียงศีรษะกลม “ก็บ้านของข้าน่ะสิ เจ้าเป็นใคร เจ้ามาทำอะไรที่บ้านของข้า”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าผ่านทางมา อยากจะขอน้ำดื่มสักหน่อย”
“เช่นนั้นเจ้ารอเดี๋ยว!” เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้เชิญเขาเข้ามาในบ้าน แต่กลับปิดประตูลง ผ่านไปไม่นานก็ยกน้ำถ้วยหนึ่งออกมา “ให้เจ้า”
เจ้าหนูนี่ระวังตัวไม่น้อย…
อันจวิ้นอ๋องรับมาก่อนจะยกน้ำในถ้วยดื่มจนหมด จากนั้นก็คืนถ้วยให้กับเขา “เจ้าอยู่บ้านคนเดียวหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงตื่นตระหนกขึ้นมาในทันใด ก่อนจะงับประตูลงยิ่งกว่าเดิม “เจ้าเป็นพวกลักเด็กไปขายอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงถามเช่นนี้”
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ “อ๋อ ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าดื่มน้ำบ้านเจ้า ก็อยากจะขอบคุณผู้ใหญ่ในบ้านเจ้าสักหน่อย”
เสียวจิ้งคงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาเป็นคนตักน้ำให้เจ้า เจ้าขอบคุณข้าก็พอแล้ว!”
อันจวิ้นอ๋องไม่เคยเจอเด็กที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เอ่อ เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้ามาก ว่าแต่ ข้าถามเจ้าหน่อยได้หรือไม่ว่าหมู่บ้านต้าหนิวไปทางไหน”
หากเป็นหมู่บ้านซิ่งฮวาหรือหมู่บ้านหยางหลิวเสี่ยวจิ้งก็พอรู้ แต่หมู่บ้านต้าหนิวนั่นเกินขอบเขตความรู้ที่เขามี เสี่ยวจิ้งคงจึงชะงักไป
มุมปากอันจวิ้นอ๋องยกยิ้ม “ช่วยถามผู้ใหญ่ในบ้านเจ้าให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”
“ผู้ใหญ่ในบ้านข้ายุ่งมาก เจ้าไปถามที่อื่นเถอะ! เจ้าเดินไปทางตะวันออก บ้านหลังที่เจ็ดแซ่หลัว ลุงหลัวเอ้อร์เป็นคนขับเกวียน หมู่บ้านใดเขาก็รู้จักทั้งนั้น!” เสี่ยวจิ้งคงบอกทางเสร็จสรรพก็ปิดประตูลงในทันใด และไม่ลืมที่จะสอดกลอนประตูด้วย!
เจียวเจียวเคยบอกไว้ว่า ตอนที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่บ้าน ห้ามให้คนแปลกหน้าเข้ามาเด็ดขาด!
เขาเป็นเด็กน้อย ท่านย่าเป็นคนแก่ พวกเขาไม่ใช่ผู้ใหญ่สักคน!
อันจวิ้นอ๋องเป็นถึงคนที่เคยท่องไปนอกแคว้น อ่านตำราประวัติศาสตร์มามากมาย แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกเด็กน้อยปิดประตูใส่แบบนี้
ทว่าเขายังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ วันนี้เขาจะต้องพบกับหญิงชราผู้นั้นให้ได้
อันจวิ้นอ๋องอ้อมไปทางประตูหลัง
ประตูครัวด้านหลังปิดอยู่แต่ไม่ได้ลงกลอน
อันจวิ้นอ๋องเดินย่องก่อนจะผลักประตูอย่างเบามือแล้วก้าวเข้าไป
ฝีเท้าของเขาเบายิ่งนัก แทบไม่ส่งเสียงใดเลยก็ว่าได้
ขณะที่เขาก้าวไปได้เพียงสองสามเก้า จู่ๆ ประตูหลังก็มีเงาของใครคนหนึ่งโผล่พรวดออกมา พร้อมกับง้างไม้ทุบแป้งเข้าที่หัวเขาในทันที
อันจวิ้นอ๋องได้ยินเพียงเสียงอื้ออึงก่อนจะสลบไป
หญิงชราโยนไม้ทุบแป้งกลับลงบนเขียง เชิดหน้ามองดูอันจวิ้นอ๋องที่นอนคว่ำหน้าหมดสภาพ ก่อนจะเอ่ยพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำท่าลับๆ ล่อๆ ดูก็รู้ว่าไม่ได้มาดี!”
หญิงชราได้ยินบทสนทนาของอันจวิ้นอ๋องและเสี่ยวจิ้งคงทั้งหมด เอาแต่ถามว่ามีผู้ใหญ่อยู่บ้านหรือไม่ ถูกปฏิเสธแล้วยังแอบย่องเข้ามาทางประตูหลังอีก โจร นี่มันโจรชัดๆ!
