สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 118 ประกาศรายชื่อ
กู้เจียวและเซียวลิ่วหลังส่งหนุ่มน้อยทั้งสามเข้าเรียน จากนั้นก็เดินทางไปยังที่ศาลาว่าการตำบล
รายชื่อบัณฑิตที่มีสิทธิ์เข้าเรียนในกั๋วจื่อเจียนออกมาแล้ว แต่ไม่มีชื่อของเซียวลิ่วหลังบนนั้น
“เป็นไปไม่ได้” กู้เจียวเอ่ย
“คือว่า…” ขุนนางเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พลางมองเซียวลิ่วหลัง แล้วหันไปหากู้เจียว “ไม่รู้ว่าข้าควรบอกเรื่องนี้กับเจ้าไหม”
“ท่านว่ามาเลย” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
ขุนนางถอนหายใจ
เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็ดูออกว่ามีเงื่อนงำ ตั้งแต่ที่มีการสอบเกิดขึ้น ยังไม่มีใครได้คะแนนสูงไปกว่าเซียวลิ่วหลัง แม้เขาจะเคยทำคะแนนไว้ไม่ดีตอนอยู่ในสำนักบัณฑิตก็ตาม แต่อย่างไรแล้วคะแนนก็เขาก็ยังถูกจัดให้เป็นอันดับหนึ่งประจำตำบล
นอกจากนี้ เขายังเป็นบัณฑิตที่เจ้าสำนักหลีสนับสนุนมาโดยตลอด ชื่อเสียงของเขาใสสะอาดไร้มลทิน ไม่มีทางที่บัณฑิตระดับเขาจะไม่มีชื่ออยู่ในนั้น
ขุนนางเองพอรู้เรื่องเข้าก็กังวลเหมือนกัน
เพราะเขาเป็นคนใส่ชื่อเซียวลิ่วหลังไว้เป็นอันดับแรก แต่ว่า
“ข้าเอ่ยไม่ได้ พวกท่านปล่อยวางเถิด ข้าเป็นแค่ขุนนางตัวเล็กๆ ไม่กล้าไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นหรอก!”
“ท่านโอนสิทธิ์ไปให้ใครแล้ว” กู้เจียวเอ่ยถาม
ขุนนางลังเลอยู่พักนึง จึงตัดสินใจบอกกับพวกเขา “บัณฑิตที่ชื่อว่าเฝิงหลิน”
ทั้งสองทำหน้าเหวอ
“เฝิงหลินคนไหน” กู้เจียวขมวดคิ้วสงสัย “เฝิงหลินแห่งสำนักบัณฑิตรึ”
ขุนนางผวา มองไปที่ทั้งคู่ “อ๋อ ใช่แล้ว พวกท่านรู้จักเขารึ”
กู้เจียวหันหน้าไปถามเซียวลิ่วหลัง “ที่สำนักบัณฑิต มีเฝิงหลินอื่นอีกไหม”
“มีแค่เขาคนเดียว”
“ช่างแปลกประหลาดนัก คะแนนของเฝิงหลินเหนือกว่าเจ้าได้อย่างไร ไม่สิ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คะแนน”
เซียวลิ่วหลังหันไปทางขุนนาง “เขาไม่ใช่คนในพื้นที่ เขาเป็นคนจากตำบลซง แล้วไฉนเขาถึงได้สิทธิ์ไปเล่า”
“ข้าเองก็พูดแบบเดียวกับที่เจ้าพูดนี่แหละ แต่ว่า…” ขุนนางชะงักกลางคัน เขาไม่อยากเปิดเผยข้อมูลมากไปกว่านี้ จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “เอาเป็นว่า ข้าเองก็ช่วยไม่ได้! เซียวซิ่วไฉ แม่นางเซียว พวกเจ้ากลับกันไปก่อนเถิด”
ขุนนางเองก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก คนเก่งๆ อย่างเขาไม่ควรต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ น่าเศร้าที่เขาไม่ได้เกิดมาในตระกูลสูงส่ง ไม่งั้นคงไม่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องเช่นนี้
