สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 114.1 สอบระดับมณฑล (1)
หญิงชราใช้อู่หยางเป็นข้ออ้างในการให้ตัวเองได้กินของหวานตามใจปาก อู่หยางจึงได้แต่พูดว่า “แม่นางกู้ ข้าหิวแล้ว ข้าอยากทานผลไม้อบแห้ง” สักพักก็ “แม่นางกู้ ข้ากระหายน้ำหวาน ข้าอยากดื่มน้ำต้มถั่วเขียว ขอหวานๆ เลยนะ…”
พออู่หยางกลับถึงหมู่บ้าน ก็ทำท่าทางราวกับว่าสงสัยการมีอยู่ของตนเองยังไงยังงั้น
อันจวิ้นอ๋องพอเจอเขาที่ห้อง พลันเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง เจอไทเฮาหรือไม่”
“เจอก็เจออยู่หรอก…” อู่หยางเอ่ยตอบ สีหน้าเริ่มไม่สู้ดี
จะใช่ไทเฮาจริงๆ หรือ
อู่หยางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเรือนของกู้เจียวให้อันจวิ้นอ๋องฟัง
อันจวิ้นอ๋องทำหน้าตะลึงงึงงันเมื่อได้ฟังเรื่องราว เลยนึกขึ้นได้ถึงเมื่อวานตอนที่เขาไปที่หมู่บ้านนั้น ที่เขาได้ยินไทเฮาพูดจาแปลกๆ แต่ตอนนั้นเขากลับตื่นเต้นจนไม่ได้ตั้งใจฟังและเก็บมาคิด พอมานึกๆ ดูแล้ว บางทีไทเฮาอาจกำลังเล่นละครเพื่อซื้อใจพวกคนในเรือนแม่นางกู้ก็เป็นได้
“แต่กระหม่อมไม่คิดเช่นนั้นนะขอรับ” อู่หยางรีบโต้ “ตอนที่แม่นางกู้ออกไปตักน้ำ ทั้งเรือนมีแค่กระหม่อมกับไทเฮาสองคน หากพระองค์ทรงเล่นละครตบตาอยู่จริง ในเมื่อเห็นๆ อยู่ว่าไม่มีคนนอกอยู่ตรงนั้น พระองค์ก็ควรเผยตัวตนที่แท้จริงออกมามิใช่หรือ”
แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไทเฮาเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไข่ และทุกครั้งที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมา ก็มักถูกพระองค์เอ่ยขัดคอตลอด
เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าพระองค์จะทรงกินเก่งขนาดนี้
สำหรับอันจวิ้นอ๋องแล้ว ไทเฮามิใช่คนที่มัวแต่ห่วงเรื่องกินจนละเลยเรื่องสำคัญ แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่านางไม่ควรเสวยของหวานเยอะเกินขนาด หมอหลวงเคยกำชับไว้ว่านางอายุมากแล้ว เสวยแต่อาหารรสจืดไม่ปรุงแต่งจะดีที่สุด
อันจวิ้นอ๋องเริ่มพึมพำ “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร หรือไทเฮาทรงความจำเสื่อม อุปนิสัยเลยพลอยเปลี่ยนไปด้วยอย่างนั้นรึ”
หรือว่า นี่คือธาตุแท้ของพระองค์ ทุกอย่างที่พระองค์เคยทำตลอดเวลาที่อยู่ในวังมาเป็นสิบๆ ปีเป็นเพียงแค่เรื่องสร้างขึ้นมาเท่านั้น
อู่หยางมิบังอาจคาดเดามั่วซั่ว จึงเอ่ยถามต่อ “แล้วท่านจะทำเช่นไรต่อ ยังจะพาไทเฮากลับเมืองหลวงอีกหรือไม่ขอรับ”
“ข้าไม่รู้” อันจวิ้นอ๋องถอนหายใจ
ไทเฮาร่างใหม่คนนี้คงมิใช่คู่ปรับของฝ่าบาทอย่างแน่นอน แต่หากปล่อยนางไว้ที่นี่ เขาเองก็ไม่สบายใจ
อันจวิ้นอ๋องครุ่นคิดอยู่สักพัก จู่ๆ เกิดนึกอะไรขึ้นได้ จึงถามอู่หยาง “ยังมีบางจุดที่ข้ายังไม่เข้าใจ”
“อย่างไรรึ”อู่หยางสงสัย
อันจวิ้นอ๋องเปิดหน้าต่างออก ทอดสายตาไปยังสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านนอก “ไทเฮาความจำเสื่อมได้อย่างไร เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับติ้งอันโหวหรือไม่”