ทว่าจะโทษที่หญิงชราสงสัยก็คงไม่ได้ ว่ากันตามตรงหลังจากที่บ้านนี้ไม่ได้ลำบากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ก็กลายเป็นที่หมายตาของขโมยขโจรไม่น้อย เพียงแต่โจรมักจะมายามกลางคืนมิใช่หรือ กลางดึกก็มีองครักษ์ของกู้เจียวและกู้เหยี่ยนคอยแอบเฝ้าสังเกตการณ์ตลอด พริบตาเดียวก็คงจัดการได้อยู่หมัด
เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าหัวขโมยคนนี้จะใจกล้าบ้าบิ่นนัก ถึงได้กล้าบุกเข้าประตูมากลางวันแสกๆ!
หญิงชรามองดูใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลา ก่อนจะบ่นพึมพำ “เจ้าจะใช้หน้าตาทำหากินก็ได้นี่ คงดีกว่าเป็นโจรกระจอกเป็นไหนๆ แต่ว่า…เหตุว่าข้าถึงได้คุ้นหน้าเจ้าหนุ่มคนนี้นัก…ข้าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน”
เพราะหญิงชราลงมือหนักไม่เบา ยามกู้เจียว กู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนกลับมาจากตัดฟืนบนเขา เขาก็ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ในครัว
กู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นวางฝืนสองมัดบนหลังลง กู้เหยี่ยนเองก็วางกิ่งไม้แห้งใบไม้แห้งที่ตัวเองเก็บรวบรวมได้เช่นกัน
“เจียวเจียว มีโจรขึ้นบ้านด้วย ท่านย่าช่างเก่งกาจนัก ทุบโจรนั่นจนสลบไปแล้ว!”
เสี่ยวจิ้งคงแปลงร่างเป็นโทรโข่งน้อยในทันที พลางเจื้อยแจ้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ทว่ากู้เจียวกลับรู้ได้ในทันทีว่าเขาไม่ใช่โจร แต่เป็นชายหนุ่มสูงศักดิ์ที่พบกันที่หน้าโรงเรียนเอกชนเมื่อหลายวันก่อน อันจวิ้นอ๋องที่กู้จิ่นอวี้พูดถึง
ภาพในความทรงจำของกู้เจียวที่มีต่อเขานั้นไม่ได้ดีหรือร้ายแต่อย่างใด เขาไม่ได้ให้ท้ายน้องสาวของตัวเอง ทั้งยังเอ่ยขอโทษท่านโหวกู้และนางด้วย อายุยังน้อยแต่รู้จักกาลเทศะเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเพราะพ่อแม่สอนมาดีหรือว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนใจซื่อตั้งแต่แรก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะให้เขาเกิดเรื่องที่บ้านของพวกนางไม่ได้
กู้เจียวใช้สองมือคว้าร่างคนผู้นั้นเข้าไปในห้องของกู้เสี่ยวซุ่น
ยามนั้นหญิงชราคงไม่ออมแรงเลยจริงๆ ศีรษะของเขาปูดบวมเป็นลูกใหญ่ ทั้งยังมีเลือดไหลซิบ กู้เจียวทายาให้เขา ก่อนจะพันด้วยผ้าพันแผล
จากนั้นกู้เจียวก็หยิบเข็มเงินขึ้นมา แล้วแทงเข้าไปที่จุดฝังเข็ม
อันจวิ้นอ๋องค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เครื่องหน้าของอันจวิ้นอ๋องไม่นับว่าโดดเด่นมากนัก แต่เขามีมาดที่ทำให้คนต้องเกรงขาม
ดวงตาของเขางามนัก แต่แววตานั้นดูเหมือนมีอะไรแปลกไป
กู้เจียวมองเขาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะโบกมือไปมาตรงหน้าเขา
เขาไม่ตอบโต้แต่อย่างใด
เกิดอะไรขึ้น
ตาบอดไปแล้วหรือ
ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ในห้องมีเพียงตะเกียงดวงหนึ่งส่องแสงสลัว
กู้เจียวปรับไฟให้สว่างขึ้น แต่เขาก็ยังมองไม่เห็น
ทว่าเขากลับไม่ตื่นตระหนก ทั้งยังไม่แสดงท่าทีแปลกประหลาด เขาปิดตาลงอย่างสงบนิ้ง “ข้าปวดตา”
ประโยคแรกที่เอ่ยถามหลังจากฟื้นขึ้นมาไม่ใช่ที่นี่ที่ไหน หรือเจ้าเป็นใคร แต่กลับปิดบังเรื่องที่ตนเองมองไม่เห็น
ช่างเป็นคนที่แปลกพิกลนัก
ในเมื่อเขาพูดเช่นนั้นแล้ว กู้เจียวก็ย่อมไม่ซักไซ้เขา ในเมื่อไม่มีใครรับประกันได้ว่าหากเรื่องแดงขึ้นมาแล้วมีราคาที่ต้องจ่ายอย่างไร