“เรื่องนี้ข้าว่าไม่เกี่ยวกับเฝิงหลินหรอก” เซียวลิ่วหลังเอ่ยพลางมองออกไปข้างนอก
“อืม ข้ารู้” กู้เจียวพยักหน้า
ทั้งคู่ไม่ใช่คนไร้เหตุผล หากคนนอกมารู้เรื่องเข้า คงไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดสงสัยเฝิงหลินก่อนเป็นอันดับแรก แต่พวกเขารู้ดีว่าเฝิงหลินเป็นคนเช่นไร คนอย่างเฝิงหลินไม่มีวันทำเรื่องตีท้ายครัวเซียวลิ่วหลังแน่นอน
มิหนำซ้ำ เฝิงหลินไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีอิทธิพลด้วย
เห็นได้ชัดว่าคนที่ก่อเรื่องนี้จงใจโจมตีเซียวลิ่วหลัง อยากให้เซียวลิ่วหลังและเฝิงหลินแตกคอกัน
กู้เจียวเสนอความเห็น “หรือพวกเราควรไปถามที่หัวเมืองจังหวัดกันดีล่ะ”
“ไอ้หยา พวกเจ้าไม่ต้องไปหรอก! หนังสือนี่ก็ส่งมาจากหัวเมืองจังหวัดนี่ล่ะ” ขุนนางที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็รีบขัดคอ “ข้าจะบอกให้นะ คนที่อยู่เบื้องหลัง เป็นคนจากตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวง ต่อให้พวกเจ้าไปถึงที่หัวเมืองจังหวัดแล้วก็สืบอะไรไม่ได้อยู่ดี!”
“ตระกูลไหนกัน” กู้เจียวรู้อยู่แล้วว่ามีแค่ตระกูลเดียวเท่านั้นที่ไม่ถูกกับเซียวลิ่วหลัง
“เป็นท่านโหวท่านหนึ่ง” ที่ขุนนางรู้ว่าเป็นท่านโหว เพราะคนที่มาส่งหนังสือให้ดันเผลอหลุดปากออกมา แต่ถ้าให้ถามว่าเป็นตระกูลใดนั้น ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางคายออกมาเด็ดขาด!
“ท่านโหวงั้นรึ” กู้เจียวเอ่ยพึมพำ
พอเอ่ยจบ จู่ๆ ก็มีรถม้ามาจอดที่หน้าประตู
เป็นท่านโหวกู้เดินลงมาจากรถด้วยท่าทางสดชื่น สักพักเขาสังเกตเห็นกู้เจียวและเซียวลิ่วหลังอยู่ในศาลาว่าการแล้ว “เอ๋ พวกเจ้าน่ะเอง บังเอิญเสียจริง อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ารู้เรื่องหนังสือประกาศของกั๋วจื่อเจียนแล้ว คงอยากมาดูกับตาตัวเองสินะ ไอ้หยา ให้ข้าเดานะ ไม่มีชื่อของเจ้าบนนั้นสินะ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ท่านโหวกู้เท้าเอวพลางหัวเราะ
“ข้าขอไปคุยกับเขาก่อนนะ” กู้เจียวบอกกับเซียวลิ่วหลังก่อนที่จะลากตัวท่านโหวกู้ขึ้นรถม้า
ปัง! ปัง! ปัง!
ปึง! ปึง! ปึง!
“อ๊าก”
“อ๊าก”
“อ๊าก”
สิ้นเสียงอึกทึมโครมคราม ท่านโหวกู้รีบแบกสภาพเนื้อตัวสะบักสะบอมของเขาแล้วถอยกรูเข้าไปหลบมุม
กู้เจียวคว้าคอเสื้อของเขาขึ้นมา จากนั้นเอ่ยขู่ด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น “แก้รายชื่อให้เขาเดี๋ยวนี้!”
