สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 115.2 คำตอบที่สมบูรณ์แบบ! (2)
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะย่างเท้าเข้าไปในห้องพัก ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากห้องโถง
“นี่ พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือยัง กั๋วจื่อเจียนกำลังจะกลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว!”
“จริงรึ ใครบอกเจ้า”
“ไม่เห็นต้องมีใครมาบอกข้าเลย พวกเขาทำป้ายประกาศออกมาแล้ว! แปะอยู่ตรงหน้าประตูสำนักงานนู่นน่ะ ไม่เชื่อก็ลองไปดูเองสิ! ผู้สอบที่สอบได้คะแนนดีก็จะถูกแนะนำและมีโอกาสสูงที่จะได้เข้าไปในกั๋วจื่อเจียน ส่วนคนที่ได้คะแนนสูงสุด ก็จะได้เข้าไปเลยโดยไม่ต้องผ่านการแนะนำ”
ตามหลักแล้วคนที่สอบได้สามลำดับต้นๆ จะได้โอกาสในการแนะนำ หากไม่ได้สอบติดสามอันดับแรก สิบอันดับแรกก็ถือว่ายังมีหวัง
เฝิงหลินดึงแขนเสื้อลิ่วหลังด้วยความตื่นเต้น “ลิ่วหลัง เจ้าสอบติดสิบอันดับแรกมาตั้งสองครั้งเลยนะ!”
แม้ตอนที่สอบระดับสำนักเขาจะพลาดโอกาสทำอันดับไป แต่ก็ยังถือว่าเขายังเป็นผู้เข้าสอบดีเด่นอยู่!
เฝิงหลินทำท่าตบเข่า “ไอ้หยา รู้งี้ตอนนั้นไม่น่าร้อนเงินเลย ยังไงก็ต้องได้สอบอีกรอบ! หากเจ้าสอบได้สามอันดับแรกละก็ต้องได้เข้าไปกั๋วจื่อเจียนแน่เลย!”
กั๋วจื่อเจียนนับว่าเป็นสำนักบัณฑิตระดับสูงสุดของแคว้นเจา เป็นศูนย์รวมเหล่านักปราชญ์ชื่อดัง
เซียวลิ่วหลังกลับดูไม่ตื่นเต้นแต่อย่างใด
เขายืนฟังผู้คนพูดคุยกันต่อ
“เพราะเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนั้น ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทเคยสั่งปิดกั๋วจื่อเจียนหรอกหรือ เหตุใดถึงได้ตัดสินใจกลับมาเปิดใหม่อีกครั้งล่ะ”
“ก็ท่านราชครูจวงน่ะสิ รวบรวมเหล่าข้าราชสำนักมารวมตัวกันคุกเข่าอ้อนวอนหน้าวังอยู่สามวันสามคืน ฝ่าบาทถึงได้ยอมเปิดกั๋วจื่อเจียนอีกครั้ง”
“ราชครูจวงช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ตอนนั้นที่ฝ่าบาททรงสั่งปิดกั๋วจื่อเจียน คนที่แสดงความเห็นต่างตอนนั้นถูกทำโทษกันยกใหญ่เลยล่ะ”
“แล้วราชครูจวงโดนทำโทษด้วยหรือไม่”
พวกเขาไม่อยากให้ข้าราชสำนักดีๆ แบบนั้นต้องมาแปดเปื้อน
