สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 114.2 สอบระดับมณฑล (2)
กู้เจียวหยิบเครื่องไม้เครื่องมือทำนาขึ้นมา มีหลากหลายชนิด เด็กของโรงหมอเป็นคนหยิบมาให้
ก่อนจะแยกย้าย ช่างตีเหล็กนายหนึ่งเอ่ยเรียกนางขึ้น “พ่อหนุ่ม คุณหนูของเจ้านามสกุลอันใดรึ”
เด็กผู้ช่วยเอ่ยตอบ “ท่านหมายถึงแม่นางกู้สินะ นางมิใช่คนของเรือนข้าหรอก”
ช่างตีเหล็กทำหน้าตกใจ “เอ๋ ถ้าอย่างนั้น…”
เด็กผู้ช่วยไม่รู้เรื่องการรักษาคนของกู้เจียว จึงเอ่ยถามต่อ “นางเป็นสหายของเถ้าแก่”
ช่างตีเหล็กถามต่อ “ข้าขอถือวิสาสะถามว่านางพักอยู่ที่ไหนได้หรือไม่ จะได้เข้าไปขอบคุณนางด้วยตัวเอง”
เด็กผู้ช่วยขานตอบ “แม่นางกู้กำชับข้าไวว่าหากการรักษาเป็นไปได้ด้วยดี นางขอแค่เครื่องมือเกษตรพวกนี้ไว้ใช้โดยไม่ต้องเสียเงินก็พอ”
“แต่ว่า…”
แล้วเด็กผู้ช่วยก็ขนอุปกรณ์ออกไปอย่างไม่รอช้า
ช่างตีเหล็กมองดูรถม้าเคลื่อนตัวออกไปด้วยสายตาเหม่อลอย
กู้เจียวยังไม่มีแผนจะทำอะไรกับพื้นที่ว่างตรงเชิงเขา นางจ้างวานชาวบ้านให้มาช่วยทำพื้นที่เพาะปลูก จากนั้นขุดบ่อปลาและทำรางน้ำเพื่อให้น้ำจากน้ำตกไหลลงมาในบ่อปลา
องครักษ์ลับของกู้เหยี่ยนบัดนี้ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นแรงงานของกู้เจียว ทุกวันพวกเขาถูกส่งตัวไปขุดคูน้ำและเพาะปลูกที่ดิน หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ทั้งสองคนจากที่เคยใบหน้าขาวผ่องก็กลายเป็นเถ้าถ่านสีดำเพราะตากแดดเป็นเวลานาน
และแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึง
หน้าร้อนปีนี้ไม่ได้ร้อนระอุเหมือนแต่เคย แต่กลับกลายเป็นว่าช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี่แหละที่ดูท่าอุณหภูมิยังไม่ลดลงเสียที
เซียวลิ่วหลังและพรรคพวกเดินทางมาถึงหัวเมืองได้ช่วงหนึ่งแล้ว พวกเขาได้รับการต้อนรับและดูแลจากตระกูลหลิน จึงได้เข้าพักในโรงเตี๊ยมที่หรูหราและใกล้กับสถานที่สอบ
ไม่ว่าผู้ดูแลโจวจะเชิญเขาไปเป็นแขกที่เรือนสักกี่ครั้งก็ตาม ก็จะโดนเซียวลิ่วหลังปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง
ช่วงนี้หลินเฉิงเย่เองก็ถูกเซียวลิ่วหลังเคี่ยวเข็ญอยู่ไม่น้อย ตอนไปเยือนที่หมู่บ้านชิงเฉวียนใหม่ๆ เขายังมีรูปร่างอ้วนท้วนอยู่เลย พอกลับมายังหัวเมืองกลับผอมซูบลงถนัดตา
ทุกครั้งที่เซียวลิ่วหลังอธิบายโจทย์ให้เขาฟัง เขามักจะรู้สึกถึงความรู้แจ้งกระจ่าง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเซียวลิ่วหลังถึงได้เป็นคนมีความรู้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เผลอๆ เขาดูจะเก่งกว่าพวกอาจารย์ทั้งหลายที่ถูกเชิญมาสอนให้เขาเสียอีก
จะเว้นก็แค่ พอถึงคราวเซียวลิ่วหลังออกข้อสอบให้เขาเท่านั้นแหละ หลินเฉิงเย่ถึงกับหน้าหงายกันเลยทีเดียว
ขนาดระดับคนอย่างเขาที่เคยผ่านข้อสอบระดับตำบล จังหวัด สำนักมาบ้าง แต่ข้อสอบของเซียวลิ่วหลังอย่าได้เรียกว่าข้อสอบเลย เรียกว่ามีดยังจะถูกต้องเสียกว่า!