ขุนนางเมื่อเห็นสภาพดังนั้นก็รีบมุดตัวหายเข้าไปในศาลาว่าการ สักพักออกมาพร้อมกับกล่องแกะสลักที่ท่านโหวกู้มอบให้เขาตอนเช้า พอเขาเดินไปมอบกล่องให้อีกทีก็พบว่าท่านโหวกู้อยู่ในสภาพที่แทบดูไม่ได้แล้ว
ขุนนางไม่กล้าให้ท่านโหวกู้เปิดม่านออกมา จึงได้แต่ยืนข้างๆ รถม้า พลางเอ่ย “ท่านโหว เรื่องที่ท่านวานให้ข้าช่วย ข้าเกรงว่าคงทำให้ไม่ได้แล้ว ท่านมาช้าเกินไป สิทธิ์ในการเข้าเรียนกั๋วจื่อเจียนนั้น ข้าได้มอบให้คนอื่นไปแล้ว ของกำนัลของท่าน ข้าคงรับไว้ไม่ได้”
ท่านโหวกู้หมดแรงจะเอ่ยตอบ…
กู้เจียวนิ่งไปชั่วครู่ แล้วหันไปทางท่านโหวกู้ที่โดนซ้อมจนกลายเป็นถุงทรายไปแล้ว “ไม่ใช่ฝีมือท่านหรอกรึ”
ท่านโหวกู้พยายามจะอ้าปากพูด “เอ่อ…เอ่อ”
กู้เจียวนึกในใจ นี่นาง…ทำอะไรลงไปเนี่ย
เฮ้อ เล่นงานผิดคนแล้วสิ
กู้เจียวตบเศษฝุ่นในมือออกก่อนจะลงจากรถม้า
ที่จริงท่านโหวกู้เดิมก็คิดจะเข้ามาแทรกแทรงเรื่องนี้เช่นกัน แต่ทว่า ความต้องการของเขาคือให้เซียวลิ่วหลังได้ไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียน เพราะมีแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาได้โอกาสพากู้เจียวกลับไปที่เมืองหลวงได้
ท่านโหวกู้วางแผนให้หวงจงไปหาขุนนางพร้อมกับค่าปิดปากเพื่อที่จะให้ขุนนางใส่ชื่อเซียวลิ่วหลังลงไป
และที่เขาหัวเราะเยาะเมื่อครู่นี้ เพราะเขามั่นใจว่าตัวเขามีรายชื่อยู่ในมือแล้ว แม้ตั้งใจจะมอบให้เซียวลิ่วหลังก็จริง แต่เขาก็อยากจะลองใจกู้เจียวว่าจะมาอ้อนวอนร้องขอเขาหรือไม่!
ที่ผิดคาดก็คือ หลังจากที่หวงจงออกไปได้ไม่นาน คนของอีกตระกูลหนึ่งก็เข้ามาหาขุนนางเช่นกัน อำนาจของพวกเขามีมากกว่าติ้งอันโหวหลายเท่า
ขุนนางจึงเลือกเมินเฉยคำขอของท่านโหวกู้
และได้แต่บอกว่าเขามาช้าไป
นอกจากแผนของเขาจะผิดพลาดแล้ว ยังต้องมาโดนลูกสาวตัวเองซ้อมจนเจ็บตัวอีก
ระหว่างทางกลับ กู้เจียวไม่ได้เอ่ยถามเซียวลิ่วหลังว่าเหตุใดตระกูลนั้นถึงจ้องเล่นงานเขา และเหตุผลที่เขาไม่ยอมไปเหยียบเมืองหลวง จะเป็นเพราะท่านโหวคนนั้นหรือไม่นะ
หากเขาต้องการจะบอก เขาจะบอกเองโดยที่นางไม่ต้องถาม
และถ้าเขาไม่อยากบอก ถึงถามไปก็ไม่มีประโยชน์
กู้เจียวส่งเซียวลิ่วหลังเข้าเรียน ขณะที่นางกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไป ก็ได้ยินเสียงใครบางคนก็เอ่ยเรียกเซียวลิ่วหลัง
เขาจึงหันไปทางต้นเสียง “เจ้าอีกแล้ว”
ชายวัยกลางคนประสานมือให้เขา พลางเอ่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ได้เจอนานเลยนะขอรับ นายน้อยยังจำหลิวโหม่วได้อยู่สินะขอรับ”
เซียวลิ่วหลังถลึงตาใส่ “พวกเจ้าสินะ ที่ไปแทรกแทรงเรื่องรายชื่อ”
ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดัง “นายน้อยไม่ยอมกลับมาที่จวนโดยดี พวกเราเลยต้องใช้ไม้แข็งกับท่าน ท่านชายเฝิงคนนั้นเป็นสหายของท่าน เอาสิทธิ์ให้เขาไป ดีกว่าเอาไปให้คนอื่น จริงไหมขอรับ แต่หากนายน้อยยอมกลับจวนดีๆ แล้วละก็ ข้าน้อยจะรีบให้คนไปแก้รายชื่อในทันทีขอรับ”
เซียวลิ่วหลังไม่อยากยุ่มย่ามด้วย เลยเลือกเดินหนี
ชายวัยกลางคนยังคงอธิบายต่อ “นายน้อยไม่อยากไปอยู่กั๋วจื่อเจียนรึ นั่นเป็นสำนักบัณฑิตที่ดีที่สุด บัณฑิตทุกคนใฝ่ฝันอยากเข้าเรียนที่นั่น และในวันพรุ่งนี้รายชื่อนั้นก็จะถูกส่งต่อไปที่ราชสำนัก ดังนั้น นายน้อยมีเวลาหนึ่งคืนในการตัดสินใจ หากรายชื่อถูกส่งออกไปแล้ว ต่อให้ใช้ม้าที่เร็วที่สุด ก็ไม่มีทางเอากลับคืนมาได้แล้วนะขอรับ”
เซียวลิ่วหลังหยุดฝีก้าวลง “ข้าเคยบอกแล้วไง ข้าไม่ใช่ตระกูลเซียว ข้าก็ไม่รู้จักพวกท่าน และข้าจะไม่ยอมกลับไปกับท่าน โปรดท่านยอมแพ้เถอะ ”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “เฮ้อ จะทนทรมานอยู่ใย อยู่สบายๆ ไม่ชอบดันชอบความลำบาก นายน้อยไม่ฉลาดเอาเสียเลยนะขอรับ”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “ให้ข้ากลับไปย่อมได้ แน่จริงเจ้าใส่ชื่อข้ากับเฝิงหลินคู่กันสิ!”
“นายน้อยพูดจาตลกดีแท้ พวกข้าน้อยต้องลงแรงไปตั้งมากเท่าไหร่กว่าจะใส่ชื่อชื่อหนึ่งลงไปได้” ถ้ากั๋วจื่อเจียนเข้าง่ายขนาดนั้น ทุกวันนี้คงไม่มีบัณฑิตคนไหนต้องมานั่งร่ำเรียนจนหัวฟูหรอก
เซียวลิ่วหลังหันไปมองเขา “อย่าลืมสิว่ายังมีการสอบระดับมณฑลอีกนะ ถ้าพวกเจ้าเก่งจริง แน่จริงก็ใส่ชื่อให้ข้าได้ที่หนึ่งด้วยสิ หากข้าได้เป็นเจี้ยหยวน ก็ไม่ต้องมีจดหมายแนะนำ สามารถเข้าไปเรียนในกั๋วจื่อเจียนได้เลย”
บัณฑิตที่เป็นเจี้ยหยวนจะได้เข้าเรียนในกั๋วจื่อเจียนโดยปริยาย นี่เป็นกฎที่มีมานานแล้ว
ชายวัยกลางคนหัวเราะอีกครั้ง “พวกข้าน้อยมิอาจเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องการสอบระดับมณฑลได้หรอกขอรับ ข้าน้อยขอเตือนเลยว่านายน้อยอย่าได้พลาดโอกาสแบบนี้เลย และข้าน้อยย้ำอีกครั้ง ตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าเป็นต้นไป ท่านจะไม่มีวันได้รับโอกาสเช่นนี้อีก”
“ในเมื่อเจ้าพูดมาเช่นนี้ ก็แปลว่าพวกท่านเข้าไปแทรกแทรงการสอบไม่ได้สินะ” เซียวลิ่วหลังยกมุมปากขึ้น จากนั้นก็เดินออกไปอย่างไม่ใยดี
ผู้ดูแลหลิวเริ่มเหงื่อตก พลางนึกในใจ นี่เขาพลาดอะไรไปรึ
พอถึงเดือนเก้า ได้เวลาประกาศผลการสอบระดับมณฑล ซองคะแนนถูกกระจายออกไปตามพื้นที่ต่างๆ จากจุดพักม้า
ขุนนางรีบมารับคะแนนที่จุดพักม้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น มือของเขาเริ่มสั่น
เขาอยากรีบเปิดดูข้างในใจจะขาด พอเปิดออก ขุนนางมองไปทางมุมกระดาษด้านขวา เห็นตัวอักษรห้าคำ เขียนว่า เจี้ยหยวน เซียวลิ่วหลัง!