ยิ่งรู้มากเท่าใด ก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น
“เช่นนั้นเจ้าก็อย่าลืมตา เขาจะหาสมุนไพรมาพอกให้เจ้า” กู้เจียวเอ่ย พลางผสมใบสะระแหน่ก่อนจะห่อด้วยผืนผ้าแล้วปิดตาเขาไว้
“เจียวเจียว!” เสี่ยวจิ้งคงชโงกศีรษะน้อยเข้ามาจากนอกประตู “เขาฟื้นแล้วหรือ”
เสียงของเจ้าหนูน้อยนั่นสินะ
อันจวิ้นอ๋องคาดเดาตัวตนของกู้เจียวอยู่ในใจ หากเขาเดาไม่ผิด นางคงจะเป็นหญิงสาวที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับน้องสาวของเขาในวันนั้น
แต่นางมิใช่ลูกสาวของอันติ้งโหวหรอกหรือ
จะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้เช่นไร
“เขาฟื้นแล้ว” กู้เจียวถาม “เจ้าหิวแล้วใช่หรือไม่”
“อืม ข้าหิวแล้ว” เสี่ยวจิ้งคงพยักตอบตามตรงก่อนจะถามต่อ “แล้วเขาเป็นอะไรหรือไม่”
กู้เจียวเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เขาไม่เป็นไร แค่รู้สึกเคืองตาก็เท่านั้น”
เสี่ยวจิ้งคงถามตา “แล้วเขาจะกล่าวโทษท่านย่าหรือไม่”
กู้เจียวหันไปมองอันจวิ้นอ๋อง “ช่วงนี้โจรขึ้นบ้านบ่อยนัก เจ้าเข้ามาทางประตูหลังเช่น ท่านย่าข้าคงคิดว่าเจ้าเป็นโจร”
“เป็นความผิดของข้าเอง” อันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“เขาไม่ได้โทษท่านย่า” กู้เจียวหันไปบอกกับเสี่ยวจิ้งคง “เจ้าไปหาขนมกินก่อน เดี๋ยวข้าจะไปทำกับข้าว”
จากนั้นเสี่ยวจิ้งคงจึงเดินออกไปอย่างวางใจ
อันจวิ้นอ๋องได้ยินเสียงของกู้เจียว ก็รู้ว่ายากนักที่นางจะเป็นคนคนเดียวกันกับที่ตบหน้าน้องสาวของเขาและกู้จิ่นอวี้ ราวกับนางเป็นคนละคนกันโดยชิ้นเชิง ทั้งยังเหมือนว่านางนั้นมอบความอดทนและความอ่อนโยนให้กับคนในบ้านของตนเพียงเท่านั้น
ภายในห้องไม่มีคนอื่น กู้เจียวจึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “อันจวิ้นอ๋องมาหาถึงบ้านเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือ”
เดิมที่แค่คาดเดา แต่ในตอนนี้อันจวิ้นอ๋องมั่นใจแล้วว่าแท้จริงนางคือใคร หากเป็นคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาคืออันจวิ้นอ๋อง
อันจวิ้นอ๋องไม่อาจบอกนางได้ว่า เขาสงสัยว่าไทเฮาหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านของพวกนาง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ขอปิดบังเจ้า เขามาที่บ้านเจ้าเพื่อขอโทษ เรื่องของน้องสาวข้าคงทำให้คุณหนูกู้ลำบากใจไม่น้อย”
กู้เจียว “อ๋อ”
วินาทีนั้นอันจวิ้นอ๋องฟังไม่ออกว่านางเชื่อหรือไม่ “เจ้าบอกว่า…คนที่ทุบข้าจนสลบเมื่อครู่เป็นท่านย่าของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ”
กู้เจียวเอ่ย “ทำไมหรือ”
อันจวิ้นอ๋องหน้านิ่งพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นางช่างมือหนักดีแท้”
ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงไม่ใช่ไทเฮา
ไทเฮารู้จักเขา
อันจวิ้นอ๋องตั้งท่าจะเอ่ยลา ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้องของเสี่ยวจิ้งคงดังมาจากท้ายเรือน “เจียวเจียว! ท่านย่าแอบกินผลไม้แช่อิ่มอีกแล้ว!”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย! เป็นเณรพูดปดได้อย่างไร!”
“ข้าไม่ใช่เณร!”
“เจ้าเป็นเณรน้อยหัวโล้น”
เสียงนั้น…
อันจวิ้นอ๋องรู้สึกถึงเพียงร่างกายของจนที่สั่นเครือ ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด!