สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 116.1 เหล้ากินคน (1)
เซียวลิ่วหลังเดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านชิงเฉวียนช่วงปลายเดือนแปด
พอเดินทางมาถึงสำนักบัณฑิต เฝิงหลินยกสัมภาระของเขาเข้าหอพัก พอเดินออกมา ก็เจอกับเจ้าสำนักหลีพอดี
“เอ๋ เหตุใดกลับมาเร็วนักล่ะ พวกเจ้าไปสอบระดับมณฑลมามิใช่รึ หรือว่าพวกเจ้าไปเข้าสอบไม่ทันกัน แล้วลิ่วหลังล่ะไปไหน”
“พวกเราไปสอบทันขอรับ! พอสอบเสร็จก็รีบบึ่งกลับมาทันทีเลย! แล้วก็ เอ่อ…เดี๋ยวกระผมจะกลับมาเล่ารายละเอียดให้ฟังนะขอรับ แต่ตอนนี้ลิ่วหลังกำลังรออยู่ด้านนอก ต้องขอตัวลาก่อนขอรับ!” เฝิงหลินพูดรัวเสร็จก็ยิ้มให้ก่อนจะจรลีออกไป
ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าสำนักหลีเอ็นดูลิ่วหลังที่สุด ถ้าไม่รีบปลีกตัวออกมา มีหวังได้ซักถามกันจนฟ้ามืดแน่นอน
เฝิงหลินกระโดดหยองขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว
“อะไรรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“ก็เจ้าสำนักหลีน่ะสิ!” เฝิงหลินตอบ “รีบไปเถอะ ไม่งั้นเจ้ากลับเรือนไม่ได้แน่!”
เซียวลิ่วหลังไม่รอช้า บอกให้สารถีเร่งรถออกไปแล้วมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านโดยเร็ว
แม้พวกเขาจะจ่ายค่ารถไปแล้ว แต่เซียวลิ่วหลังก็ให้เงินสารถีเพิ่มอีก เห็นแก่ที่เขาช่วยพาพวกเขามาส่ง ทั้งยังช่วยเหลือพวกเขาตั้งหลายเรื่อง
สารถีคาดไม่ถึงว่าจะได้รับเงินเพิ่ม เลยรีบโค้งตัวขอบคุณยกใหญ่
“เดินทางปลอดภัยละ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทิ้งท้าย
“ขอรับ! ท่านชายเซียว ขอบพระคุณท่านมากขอรับ!”
ค่าแรงจากการทำงานหนักที่พวกเขาได้มา เหลือกลับมาถึงที่นี่ได้แค่สองสามตำลึงเท่านั้น แต่อย่างน้อยเดือนหน้าก็ไม่ต้องเดินทางออกไปไหนต่อแล้ว!
เซียวลิ่วหลังและเฝิงหลินเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น พวกเขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ ช่วงปลายเดือนหกที่พวกเขาเดินทางออกไป ต้นข้าวที่นี่ยังขึ้นเป็นต้นอ่อนอยู่เลย มาเห็นอีกทีก็โตสูงชะลูดและเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
“ว้าว! ต้นสาลีที่หมู่บ้านนี้โตเร็วดีแท้!”
ปีนี้อากาศไม่ปกติ มีฝนตกน้อย และพื้นที่การเกษตรแห้งแล้ง ทำให้พืชผลในทุ่งนาตายไปมากมาย ระหว่างเดินทางกลับ พอพวกเขาเห็นทุ่งนาที่แห้งแล้งก็รู้สึกสลดใจไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม พืชผลในหมู่บ้านชิงเฉวียนดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งแต่อย่างใด กลับงอกงามเติบโตอย่างดี
“รวงข้าวต่างหาก” เซียวลิ่วหลังแก้คำให้เฝิงหลิน แต่ความสงสัยยังวนเวียนอยู่ในใจว่าทำไมพืชผลในหมู่บ้านจึงเติบโตได้ดีนัก
“อ่อ” เฝิงหลินเอ่ยตอบ จากนั้นก็ชี้ไปทางข้างหน้า “เจ้าดูสิ! รางน้ำนี่นา! ไม่เลวเลยนี่ หมู่บ้านเจ้ามีรางน้ำแล้ว! พอเปลี่ยนนายอากรแล้วดูคุณภาพชีวิตพวกเจ้าดีขึ้นถนัดตาเลยเชียว!”
หลังจากที่นายใหญ่กู้ลาออก ก็มีการเลือกตั้งนายอาการใหม่ในหมู่บ้าน เลยได้คนจากตระกูลหลัวผู้ซึ่งเป็นญาติของลุงหลัวเอ้อร์ แม้จะเป็นญาติห่างๆ แต่ด้วยความที่พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้กัน ความสัมพันธ์เลยยังดูแน่นแฟ้นดี
แม้อากรหลัวจะไม่ใช่คนมีอารยะแบบนายใหญ่กู้ แต่เขาเป็นคนทำงาน หากชาวบ้านคนไหนมีปัญหา เขาพร้อมจะเข้าไปช่วยเหลืออยู่เสมอ
แต่ถ้าเป็นเรื่องรางน้ำนี่ล่ะก็นะ…
ไม่ใช่ว่าเซียวลิ่วหลังคิดจะดูถูกความสามารถของเขาแต่อย่างใด แต่ด้วยความที่ทุกคนบ้านเรือนเคียงกัน เขาพอจะเดาแนวทางของอากรหลัวออก
อากรหลัวจัดว่าเป็นคนหัวโบราณ ไม่มีหัวด้านนวัตกรรมใหม่ๆ แถมหมู่บ้านนี้ก็ไม่ได้มีเงินมากมายมาพัฒนาของพวกนี้หรอก
“นี่! ลิ่วหลัง!” เฝิงหลินตะโกนเรียกเขา “ดูนั่นสิ! นั่นมันกังหันน้ำนี่นา! ให้ตายเถอะๆ! นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม หมู่บ้านเจ้ามีกังหันน้ำไว้ใช้แล้ว!”
ตั้งแต่จำความได้ เฝิงหลินเคยเห็นกังหันน้ำแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
กังหันน้ำนั้นมีประโยชน์อย่างมาก มันสามารถผันน้ำจากที่ต่ำไปยังที่สูงได้ ซึ่งเหมาะแก่การเพาะปลูกเป็นอย่างยิ่ง
กังหันน้ำนั้นหายากในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้ โดยทั่วไปแล้ว หมู่บ้านที่มั่งคั่งสามารถจัดกังหันน้ำได้ พวกเขาเคยเห็นกังหันน้ำหลายครั้งระหว่างทางกลับจากเมืองหลวงของจังหวัด แต่เนื่องจากความแห้งแล้ง น้ำในหมู่บ้านของพวกเขาจึงหายาก สระน้ำไม่มีน้ำ กังหันน้ำจึงกลายเป็นแค่ของประดับตกแต่งเท่านั้น
เฝิงหลินทำหน้าฉงน “ว่าแต่ หมู่บ้านเจ้าได้แหล่งน้ำจากที่ไหนกัน”
เซียวลิ่วหลังมองตามรางน้ำไปจนถึงภูเขาหลังบ้านลุงหลัว เขาขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “มาจากน้ำตกบนภูเขาหรือเปล่า”
นี่ไม่ใช่รางน้ำธรรมดาแล้วล่ะ ดูท่าทางแล้วกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากในการขุดมันออกมา ซ้ำยังต้องคุ้นเคยกับลักษณะพื้นที่บนภูเขาเป็นพิเศษด้วย
“ไอ้หยา พ่อหนุ่มลิ่วหลังกลับมาแล้วสินะ!”