“ฮือ ฮือ…ฮือ ฮือ” ขุนนางเข่าอ่อนจนนั่งปล่อยโฮบนพื้น
บุรุษไปรษณีย์ที่อยู่ตรงนั้นพอเห็นเข้าก็เกิดตกใจ “ท่านขุนนาง เป็นอะไรไปรึ”
“ข้าดีใจเหลือเกิน…ตำบลของข้า…ในที่สุด ก็มีเจี้ยหยวนกับเขาเสียที!” ขุนนางเอ่ยออกมาด้วยความปิติ
การจะสอบได้ที่หนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย ส่วนใหญ่จะมีแต่บัณฑิตระดับหัวเมืองใหญ่ๆ ที่มักได้เป็นเจี้ยหยวน เพราะคนในหัวเมืองส่วนใหญ่มาจากฐานะสูงส่ง มีเงินส่งลูกหลานเรียนหนังสือดีๆ อยู่แล้ว
เหตุผลที่คนจำนวนมากมาศึกษาที่สำนักบัณฑิตเทียนเซียง ก็เพราะที่นี่เป็นสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพและปริมาณของอาจารย์ผู้สอนเยอะที่สุด หากไม่นับสถาบันบัณฑิตตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ
ในรายชื่อมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าสิบอันดับ บัณฑิตที่มาจากสำนักบัณฑิตเทียนเซียงก็ปาเข้าไปแล้วสิบชื่อ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากลัวยิ่งนัก
จะติดก็แค่ในสิบคนนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนในพื้นที่
เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่มีชื่ออยาในนั้นด้วย
เฝิงหลินได้อันดับที่สิบเจ็ด ชื่อของเขาอยู่ในตำบลซง
ส่วนหลินเฉิงเย่ได้อันดับที่สี่สิบห้า ชื่อของเขาอยู่ในหัวเมืองเอกของมณฑล
ขุนนางดูรายชื่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่ามีแค่เซียวลิ่วหลังคนเดียวที่มีชื่ออยู่ในตำบลนี้
มีชื่อคนเดียวก็ช่างปะไร ในเมื่อเขาได้เป็นเจี้ยหยวนแล้ว!
และจะไม่มีใครมาค้านเขาได้!
“ที่จริงแล้วเซียวซิ่วไฉ…เอ่อ ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกเขาว่าเจี้ยหยวนแล้ว เซียวเจี้ยหยวนมีชื่ออยู่ที่ตำบลนี้ก็เพราะเขาแต่งงานกับแม่นางกู้ใช่หรือไม่” ทหารส่งข่าวเอ่ยถามเขา
ไม่งั้นชื่อของเขาก็จะไปอยู่ที่อื่นน่ะสิ
“ข้าไม่สนแล้ว! ในเมื่อชื่อของเขาอยู่ที่นี่แล้ว! เขาคือเจี้ยหยวนคนแรกในสมัยของข้า!”