ต่อให้มีแนวข้อสอบเกี่ยวกับซื่อซูหวู่จิงก็ตาม แค่ต้องท่องจำเป็นบางบทไปเท่านั้น
แต่สำหรับเซียวลิ่วหลังแล้ว เขาไม่ได้สนใจแนวข้อสอบอะไรนั่น ครึ่งหนึ่งของข้อสอบที่เขาออกไม่ได้อยู่ในบทสำคัญที่ต้องท่องจำ
หลินเฉิงเย่อ่านหนังสือเตรียมสอบจนหัวโต โดนเซียวลิ่วหลังทรมาทรกรรมจนร่างกายซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าว่าเจ้ามองเขาผิดไปแล้วล่ะ เขาไม่ได้จงใจจะเลือกไม่เก็งข้อสอบในบทสำคัญหรอก แต่เขาไม่รู้เลยต่างหากว่าบทไหนสำคัญ” หลินเฉิงเย่บ่นให้เฝิงหลินฟัง
เขาเล่นท่องจำตั้งแต่ตั้งแต่ต้นจนจบ เก็บทุกเม็ดทุกรายละเอียดไม่ยกหล่นแม้แต่คำเดียว!
แม้ว่าหลินเฉิงเย่จะสาหัสกับการติวหนังสือของเซียวลิ่วหลัง แต่สุดท้ายช่วงก่อนสอบ เขาก็เลือกที่จะพักกับพวกเขาที่โรงเตี๊ยม ไม่ได้กลับไปนอนที่จวนแต่อย่างใด
การสอบระดับมณฑลมีทั้งหมดสามด่านด้วยกัน แต่ละด่านใช้เวลาทำข้อสอบสามวัน
ข้อสอบด่านแรกจะเริ่มขึ้นในเดือนแปดวันที่แปด ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ ทั้งโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยนักเรียนที่จะมาเข้าสอบ คุกรุ่นด้วยบรรยากาศอันตึงเครียด
จะมีก็แต่เซียวลิ่วหลังที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนใครเขา
เฝิงหลินเองก็รู้สึกตื่นเต้นกังวล แต่ด้วยความที่เขามีเรื่องมากมายให้ต้องสะสาง เลยไม่มีกะใจมารู้สึกกดดันแต่อย่างใด
“เสี่ยวหลิน เข้ามาช่วยหน่อยเร็ว!” เฝิงหลินเรียกหลินเฉิงเย่ให้เข้าไปในห้องครัว
ห้องครัวแห่งนี้ตระกูลหลินใช้เงินมหาศาลในการขอเช่า อีกทั้งยังจัดหาพ่อครัวไว้โดยเฉพาะ
การสอบครั้งนี้ไม่มีอาหารให้ทาน พ่อครัวจึงเตรียมกับข้าวไว้ให้พวกเขา แต่เฝิงหลินกลับรีบปฏิเสธเขา
เพราะก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมา กู้เจียวได้จดรายการอาหารไว้ให้พวกเขา รวมถึงอาหารแต่ละอย่างที่ต้องระวัง
ในรายการมีการแบ่งประเภทอาหารแต่อย่างไว้ละเอียด ซ้ำยังคำนึงถึงเรื่องสภาพอากาศ หากอากาศหนาวให้เตรียมอาหารชุดที่หนึ่งไว้ หากอากาศร้อน ให้เตรียมอาหารชุดที่สองไป
“แผ่นแป้ง เนื้อแห้ง ส้มจี๊ด ผักดอง…”
เฝิงหลินและหลินเฉิงเย่ง่วนอยู่แต่ในครัวทั้งบ่าย ในที่สุดก็เตรียมอาหารแล้วเสร็จ พวกเขาทำเนื้ออบแห้งเอง กลิ่นเนื้อจากห้องครัวกระจายไปทั่วโรงเตี๊ยมจนพวกนักเรียนที่กำลังเตรียมสอบอยู่ต้องมีน้ำลายไหลบ้างล่ะ
ส่วนผักดองพวกเขาเตรียมไว้ตั้งแต่วันก่อนแล้ว วันนี้ได้ที่พอดี เฝิงหลินเลยจัดแจงเอาผักดองใส่ขวดโหลสามใบ
ส่วนแผ่นแป้งเก็บไว้ได้ไม่นาน พ่อครัวจึงตื่นมาทำตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เฝิงหลินกำชับเขาไว้อย่างดีว่าแผ่นแป้งต้องแห้งสนิท ห้ามแฉะ
ทุกการสอบจะมีผู้คุมสอบที่ราชสำนักจัดหามาให้สองนาย