เป็นเสียงของแม่เฒ่าจาง
นางเพิ่งกลับจากเรือนของลุงหลัว ในมือถือตะกร้าผลไม้ป่า ทุกครั้งที่ลิ่วหลังกลับมาจากการสอบ จะต้องเป็นอันพบกับแม่เฒ่าจางเป็นคนแรกทุกครั้ง
“แม่เฒ่าจาง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทักทาย
“แม่เฒ่าจาง!” ส่วนเฝิงหลินยิ้มร่าทักทาย
“กลับมากันแล้วสินะ ครั้งนี้ไปนานกว่าคราวก่อนเสียอีก เดินทางไกลกันน่าดูสินะ!” แม่เฒ่าจางยิ้มให้ก่อนจะถามไถ่
คนชนบทไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการสอบแต่อย่างใด นางแค่รู้สึกว่าครั้งนี้เขาไปนานกว่าครั้งไหนๆ
เซียวลิ่วหลังไม่ได้อธิบายอะไรต่อ พลันตอบ “ใช่แล้ว สอบระดับมณฑลต้องเดินทางไกลกว่าตอนสอบระดับจังหวัด ใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าจะไปถึง”
“ข้าก็ว่าอยู่เชียว!” แม่เฒ่าจางทำท่าทางมั่นใจในความคิดของตัวเอง “ออกนอกเมืองกันไปตั้งนาน รีบกลับบ้านเถอะ เจ้าคงคิดถึงเจียวเจียวแย่เลยสิ นางอยู่ที่เรือนแหน่ะ!”
วันนี้สำนักบัณฑิตปิดเรียน แต่โรงเรียนเอกชนยังคงเปิดตามปกติ กู้เสี่ยวซุ่นเลยไปดูแลกู้เหยี่ยนและเสี่ยวจิ้งคง ส่วนกู้เจียวง่วนอยู่กับธุระในบ้าน
พอเซียวลิ่วหลังและเฝิงหลินเข้าไปในเรือน แทนที่จะเจอกับกู้เจียว แต่กลับเป็นบุรุษแปลกแต่งตัวเยี่ยงชาวนายืนอยู่ในเรือน
ทั้งคู่แสดงท่าทีตกใจ
บุรุษแปลกหน้าพอได้ยินเสียงประตูเปิด ก็หันไปดู แล้วเอ่ยทักพวกเขา “ลิ่วหลังรึ ส่วนอีกคน…เฝิงซิ่วไฉสินะ”
เฝิงหลินทำหน้างงงวย “เอ่อ…ใช่แล้ว ส่วนท่านคือ…”
“อากรหลัว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทักบุรุษคนนั้น
อากรหลัวผงกหัวยิ้มทักทายพวกเขา
เฝิงหลินพอได้ยินชื่อากรหลัวก็เริ่มกระจ่าง “ท่านคืออากรคนใหม่ของหมู่บ้านสินะ ท่านี่เก่งจริงๆ เลย ทั้งขุดรางน้ำเอย กังหันน้ำเอย พืชผลในหมู่บ้านบานสะพรั่งสวยงามนัก”
อากรหลัวแวบแรกรู้สึกตกใจ แต่ต่อมาก็หัวเราะ แล้วเล่าความจริงให้พวกเขา “เฝิงซิ่วไฉเยินยอผิดคนแล้วล่ะ คนที่ทำรางน้ำและกังหันน้ำ ไม่ใช่ข้าแต่อย่างใด!”