อู่หยางก้าวเท้าตาม พลางเอ่ยตอบ “ท่านจะบอกว่า พวกเขาจงใจให้ไทเฮาเป็นคนปัญญาอ่อนเช่นนี้งั้นหรือ”
อันจวิ้นอ๋องหันกลับมาจ้องเขม็งใส่เขา
“กระหม่อมขออภัยที่พลั้งปาก” อู่หยางทำคอหด พลางก้มหน้า
กล้าพูดได้เยี่ยงไรว่าไทเฮากลายเป็นคนปัญญาอ่อน แม้จะเป็นเช่นนั้นจริงก็ตามแต่
“แม่นางกู้คนนั้นเป็นใครมาจากไหน เจ้าสืบแล้วใช่ไหม” อันจวิ้นอ๋องถาม
“สืบมาแล้วขอรับ นางเป็นเด็กแฝด เมื่อตอนที่ฮูหยินได้ให้กำเนิดนางที่วัดดันเกิดเหตุการณ์อุ้มเด็กสลับกัน กู้จิ่นอวี้แท้จริงแล้วเป็นเด็กชนบท แต่เพราะนางเติบโตและผูกพันกับพวกเขา แม้นางจะรู้ความจริงแล้วแต่ก็ไม่มีใครพานางสลับตัวคืน ส่วนแม่นางกู้ตัวจริงนั้น ทราบความว่า นางไม่ยอมกลับจวน แถมยังออกเรือนแล้ว เป็นบุรุษจากต่างเมืองขอรับ”
“เจ้าไปได้ความมาจากที่ใด” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม
“กระหม่อมถามฮูหยินโดยตรงขอรับ”
แม่นางเหยาไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นความลับที่ต้องปิดบังอะไร พออู่หยางถามมา นางก็ตอบไปตามความจริง
อันจวิ้นอ๋องออกความเห็น “ถ้าเช่นนั้น ที่แม่นางกู้ไปอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้น ก็มิใช่เพราะกู้โหวเหย่สั่งน่ะสิ”
อู่หยางส่ายหัว “ใช่แล้วขอรับ กระหม่อมเดาว่า หลังจากที่ไทเฮาสูญเสียความทรงจำ แม่นางกู้ก็รับพระองค์ไปดูแล แต่ว่า…เหตุใดนางถึงได้กลายเป็นย่าของสามีของแม่นางกู้ล่ะ”
“โรคเรื้อนยังไงเล่า” อันจวิ้นอ๋องหรี่ตามอง
“อย่างไรหรือขอรับ” อู่หยางทำท่าตะลึง
อันจวิ้นอ๋องคว้ากระถางดอกไม้ขึ้นมา พลางเอ่ย “ก็เมื่อครู่เจ้าบอกเองมิใช่รึว่าสามีของนางเป็นคนต่างเมือง”
อู่หยางเริ่มเหงื่อตก “ใช่ขอรับ แต่ว่าเกี่ยวอะไรกันกับที่นางรับไทเฮามาดูแลล่ะขอรับ คงมิใช่ว่าสามีของนางเป็นญาติของไทเฮาหรอกนะขอรับ”
เป็นไปไม่ได้หรอก ระดับไทเฮาไม่น่ามีญาติสนิทมิตรสหายเป็นชาวบ้านชนบทตาดำๆ หรอก
อันจวิ้นอ๋องออกความเห็นต่อ “ถ้าไทเฮาทรงประชวรด้วยโรคเรื้อนจริง แล้วมาเป็นลมล้มลงหน้าเรือนเจ้า หากแม่นางกู้ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของพระองค์ เป็นเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร”
อู่หยางดวงตาเบิกโพลง พลางเอ่ย “จะเป็นไปได้หรือท่าน โรคเรื้อนแพร่เชื้อเร็วและกว้างขนาดนั้น อย่างดีก็ต้องถูกส่งไปภูเขาเรื้อนนะขอรับ! หรือว่า…”
อันจวิ้นอ๋องเลิกมุมปากขึ้น “ใช่แล้ว เพื่อที่จะได้ไม่ถูกเนรเทศไปภูเขานั้น พวกเขาเลยรับนางมารักษาดูแลจนหายดี และเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย เลยกุเรื่องขึ้นว่านางเป็นย่าของสามีแม่นางกู้”
อู่หยางเริ่มเห็นภาพชัดขึ้น “จริงด้วยขอรับ สามีแม่นางกู้เป็นคนต่างเมือง ดังนั้นผู้มีศักดิ์เป็นย่าก็ย่อมต้องเป็นคนต่างเมืองด้วย ไม่มีใครสงสัยพวกเขาแน่นอนขอรับ!”