พวกเขาจะมารวมตัวกันที่สนามสอบสองวันก่อนที่จะเริ่มการสอบ จากนั้นพวกเขาจะมีจัดการประชุม และจากนั้นกรรมการในม่านจะเข้าไปในห้องตรวจด้านใน และผู้คุมสอบจะเป็นคนคอยปิดม่านให้
กรรมการในม่านที่ว่าก็คือผู้ตรวจข้อสอบ พวกเขาจะอยู่ในห้องตรวจจนกระทั่งการสอบนั้นเสร็จสิ้น พอตรวจข้อสอบเสร็จจึงจะสามารถออกไปได้
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน ช่วงเวลานี้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกได้ แม้แต่ผู้คุมสอบเองก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน
พอถึงวันสอบ ผู้เข้าสอบทุกคนทยอยกันมาที่สนามสอบกันแต่เช้าตรู่
แม้จะใช้เวลาสอบสามวัน แต่วันที่ได้ทำข้อสอบจริงๆ คือวันที่สอง วันแรกเป็นวันตรวจก่อนเข้าสอบ ส่วนวันที่สามเป็นวันตรวจก่อนออกจากห้องสอบ
ผู้เข้าสอบต่อแถวรอเป็นหางว่าว
เซียวลิ่วหลังและคนอื่นๆ มาถึงสนามสอบไม่เร็วไปและไม่ช้าไป พวกเขาได้ลำดับที่ร้อยกว่า
ท่าทีสบายๆ ของพวกเขาทำเอาผู้ดูแลโจวเริ่มกังวล
การสอบระดับมณฑลไม่สามารถเอาคนมาเข้าแถวแทนได้ หากทำได้จริงละก็รับรองทั้งสนามสอบจะมีแต่คนของตระกูลหลินแน่นอน!
“น้ำดื่มล่ะ” ผู้ดูแลโจวถามหลินเฉิงเย่
“อืม” หลินเฉิงเย่พยักหน้าตอบ
ผู้ดูแลโจวถามต่อ “เอาของกินมาแล้วใช่ไหม”
“เอามาแล้ว” หลินเฉิงเย่พยักหน้าตอบอีกรอบ
เขาตอบอย่างมั่นใจ
แต่ผู้ดูแลโจวยังคงไม่วางใจ “แล้ว…เสื้อกันหนาวล่ะ กลางคืนหนาวมากนะ”
“ร้อน” หลินเฉิงเย่เอ่ย
ผู้ดูแลโจวถอนหายใจ เฮ้อ ปีนี้อากาศแปรปรวนยิ่งนัก ช่วงที่ควรจะร้อนก็ไม่ร้อน ควรจะหนาวก็กลับไม่หนาว
ครั้นผู้ดูแลโจวจะเอ่ยอะไรต่อ หลินเฉิงเย่รีบเบ้ปากแย่งพูดเสียก่อน “เจ้าไปเถอะ ข้ารำคาญ”
“…”
“ไอ้หยา!”
ผู้ดูแลโจวเดินออกไปไม่กี่ก้าว ก็ตกใจกับเสียงอุทานของเฝิงหลินจนเกือบล้มลงไป
“มีอะไรรึ”
“ข้าลืมเอาสิ่งนี้ให้พวกเจ้า! เจียวเหนียงบอกว่า หากอากาศร้อนให้ใช้สิ่งนี้ มันช่วยให้สดชื่นขึ้นได้ แถมยังช่วยไล่แมลงได้อีกด้วย”
สิ่งนี้ที่ว่าคือน้ำมันหอมสามขวด
เพียงแต่กู้เจียวบรรจุมันลงในขวดมรกตแทน ปิดฝาอย่างหนาแน่นแล้วห่ออย่างดี
“เอาเข้าไปได้หรือ” ผู้ดูแลโจวสงสัย เพราะการสอบนำเข้าได้แค่น้ำและอาหารเท่านั้น
เฝิงหลินอธิบายต่อ “น้ำมันนี่ใช้ภายนอกได้ รับประทานก็ได้ เจียวเหนียงบอกว่าถ้ามีคนถาม ก็ดื่มให้เขาดูเสีย”
เซียวลิ่วหลังทำหน้าประหลาดใจ “พวกเจ้าซี้กันไม่เบาเลยนะ…”
“เมื่อก่อนข้าไม่รู้เรื่อง ก็เลยเข้าใจนางผิดไป ที่จริงแล้วนางเป็นคนดีมากๆ เลยล่ะ! ลิ่วหลัง จริงๆ นะ เจ้าโชคดีมากเลยที่มีภรรยาแสนดีแบบนี้! ข้าเองก็อยาก…” เฝิงหลินพูดจนไม่ทันระวังสายตาอำมหิตของคนข้างๆ
เซียวลิ่วหลังจ้องเขม็งเขาเสียจนเฝิงหลินรู้ตัวและไม่พูดอะไรต่อ
“เอาน่า ข้าพูดเล่น” เฝิงหลินทำท่าหดตัว
เซียวลิ่วหลังคว้าขวดน้ำมันหอมมา