“ไม่ใช่ท่าน แล้วจะเป็นใครกันล่ะ” เฝิงหลินรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบที่ได้รับ
เซียวลิ่วหลังพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นใคร จากนั้นก็หันหน้าไปทางห้องครัว พอดีกับตอนที่กู้เจียวเดินออกมาจากตรงนั้น นางกำลังเช็ดมือพลางเดินมาทางห้องโถง
พอนางได้เจอกับเซียวลิ่วหลังก็พลันหยุดฝีก้าวลง
นางรู้ว่าการสอบเสร็จสิ้นช่วงไหน รวมถึงวันที่ประกาศผลคะแนน นางเดาว่าเขาน่าจะกลับมาหลังจากที่ประกาศคะแนนแล้ว แต่พวกเขาดันกลับมาเร็วกว่าที่นางนึกไว้เสียอีก
ท่าทีอ้ำอึ้งของนางช่างดูไร้เดียงสายิ่งนัก
เซียวลิ่วหลังรับรู้ได้ถึงแรงสั่นเล็กบริเวณหัวใจที่ตัวเขาเองก็มิอาจควบคุมได้
เขาจึงรีบเบนสายตาออกไปจากนาง แล้วเอ่ยทักทายกับอากรหลัวต่อ
อากรหลัวทำหน้างุนงง พลางนึกในใจ เมื่อกี้ก็ทักทายกันไปแล้วมิใช่รึ
กู้เจียวเดินเข้าไปหาเขา จากนั้นเลิกมุมปากขึ้น แล้วเอ่ยถาม “ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ ไม่อยู่เที่ยวก่อนรึ”
“ไม่เห็นมีอะไรน่าเที่ยวเลย” เซี่ยวลิ่วหลังตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
กู้เจียว: “อ้อ”
อากรหลัวเอ่ยพลางหัวเราะ “เมื่อครู่กำลังพูดถึงเจ้าอยู่พอดีเลย เมื่อครู่เฝิงซิ่วไฉถามเรื่องรางน้ำและกังหันน้ำ ข้าเลยบอกไปว่าข้าไม่มีปัญญาทำของแบบนี้ขึ้นมาหรอก”
จากนั้นอากรหลัวหันไปทางเฝิงหลิน พลางเอ่ย “ฝีมือเจียวเหนียงเขาน่ะ!”
“อ๋า…” เฝิงหลินอ้าปากค้าง
กู้เจียวเปิดพื้นที่ภูเขาเพื่อทำสวนยา แถมยังขุดบ่อปลาไว้ ทำรางน้ำจากน้ำตกให้ไหลลงมาที่บ่อปลา จากนั้นก็ขุดต่อลงมาที่หมู่บ้านด้วยเลย
แม้จะเป็นช่วงอากาศแห้งแล้ง ปริมาณน้ำตกลดลง แต่น้ำที่เหลือก็เพียงพอสำหรับทุกคน
เซียวลิ่วหลังปรายตามองกู้เจียว
“ไม่หรอกมั้ง นี่เพิ่งผ่านไปแค่สองเดือนเองนะ เจ้าถึงกับขุดบ่อปลาเลยหรือ” เฝิงหลินรู้เรื่องที่กู้เจียวซื้อที่บนภูเขา แต่คาดไม่ถึงว่านางจะคิดการณ์ใหญ่เช่นนี้
อากรหลัวเอ่ยกับกู้เจียวต่อ “จริงด้วย รถเก็บเกี่ยวที่เจ้าเคยเสนอไปครั้งก่อน ข้าไปถามให้ช่างไม้ทำให้แล้วนะ แต่คงไม่ทำเสร็จในเร็ววันแน่ๆ อ้อ เขายังฝากข้ามาถามเจ้าด้วยว่าให้ใช้ไม้ชนิดไหน”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่สักพักก็เอ่ยขึ้น “ไม้สนแดง ไม้ซานหยาง ไม้ชุน ไม้ต้วน ได้หมดเลย เนื้อไม้พวกนั้นแข็งแรงแน่นหนาไม่เปลี่ยนรูปง่าย”
“ดี งั้นข้าขอตัวล่ะ!” อากรหลัวเอ่ยลา พลางหันไปทางชายหนุ่มทั้งสองแล้วอวยพรให้พวกเขาสอบได้อันดับต้นๆ
“อะไรคือรถเก็บเกี่ยวอย่างนั้นรึ” เฝิงหลินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เป็นเกวียนที่สามารถแยกเมล็ดข้าวออกจากรวงข้าว และเกวียนที่กรองเมล็ดข้าวที่ยังไม่โตเต็มที่พอยังไงล่ะ” กู้เจียวอธิบาย
“มีของแบบนี้ด้วยหรือ” เฝิงหลินทำหน้าประหลาดใจ