ขุนนางเดินทางไปแจ้งข่าวดีให้กับเซียวลิ่วหลังด้วยตัวเอง จนทุกคนในหมู่บ้านทราบข่าวแล้วว่าเซียวลิ่วหลังได้เป็นจวี่เหรินแล้ว แถมยังได้เป็นเจี้ยหยวนอีกด้วย
“แล้วต้าซุ่นของข้าล่ะ” แม่นางโจวรีบวิ่งเข้ามาที่เรือนกู้เจียวเพื่อมาถามไถ่ถึงคะแนนของกู้ต้าซุ่น
ขุนนางมองหางตา พลางเอ่ย “ไม่มีชื่อของกู้ต้าซุ่น”
“จะไม่มีได้อย่างไร” แม่นางโจวไม่เชื่อ “ขนาดเซียวลิ่วหลังยังสอบได้เลย เหตุใดลูกของข้าถึงไม่มีชื่อล่ะ”
ขุนนางเอ่ยต่อ “เจ้าพูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดเกินไปหน่อยหรือ เซียวเจี้ยหยวนด้อยกว่าต้าซุ่นของเจ้ารึไง”
สำหรับแม่นางโจวแล้ว เซียวลิ่วหลังก็เป็นได้แค่เด็กหนุ่มขาเป๋ธรรมดาๆ คนนึง แถมตอนอยู่ในสำนักบัณฑิตก็สอบได้รองโหล่มาตลอด ในเมื่อคนแบบเขาสอบได้ ทำไมต้าซุ่นของนางจะทำไม่ได้ล่ะ
“ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ” แม่นางโจวส่ายหัว พอเห็นเซียวลิ่วหลังที่เพิ่งกลับจากสำนักบัณฑิตเดินเข้ามา ก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหา “ลิ่วหลัง! เจ้าบอกข้าทีว่ากู้ต้าซุ่นก็สอบติดด้วย”
“ตอนข้าไปสอบ ไม่เห็นเจอกู้ต้าซุ่นเลย” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
แม่นางโจวรู้สึกราวกับฟ้ากำลังทลายลงมา
พวกฮูหยินช่วยกันลงขันด้วยเงินสินสอด รวมๆ แล้วได้มายี่สิบตำลึง เพื่อเป็นเงินให้กู้ฉังไห่พาต้าซุ่นเดินทางไปสอบระดับมณฑล แต่ระหว่างทางพวกเขาดันโชคร้ายโดนคนหลอกเอาเงินไปจนหมดตัว
แม่นางโจวจู่ๆ เกิดเป็นลมล้มลงไป พวกชาวบ้านเลยต้องเข้ามาช่วยกันหามร่างนางออกมา
เสี่ยวจิ้งคงหลังจากเลิกเรียน ก็ได้ยินจากกู้เสี่ยวซุ่นว่าพี่เขยตัวแสบสอบได้ที่หนึ่ง จิ้งคงยังไม่อยากปักใจเชื่อ คิดว่าพวกเขาต้องมองคะแนนผิดไปแน่ๆ
“ไม่ผิดหรอก” กู้เสี่ยวซุ่นเกาหัว “ทุกคนในสำนักบัณฑิตดีใจกันใหญ่เลย”
จิ้งคงยืนยันว่าเขาจะต้องเห็นกับตาตัวเอง ถึงจะยอมเชื่อ
กู้เสี่ยวซุ่นเลยพาเขาและกู้เหยี่ยนมาที่ศาลาว่าการตำบล
ด้วยความที่จิ้งคงตัวเล็กเกินไป ส่วนป้ายประกาศคะแนนนั้นก็อยู่สูงเกินไป เขาพยายามเงยหน้ามองเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น จึงเอ่ยว่า “ข้าขอดูเอกสารราชการหน่อย!”
เหล่าทหารส่งสารพอได้ยินก็นึกในใจ ตัวแค่นี้ รู้จักเอกสารราชการด้วยรึ
พอพวกเขาทราบว่าจิ้งคงเป็นน้องชายของเซียวเจี้ยหยวน ก็กุลีกุจอหยิบเอกสารมาให้เขาดู
จิ้งคงอ่านเอกสารนั้นอยู่สามรอบ จนมั่นใจว่านี่ไม่ใช่เอกสารปลอม และไม่มีคำผิด จากนั้นเสี่ยวจิ้งคงก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “สอบได้ที่หนึ่งจริงๆ ด้วย”