“ไม่โดนหรอก ถ้าโดนจริงคงไม่มีทางมีโอกาสมาเปิดกั๋วจื่อเจียนใหม่หรอก”
พวกคนที่มาสอบต่างพากันถกเถียงไปมาอย่างเมามันส์
เซียวลิ่วหลังพอได้ยินที่พวกเขาพูดกัน ก็แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็น
แต่สักพักก็ไม่มีกะจิตกะใจจะยืนฟังต่อ แล้วก็เดินกลับเข้าห้องไป
ผู้ดูแลโจวเข้ามาขนข้าวของของหลินเฉิงเย่ออกไปหมดแล้ว เซียวลิ่วหลังเก็บสัมภาระของตัวเอง ผู้ดูแลโจวออกค่าใช้จ่ายช่วงที่พวกเขาอยู่โรงเตี๊ยมให้
ตกกลางคืน เฝิงหลินเกิดอยากออกไปซื้อของกินชื่อดังของพื้นถิ่น
“พวกเรามาอยู่ที่นี่กันตั้งนาน พยายามรักษาท้องไส้เพื่อการสอบ เลยกินแต่กับข้าวที่อยู่ในครัว ข้าละอยากออกไปกินข้าวข้างนอกใจจะขาด!” เฝิงหลินทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก
ก่อนหน้านั้นเฝิงหลินเคยเจอกับเหตุการณ์ท้องร่วงเพราะดันไปกินของแสลงข้างนอกเข้า แม้จะได้ยาของกู้เจียวช่วยไว้ แต่ก็ทำเอาเขาตกใจแทบแย่
ยิ่งเป็นการสอบระดับมณฑล พวกเขาจึงต้องยิ่งระมัดระวังในการกินมากขึ้น
เซียวลิ่วหลังตอบตกลงเฝิงหลิน เพราะเขาวางแผนจะออกไปซื้อของฝากอยู่พอดี
ถนนหนทางในหัวเมืองทั้งยาวและกว้างขวาง ขนาดว่ารถม้าสี่คันขับเคียงข้างกันได้สบายๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าเรียงรายกันและคนเดินถนนไปมาคึกคัก
เฝิงหลินมองดูไฟประดับตามถนน เกิดรู้สึกอิจฉา “ที่เมืองเอกนี่คึกคักกว่าเมืองเล็กๆ ของพวกเราเสียอีก”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้าเห็นด้วย
เฝิงหลินเอ่ยต่อ “เจ้าว่าที่เมืองหลวงจะเป็นอย่างไร ขนาดว่าที่นี่ยังคึกคักขนาดนี้ เมืองหลวงจะคึกคักกว่านี้ไหม ถนนในเมืองหลวงจะกว้างและยาวกว่านี้ไหม รถราวิ่งเยอะขึ้น ร้านค้ามีขนาดใหญ่กว่าเดิม”
“อืม” เซียวลิ่วหลังขานตอบ
เฝิงหลินทำหน้าฉงน “เจ้ามาองมาอืมอะไร ทำอย่างกับเคยไปที่เมืองหลวงมาก่อน! นี่ ข้าอยากไปเมืองหลวงจริงๆ นะ เป็นที่ๆ ข้าฝันถึงมาตลอด ขอแค่ได้ไปเยือนที่นั่นสักครั้ง ชีวิตนี้ข้าไม่ขออะไรแล้ว!”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับเขาเบาๆ “เมืองหลวงมีอะไรดีรึ ก็แค่เมืองหลวงเท่านั้นเอง”
เฝิงหลินถอนหายใจพลางส่ายหัว “เจ้าไม่มีความฝัน เจ้าไม่เข้าใจหรอก!”