“แต่ที่ข้ารู้สึกประหลาดใจก็คือ แม่นางกู้รักษาไทเฮาได้เช่นไร” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางคว้าเด็ดดอกบอนสีที่บานสะพรั่งขึ้นมาชม
กู้โหวเหย่เคยพูดกับเขาไว้ว่านางเป็นแค่ผู้ช่วยหมอตัวเล็กๆ เท่านั้น ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้จักบุตรสาวของตัวเองดีสินะ
อู่หยางหันไปสบตากับอันจวิ้นอ๋อง “จวิ้นอ๋องขอรับ หากนางรักษาโรคเรื้อนได้จริงละก็ บางที…”
อันจวิ้นอ๋องไม่รอให้คนสนิทเอ่ยจบ ก็รีบยกมือห้ามเสียก่อน “ข้ายังไม่อยากปักใจเชื่อนาง”
อู่หยางทำหน้าสับสน พลางถอนหายใจ “ขอรับ แล้ว…เรื่องไทเฮา ท่านจะทำอย่างไรต่อขอรับ”
อันจวิ้นอ๋องขบคิดอยู่พักนึง จากนั้นเอ่ย “ในเมื่อพระองค์สูญเสียความทรงจำ ต่อให้ข้าไปยืนยันตัวตนต่อหน้าพระองค์ ก็มิได้แปลว่าทรงจะยอมออกจากที่นั่น แถมยังเสี่ยงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพระองค์อีกด้วย ข้าอยากให้เจ้าไปหากำลังเสริมมา เราจะลักพาตัวนางออกมา!”
“ลัก ลักพาตัวเลยหรือ”
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
อู่หยางเป็นคนทำอะไรเร็ว ไม่นานเขาก็รวมกำลังคนฝีมือดีมาได้เจ็ดนาย มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชิงเฉวียนเพื่อที่จะลักพาตัว…เอ่อ ไม่สิ ขอเรียกว่าพาตัวออกมาก็แล้วกัน
พอพวกเขามาถึงที่เรือนแม่นางกู้ถึงได้พบว่าที่นั่นมีองครักษ์ลับประจำอยู่สองนาย
คงเป็นคนที่จวนติ้งอันโหวส่งมาคุ้มครองแฝดน้องสินะ อู่หยางจึงคิดหาวิธีที่จะให้สองคนนั้นปลีกตัวออกมาให้ได้ หากเกิดเสียงอึกทึกจนไทเฮาตื่นมีหวังได้ความแตกแน่
แต่องครักษ์ลับสองคนนี้ดูมิใช่ทหารเฝ้ายามทั่วๆ ไป ดูแล้วคงไม่ปล่อยให้เจ้านายของพวกเขาคลาดสายตาไปได้ง่ายๆ และระหว่างที่อู่หยางกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น จู่ๆ องครักษ์ลับสองนายก็เดินออกจากห้องแล้วจู่ๆ ก็เดินหายเข้าไปในป่า
อู่หยาง “…”
แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ
เอาล่ะ ไม่สนแล้ว เวลามีค่า ต้องรีบลงมือเลย!