คงไม่ใช่ของที่มาจากกล่องประหลาดนั่นหรอกใช่ไหม
ลักษณะอักษรแบบนี้เขาเคยเห็นมาก่อน ข้าวของที่อยู่ในนั้นก็มีอักษรแบบนี้เขียนไว้เหมือนกัน
เพียงแต่คืนนั้นเขาไม่ยักกะเห็นขวดสีเขียวแบบนี้มาก่อน
เขาไม่ได้ตาฝาดไปแน่นอน กล่องเล็กๆ นั่นมีแต่ของแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แถมไม่มีอันไหนซ้ำกันด้วย
นี่นางเก็บของประหลาดพวกนี้ไว้ทำอะไรกันแน่นะ
ในเมื่อขวดๆ พวกนี้คือตัวยา แล้วข้าวของที่เหลือ หรือว่าจะเป็นยาเหมือนกัน
หรือกล่องนั้นก็คือ กล่องโอสถอย่างนั้นรึ
ขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังครุ่นคิดไขปริศนากล่องประหลาดของกู้เจียวอยู่นั้น ไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงจุดตรวจ
เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าขวดที่พวกเขาเอามานั้นเป็นแค่น้ำ เขาจึงยกขึ้นดื่มให้ผู้ตรวจเห็นจนเกือบจะสำลักตายเพราะกลิ่นฉุนของน้ำมันหอม!
บ้าจริง อะไรมันจะเย็นสดชื่นขนาดนี้เนี่ย!
พอเข้าไปในสนามสอบ ผู้เข้าสอบทุกคนก็ถูกแบ่งให้เข้าไปในห้องสอบตามลำดับ
สภาพห้องสอบค่อนข้างทรุดโทรม มีแค่แผ่นไม้สองแผ่นที่ใช้เป็นโต๊ะและเก้าอี้ พอถึงเวลากลางคืน ผู้เข้าสอบก็นำแผ่นไม้สองอันมาวางต่อกันเพื่อทำเป็นเตียงชั่วคราว
ในสามวันนี้ พวกเขาต้องกินนอนถ่ายอยู่ในสนามสอบเท่านั้น
การสอบด่านแรกคือการเขียนคัมภีร์และบทกลอน ข้อสอบให้เลือกเขียนหลุ่นอวี่หนึ่งบท จงยงหนึ่งบท หรือจะเป็นต้าเสวียหนึ่งบท เมิ่งจื่อหนึ่งบท และเพิ่มบทกลอนที่ประพันธ์เองขึ้นมาหนึ่งบท
ข้อสอบปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เพราะดันเพิ่มข้อเสี้ยวจิงมาเพิ่มอีกหนึ่งบท
ว่ากันตามตรง เสี้ยวจิงไม่ได้มีตัวอักษรเยอะนัก ไม่ถึงสองพันคำด้วยซ้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้…ไม่เคยมีออกสอบมาก่อน!
ถ้าไม่ออกสอบ ใครจะมานั่งท่องจำกันเล
พอเห็นว่าในข้อสอบมีให้เขียนเสี้ยวจิงด้วย หลินเฉิงเย่ก็เริ่มขนลุกซู่!
ที่ขนลุกไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เป็นเพราะดีใจต่างหาก!
เพราะเซียวลิ่วหลังเคยออกข้อสอบนี้ให้เขาไงล่ะ!
เขาเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดมากคนนึง ข้อสอบไหนที่หลินเฉิงเย่ทำไม่ได้ เขาก็จะให้สอบซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลินเฉิงเย่ทำออกมาได้ดี เขาถึงจะหยุด
หลินเฉิงเย่ไม่เพียงแต่ผอมซูบลงเท่านั้น ผมเพ่าก็ร่วงเอาๆ จนเห็นหนังศีรษะ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเซียวลิ่วหลัง
แต่เวลานี้ เขากลับรู้สึกเทิดทูนเซียวลิ่วหลัง ขอบคุณความทรมานที่เขาเคยมอบให้!
หลินเฉิงเย่รู้ว่าน้อยคนนักจะท่องเสี้ยวจิง ดังนั้นข้อสอบด่านแรกเขาจึงได้เปรียบกว่าผู้เข้าสอบหลายคน!