กั๋วจื่อเจียนเป็นสถานที่ในฝันของนักเรียนทุกคน ยิ่งรู้ว่ากำลังจะกลับมาเปิดอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้เฝิงหลินอยากไปเยือนที่เมืองหลวงเข้าไปอีก ขอแค่ได้เข้าไปเรียนที่นั่นสักครั้ง จะให้เขาร่ำเรียนหนักสิบปีเขาก็ยอม
แต่อย่างไรเสีย เขารู้ตัวเองดีว่าระดับเขาคงไม่มีทางได้เข้าไปเรียนที่นั่น อย่าว่าแต่โอกาสที่จะถูกเสนอชื่อเลย
อาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือหม่าถังและเนื้อลา
เฝิงหลินไม่สนใจหม่าถังสักเท่าไหร่ เขาอยากลองกินเนื้อลามากกว่า ทั้งสองมาที่ร้านขายเนื้อลาเก่าแก่ชื่อดังของเมือง และสั่งซุปเนื้อลาสองชาม เนื้อลาย่างสองชิ้น และเนื้อลาตุ๋นชามเล็ก
ตามคำกล่าวโบราณว่าไว้ เนื้อลามีกลิ่นหอม เนื้อม้ามีกลิ่นเหม็น แต่เนื้อล่ออย่าได้หากิน เนื้อลาถ้านำมาปรุงสุกดีๆ จะให้รสสัมผัสที่อร่อยและส่งกลิ่นหอมไปทั่วเลยล่ะ
“โอ้โห! อร่อยชะมัด!” เฝิงหลินไม่รอช้า ตักเนื้อลาตุ๋นเข้าปาก
เซียวลิ่วหลังเองที่ทานกับข้าวฝีมือกู้เจียวมานาน ยังรู้สึกว่าเนื้อลานี้รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว
กินอิ่มแล้ว พอจะคิดเงิน กลับมีคนแอบเลี้ยงข้าวพวกเขาไว้แล้ว
“ใครกันรึ” เฝิงหลินเอ่ยถาม หรือว่าจะเป็นพวกตระกูลหลิน ไม่น่าใช่นะ พวกเขากลับจวนกันไปแล้วนี่นา หรือพวกเขาจะแอบสะกดรอยตามพวกเรามาอย่างนั้นหรือ
เด็กที่ร้านหัวเราะพลางเอ่ยตอบ “เป็นนายใหญ่ท่านหนึ่ง จากตระกูลหลิว”
สีหน้าเซียวลิ่วหลังเริ่มไม่สู้ดี
“เจ้ารู้จักรึ” เฝิงหลินเห็นหน้าเขาจึงเกิดสงสัย
“เปล่า” เซียวลิ่วหลังปฏิเสธ
เด็กในร้านเอ่ยต่อ “นายใหญ่หลิวฝากบอกว่า พวกเขากำลังจัดงานเลี้ยงที่ร้านจุ้ยอวิ๋น อยากจะขอเชิญท่านทั้งสองไปร่วมงานด้วย”
“อ่า นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย จู่ๆ ก็มีคนอยากกระทบไหล่ตัวเจ้าโผล่มาอีกแล้วสินะ” ชื่อเสียงของเซียวลิ่วหลังเริ่มแพร่สะพัดออกไป ระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับผู้คนมากมายที่ต้องการตีสนิทกับเขา เฝิงหลินคิดว่านายใหญ่หลิวผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“จะไปไหม” เฝิงหลินถาม
“ไม่ไป” เซียวลิ่วหลังลุกขึ้นยืน “กลับโรงเตี๊ยมกันเถอะ”
“อ่อ”
ทั้งสองพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน พอวันรุ่งขึ้น พวกเขาวางแผนจะไปร้านรถเพื่อจ้างรถดีๆ สักคันเพื่อเดินทางกลับบ้าน พอไปถึงตรงหน้าประตูก็เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวเป็นบ่าวยืนยิ้มรอรับพวกเขา “ท่านชายเซียวและท่านชายเฝิงใช่ไหมขอรับ นายใหญ่เตรียมรถม้าไว้ให้พวกท่านเดินทางกลับตำบลขอรับ”
“นายใหญ่ที่ว่ามาจากตระกูลใดรึ” เฝิงหลินเอ่ยถาม
“ตระกูลหลิวขอรับ”
เฝิงหลินพึมพำ “หรือว่าจะเป็นคนเมื่อคืนที่จ่ายเงินให้พวกเรากันนะ”
พอเหลือบมองที่รถม้าของอีกฝ่าย เฝิงหลินถึงกับเผลออุทานในใจ ให้ตายสิ รถม้าคันนี้หรูหรากว่ารถม้าของตระกูลหลินเสียอีก! ดูท่านายใหญ่หลิวคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!
“ไม่นั่ง” เซียวลิ่วหลังปฏิเสธเสียงแข็ง
เฝิงหลิน “…”
เอาสิ!