อู่หยางทำสัญญาณมือบ่งบอกว่าทางสะดวก จากนั้นบุรุษชุดดำทั้งเจ็ดพลันปรากฏกายขึ้น และกระโดดเข้าไปทางลานหลังเรือน
อู่หยางเองก็มองไว้ว่าจะเข้าทางลานเรือน ขณะที่กำลังตั้งท่าอยู่นั้นเอง ก็เกิดเสียงอั่กดังขึ้น สักพักบุรุษชุดดำพลันลอยข้ามกำแพงออกมาราวกับถุงทรายที่กำลังร่วงลงพื้น
อู่หยางเริ่มเลิ่กลั่ก
หรือว่าพวกเขาจะเข้าไปผิดท่ากันนะ
อู่หยางไต่ขึ้นกำแพง
และในตอนนั้นเอง บุรุษชุดดำอีกคนก็ลอยออกไปต่อหน้าต่อหน้าเขาในลักษณะโค้งสวยงามจนร่างตกลงบนพื้น
อู่หยางมองภาพตรงหน้าตาค้าง
ก็ไหนเขาเห็นว่าองครักษ์สองคนนั้นเดินออกไปแล้วไง หรือว่าจะกลับเข้ามาแล้ว
เขาหันไปทางลานด้านหลัง ก็พบว่าไม่ใช่องครักษ์สองคนนั้นแต่อย่างใด แต่เป็นแม่นางกู้คนดีคนเดิมที่เคยตะลุมบอนแม่นางกู้จิ่นอวี้และคุณหนูจวงฉ่ายเตี๋ย!
วันนั้นอู่หยางยังคิดในใจอยู่เลยว่าแม่นางกู้ทำแรงเกินไป แต่ภาพตรงหน้าที่เขาได้เห็น เลยทำให้เห็นว่า วันนั้นถือว่านางออมมือให้เยอะแล้ว!
ถ้านางไม่เบามือละก็มีหวังคุณหนูทั้งสองคงได้กะโหลกยุบแน่นอน
แม้ว่าคนของอู่หยางจะไม่ใช่คนที่มีฝีมือชั้นหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าเทียบกับคนเก่งๆ คนอื่นแล้วจัดว่าค่อนข้างเหนือชั้นกว่าเลยทีเดียว แต่ดันมาพ่ายให้กับแม่นางกู้คนเดียวง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ
อู่หยางอยากจะร่ำไห้
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมองครักษ์ลับสองคนของจวนติ้งอันจึงรีบเข้าไปในป่า คงเป็นเพราะกลัวว่าจะรบกวนการทำงานของนางสินะ
อู่หยางพินิจพิเคราะห์ดีแล้วว่า เขาไม่ใช่คู่ปรับของนางแต่อย่างใด
“ขออภัยด้วย แม่นางกู้”
อู่หยางคว้าหน้าขึ้นมาพร้อมกับลูกดอก เล็งไปที่หัวไหล่ของกู้เจียว
และในตอนนั้นเอง ประตูห้องหญิงชราเปิดออก ปรากฏหญิงชราเดินหาวหวอดๆ ออกมาจากห้อง “เกิดเรื่องอะไร ทำไมเสียงดังจัง”
อู่หยางตกใจจนเผลอเล็งพลาด!
และดันพลาดไปทางหญิงชราเสียด้วย อู่หยางหัวใจแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
แรงพุ่งของหน้าไม้เร็วและไวกว่าธนูหลายเท่า สายเกินไปที่เขาจะหยุดลูกดอกนั้นไว้!
และในตอนนั้นเอง กู้เจียวก็กระโดดเข้าไปยืนขวางหญิงชรา แล้วผลักร่างหญิงชราออกไปด้านข้าง ลูกดอกนั้นพุ่งเข้าไปเฉียดที่หลังมือของกู้เจียว และปักลงไปที่กำแพงด้านหลัง
หลังมือของกู้เจียวเกิดเป็นรอยแผลเหวอะและเต็มไปด้วยเลือด
กู้เจียวใช้มืออีกข้างดึงลูกดอกออกมา พลางหันไปทางบริเวณที่อู่หยางยืนอยู่เมื่อครู่ซึ่งมีแต่ความมืดมิด จากนั้นกู้เจียวเล็งแล้วเขวี้ยงลูกดอกออกไปด้วยความโมโห!
ลูกดอกนั้นเร็วมากเสียจนแม้แต่คนเก่งระดับอู่หยางยังหลบไม่พ้น
ไหล่ขวาของอู่หยางโดนลูกดอกของกู้เจียวเข้าให้ เขาถอนหายใจ พลางตะโกนถอยทับ “ถอยก่อน!”
พอพวกเขาแยกย้ายออกไป หมู่บ้านก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หญิงชราเห็นรอยแผลบนมือของกู้เจียว พลางร้องอุทาน “เจียวเจียว เจ้าบาดเจ็บ!”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่หนังเปิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง” กู้เจียวทำทีไม่ใส่ใจ
หญิงชราก่นด่า “ให้อยู่สงบๆ ไม่ได้เลยใช่ไหม พวกโจรบ้า!”
โจรงั้นหรือ
พวกโจรที่เข้าบ้านเมื่อครั้งก่อนๆ ไม่ได้แต่งตัวและพกอาวุธแบบนี้นี่นา
กู้เจียวหันไปทางฟ้ามืด พลางคิดในใจ คนพวกนี้คงไม่ได้มาเอาเงินแน่นอน พวกเขามุ่งหน้าไปทางห้องของหญิงชราลูกเดียวเลย
อู่หยางกลับหมู่บ้านพร้อมกับแผล ยังไม่ทันจะทำแผลให้ตัวเองก็รีบไปรายงานให้อันจวิ้นอ๋องทราบก่อน
“เกิดอะไรขึ้น” อันจวิ้นอ๋องมองสภาพสะบักสะบอมของเขาพลางเอ่ยถาม
“กระหม่อมทำงานพลาด กระหม่อมพาไทเฮากลับมามิได้ขอรับ…ทั้งยัง…เกือบพลั้งมือลอบทำร้ายร่างกายไทเฮา…”
เขาไม่กล้าปิดบังเรื่องนี้ และเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างโดยละเอียด
อันจวิ้นอ๋องพอได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ “คาดไม่ถึงเลย…”
“ใช่ไหมขอรับ กระหม่อมเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเด็กสาวที่โตในชนบทฝีมือการต่อสู้จะน่ากลัวเช่นนี้!”
อันจวิ้นอ๋องยกมุมปาก “ไม่ ข้าตกใจที่นางยอมพลีชีพเพื่อปกป้องหญิงชราที่ไม่ได้มีสายโลหิตเดียวกัน”
เห็นได้ชัดว่าที่นางรับพระองค์มาดูแลก็เพื่อป้องกันตัวเองในตอนแรก แต่ตอนนี้ พระองค์ทรงหายดีแล้ว นางจะไม่ให้พระองค์อยู่ต่อก็ได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องปลิดชีพตัวเองเพื่อช่วยอีกฝ่ายหนึ่ง น่าประหลาดใจยิ่งนัก
ถ้าเป็นไปตามที่อู่หยางพูดจริง หากนางเบี่ยงหลบอีกนิด เกรงว่าลูกดอกจะทิ่มทะลุหัวใจเข้าไปนี่สิ
นับวันเขายิ่งดูไม่ออกว่าแม่นางกู้แท้จริงเป็นคนแบบไหนกันแน่
เขามองออกไปทางหน้าต่างตรงเส้นขอบฟ้า พลางบ่นพึมพำ “แม่นางกู้ ยังมีเรื่องอะไรอีกที่ข้ายังไม่รู้เกี่ยวกับเจ้า”
“จวิ้นอ๋อง ประเดี๋ยวคืนวันพรุ่งนี้กระหม่อม…” อู่หยางเสนอความเห็น
อันจวิ้นอ๋องขัดคอเขา “ไม่ต้องหรอก ในเมื่อนางเป็นห่วงพระองค์ขนาดนี้ ก็ให้พระองค์อยู่กับนางไปก่อนแล้วกัน”
“จวิ้นอ๋อง!” อู่หยางตกใจ
อันจวิ้นอ๋องหันไปทางด้านนอก พลางเอ่ย “นี่คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะแก่การพาพระองค์กลับเมืองหลวง รอให้ข้าไปรายงานเรื่องนี้กับท่านปู่ก่อนเถิด พอปูทางแล้วเสร็จก็ค่อยพาไทเฮากลับไปยังเมืองหลวงอย่างปลอดภัย แม่นางกู้ พวกเราคงได้เจอกันอีกในไม่ช้า”
วันถัดมา อันจวิ้นอ๋องขอตัวลากับกู้โหวเหย่และแม่นางเหยา “การสอบระดับมณฑลใกล้เข้ามาทุกที ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว และข้าต้องรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าได้รับการดูแลจากพวกท่านเป็นอย่างดี พวกเราผู้น้อยรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้”
เขาหยิบคำว่า “ผู้น้อย” ทำเอากู้โหวเหย่ถึงกับพูดติดอ่าง!