เป็นคนเก่งนี่มันดีจริงๆ!
สุดท้ายทั้งสองก็ควักเงินจ้างรถม้าที่วิ่งเร็วที่สุดเพื่อเดินทางกลับบ้าน
หลินเฉิงเย่ออกมาจากจวนแต่เช้าตรู่หวังว่าจะออกไปส่งพวกเขาเสียหน่อย แต่พวกเขาออกตัวกันไปก่อนแล้ว
เฮ้อ ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่
พอการสอบสิ้นสุด กรรมการที่อยู่หลังม่านก็เริ่มลงมือตรวจข้อสอบ
กรรมการตรวจข้อสอบมีทั้งหมดสิบสองคน แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มละสี่คน กระดาษคำตอบหนึ่งชุดจะมีคนตรวจสี่คน หากคำตอบของใครทำให้เกิดข้อถกเถียงกัน ก็จะส่งกระดาษคำตอบที่มีปัญหาไปที่ระดับหัวหน้าและรองหัวหน้ากรรมการ
ข้อสอบด่านแรก กรรมการจะดูความถูกต้องและลายมือในการเขียน ปีที่ผ่านมาพวกเขามักจะเจอกระดาษคำตอบที่เขียนถูกแต่ลายมือไม่สวย หรือไม่ก็ลายมือสวยแต่เขียนคำตอบไม่ถูก
ในที่สุด ปีนี้ก็มีคนที่เขียนคำตอบออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งความถูกต้องและลายมือที่สวยงาม!
นอกจากจะตอบถูกหมดทุกข้อแล้ว ลายมือยังเหนือชั้นกว่าใครเพื่อนเลยด้วย
แน่นอนว่ากระดาษคำตอบนั้นได้เป็นมือวางอันดับหนึ่งไปโดยปริยาย
“ปีนี้ข้อสอบเสี้ยวจริงดูท่าจะยากใช่เล่นเลย” กรรมการตรวจข้อสอบนายหนึ่งเอ่ยขึ้น “นอกจากเมื่อครู่แล้ว ยังไม่เห็นใครเขียนออกมาได้ถูกต้องครบถ้วยเลย อ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ”
กรรมการยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็เจอกับกระดาษคำตอบของอีกคนที่เขียนเสี้ยวจิงออกมาได้ถูกต้องครบถ้วนเช่นกัน!
กรรมการที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกคนเอ่ยเสริม “บังเอิญเสียจริง ในมือข้าก็มีกระดาษคำตอบที่เขียนเสี้ยวจิงไว้ถูกต้องครบถ้วนเช่นกัน”
กรรมการมองหน้าสบตากัน แล้วทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม
ผู้เข้าสอบปีนี้ … ไม่ธรรมดาจริงๆ
พอเป็นการตรวจข้อสอบด่านที่สอง บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยน
เรื่องศักดินานับว่าเป็นภัยเงียบในราชสำนักมาโดยตลอก ด้วยความมีอิทธิพลและทรัพยากรมากมาย หรือไม่ก็มีเชื้อสายพระวงศ์ ใดๆ คือจะถูกแต่งตั้งให้รับตำแหน่งใหญ่ๆ
หากดูจากสภาพการณ์ปัจจุบัน ราชสำนักยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะกำจัดพวกศักดินามักใหญ่ใฝ่สูงเหล่านี้ให้หมดๆ ไป เลยไม่มีใครกล้าที่จะออกมาเรียกร้องเรื่องการลดศักดินา
แม้จวนซวนผิงโหวกับราชครูจวงไม่ลงรอยกัน แต่พอเป็นเรื่องการลดศักดินาแล้ว พวกเขากลับมีมุมมองที่เหมือนกัน
ไม่มีใครล่วงรู้ว่า ข้อสอบครั้งนี้ ฮ่องเต้เป็นคนออกเอง
พระองค์ทรงอยากฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วไป อยากรู้ว่าเหล่านักปราชญ์ทั้งหลายมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้ แต่คำตอบส่วนใหญ่กลับกลายเป็นว่าเต็มไปด้วยคำพูดประจบสอพลอทั้งสิ้น!
ถึงกระนั้นแล้ว กรรมการก็เจอกับกระดาษคำตอบที่เขียนออกมาได้อย่างโดดเด่น ใจความมีอยู่ว่า แม้ว่าเขาจะไม่สนับสนุนการลดระดับข้าราชบริพาร แต่เขาไม่เห็นด้วยกับทิศทางของราชสำนัก นอกจากนี้เขาวิเคราะห์ผลที่เป็นไปได้ของการตัดข้าราชบริพารในระยะสั้นจากความเป็นจริง ข้อดีและข้อเสียของแคว้นเจาทั้งหมด ตลอดจนนโยบายการผ่อนปรน วิธีรับสถานการณ์ให้ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเกษตร
ช่างเป็นกระดาษคำตอบที่น่าสนใจยิ่งนัก
พวกเขาลงความเห็นกันว่าให้กระดาษคำตอบนี้ได้เป็นอันดับหนึ่งของการสอบด่านที่สอง
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า กรรมการตรวจก็กระดาษคำตอบอื่นที่สนับสนุนการลดศักดินา คำศัพท์ที่ผู้เข้าสอบรายนี้ใช้ในการเขียนนั้นเรียกได้ว่าตรงและคมคาย จนเหล่ากรรมการอ่านจนหน้าชาไปตามๆ กัน
เจ้าเด็กนี่ เขียนออกมาแบบนี้ ไม่ขึ้นไปต่อว่าฮ่องเต้ในวังเสียเลยล่ะ!
แม้จะใช้คำรุนแรงก็จริง แต่เหตุผลในการวิเคราะห์กลับไม่เลวเลยทีเดียว
ตอนที่พวกเขาอ่านกระดาษคำตอบเมื่อครู่ ยังคิดเลยว่าทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือกันหรือหาทางออกใหม่ได้ แต่หลังจากอ่านบทความนี้ที่สนับสนุนการลดทอนศักดินา พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่ากำลังล้วงคองูเห่ายังไงยังงั้น!
ถ้าไม่ลดศักดินา แคว้นเจาได้เกิดวิกฤตแน่!
“ให้ตายสิ…” รองหัวหน้ากรรมการถึงกับปาดเหงื่อพร้อมกับอุทานเบาๆ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าบ้านเมืองกำลังตกอยู่ในอันตรายเสียออย่างนั้น!
ตอนนี้แคว้นเจาอยู่ในขั้นวิกฤตแล้วหรือ
ก็ยังไม่ขนาดนั้นกระมัง
แต่อนาคตสิบปีข้างหน้าก็ไม่แน่ ผู้เข้าสอบรายนี้ได้อธิบายวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในหลายทศวรรษต่อมา ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงผลที่ตามมาและความน่ากลัวที่จะเกิดหากไม่ลดศักดินาลง
ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะเนี่ย!
ทั้งระดับการเขียนและการเรียบเรียงตรรกะ พวกเขามองว่าผู้เข้าสอบรายนี้ชนะขาด แต่ใครจะกล้าเอากระดาษคำตอบของเขาไปให้ฮ่องเต้อ่านกันล่ะ
แล้วถ้าหากฮ่องเต้อ่านแล้วเกิดบันดาลโทสะขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ
ฮ่องเต้แค่อยากฟังความเห็นจากพวกเขาเท่านั้น คงไม่อยากอ่านถ้อยคำวาจาที่กำลังต่อว่าพระองค์อยู่หรอกจริงไหม
เหล่ากรรมการเริ่มลังเลใจ
“วางไว้ข้างๆ ก่อนแล้วกัน”
พวกเขาทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อน จากนั้นก็เดินหน้าตรวจข้อสอบด่านที่สามต่อ ขนาดว่าทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ยังไม่อาจตัดสินได้ว่าจะให้คำตอบของใครเป็นที่หนึ่ง