อันจวิ้นอ๋องส่งสายตาอ่อนน้อมให้แม่นางเหยา “โหวฮูหยิน บุตรสาวของท่านเป็นคนปรีชาสามารถนัก ยิ่งกว่าหญิงสาวในเมืองหลวงรวมกันเสียอีก หากมีโอกาส ข้าอยากพาบุตรสาวของท่านไปที่จวน พูดคุยผูกมิตรกันกับเมิ่งเตี๋ย”
แม่นางเหยาโค้งคำนับให้แสดงความขอบคุณ
กู้จิ่วอวี้ที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังก็เกิดหน้าแดงขึ้นอย่างอดไม่ได้
จวิ้นอ๋องกำลังชมตนอยู่ใช่ไหม
จวงเมิ่งเตี๋ยได้ยินดังนั้นยังนึกอยู่เลยว่าพี่ชายตนเองกำลังชมแม่นางกู้จิ่นอวี้ แต่ที่จริงนางรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นแฝด รู้ว่าพวกเขาอุ้มเด็กสลับกัน เด็กสาวคนนั้นต่างหากที่เป็นบุตรสาวที่แท้จริง!
แต่ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหน จวงเมิ่งเตี๋ยล้วนไม่ชอบทั้งสิ้น!
จากนั้น พวกเขาก็เดินทางกลับไปที่เมืองหลวง
รถม้าออกตัวไปไกลแล้วก็จริง แต่กู้จิ่นอวี้ยังคงติดอยู่กับคำชมเมื่อครู่ไม่หาย
ด้วยรูปลักษณ์ของอันจวิ้นอ๋อง ไม่ว่าหญิงสาวหน้าไหนต่างก็ชอบเขา แม้จะได้แค่ฝันกลางวันก็ตาม
แต่ถ้าหาก…จวิ้นอ๋องเกิดชอบพอหญิงงามคนไหนขึ้นมาล่ะ
เท่าที่นางรู้ จวิ้นอ๋องยังไม่เคยแต่งงาน สิ่งที่เขาพูดมาเมื่อครู่…คงมิใช่ว่า เขาพูดเป็นนัยแฝงให้ท่านพ่อท่านแม่หรือไม่นะ
กู้จิ่นอวี้เหลือบตามองกู้โหวเหย่กับแม่นางเหยาแวบนึง ท่าทีของพวกเขาดูนิ่งเกินไป ช่างเดาได้ยากยิ่ง
กู้จิ่นอวี้เริ่มใจร้อน
ท่านพ่อคงไม่มานั่งคิดเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งช่วงนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องกู้เจียว คงไม่มีเวลามาสนใจหรอก
แต่ถ้าหาก…ถ้าเหนียงรู้ว่าอันจวิ้นอ๋องเกิดชอบพอบุตรสาวที่จวนแห่งนี้ขึ้นมา นางจะส่งกู้เจียวออกเรือนหรือไม่
แค่ชั่วพริบตาเดียว กู้จิ่นอวี้ก็เริ่มคิดมากจนหัวแทบจะระเบิดออกมา
นางรู้สึกกวนใจ คำพูดของอันจวิ้นอ๋องทำให้นางเริ่มคิดไปไกลจริงๆ อีกทั้งนางอยากกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อไปหาซูเฟย