สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 121 ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา
ยังไม่ทันจะฟ้าสาง กู้เจียวก็ตื่นก่อนเพื่อน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ สิ่งที่ทำอย่างแรกก็คือให้อาหารลูกเจี๊ยบของจิ้งคง
นางสังเกตว่าลูกเจี๊ยบเริ่มตัวโตขึ้นจนใกล้จะได้เป็นไก่แล้ว แถมยังเริ่มขันได้แล้วด้วย หากไม่มีใครตื่น พวกมันก็ไม่ขันต่อ
นางรู้มาว่ามีตลาดเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ ซึ่งอยู่คนละทิศกับทางที่ไปกั๋วจื่อเจียน
กู้เจียวสะพายตะกร้า มุ่งหน้าไปยังตลาด
“ซาลาเปาร้อนๆ มาแล้วจ้า” เสียงพ่อค้าตะโกนขายดังขึ้น
“ขายยังไงรึ” กู้เจียวเดินเข้าไปถาม
กู้เจียวสังเกตว่าพ่อค้าคนนี้ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเมื่อเห็นปานแดงบนใบหน้านาง สมกับเป็นคนเมืองหลวง คงเห็นอะไรมาเยอะสินะ
“ไส้เนื้อลูกละสามอีแปะ ไส้น้ำตาลแดงสองลูกสามอีแปะ! แม่หนูเอาเท่าไหร่ล่ะ”
ซาลาเปาที่นี่ก้อนโตนัก ดูทรงแล้วทานแค่ลูกเดียวก็น่าจะอิ่ม นางจึงคว้ากล่องใส่อาหารขึ้นมาแล้วยื่นให้พ่อค้า “ไส้เนื้อแปด ไส้น้ำตาลสี่”
ไส้น้ำตาลแดงสำหรับจิ้งคง ส่วนไส้เนื้อให้พวกเขากิน
ไม่รู้ว่าซื้อไปสี่ลูกจะพอไหม เพราะเณรน้อยกินจุนัก
“ได้เลย! ทั้งหมดสามสิบอีแปะ! แถมหมั่นโถวให้ลูกหนึ่ง!” พ่อค้าหยิบซาลาเปาและหมั่นโถวใส่ลงกล่อง
“ขอบใจมากจ้ะ” กู้เจียวจ่ายเงินเสร็จ ก็เดินไปซื้ออุปกรณ์เครื่องครัวต่อ จากนั้นก็ไปซื้อไม้ฟืนเพื่อจะเอามาใช้เชื้อเพลิง
ราคาไม้ฟืนที่นี่จัดว่าแพงใช้ได้เลย มัดหนึ่งขายสิบทองแดง ดูๆ แล้วคงใช้ได้แค่สองสามวันเท่านั้น
กู้เจียวซื้อฟืนสองมัด จากนั้นก็ถามราคาถ่าน
พ่อค้าขายเชื้อเพลิงจึงบอกกับนาง “แม่หนูจะซื้อถ่านดำหรือถ่านเงินล่ะ ถ่านดำห้าอีแปะต่อจิน ถ่านเงินยี่สิบอีแปะต่อจิน”
“ถ่านเงินแพงขนาดนี้เชียว”
พ่อค้าหัวเราะ “ก็เพราะถ่านเงินใช้ดีกว่ายังไงล่ะ!”
ที่พ่อค้าบอกมาเป็นความจริง ถ่านดำนอกจากจะไม่ทนไฟแล้ว ควันของมันยังส่งกลิ่นฉุนจมูกอีกด้วย ถ้าเทียบกันแล้ว ยังไงๆ ถ่านเงินก็ใช้ดีกว่า เพราะทั้งทนไฟและไม่มีควันมากวนใจ
และแล้วกู้เจียวก็ซื้อถ่านเงินมาร้อยจินด้วยราคาสิบเจ็ดอีแปะต่อจิน
พ่อค้าแบกมัดฟินและถ่านเงินทั้งหมดใส่รถแล้วเข็นมาส่งให้ถึงที่เรือน
เซียวลิ่วหลังตื่นมาทำความสะอาดห้องครัวเงียบๆ ไม่มีใครโดนปลุกด้วยเสียงของเขาเลยแม้แต่นิด
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” กู้เจียวและเซียวลิ่วหลังเอ่ยทักทายยามเช้า
กู้เจียวให้พ่อค้าแบกฟืนกับถ่านเข้ามาวางไว้ในห้องครัว
จากนั้นก็แย่งไม้กวาดมาจากมือเซียวลิ่วหลัง “เดี๋ยวข้าทำต่อเอง เจ้าไปจัดของต่อเถอะ”
สัมภาระของกู้เจียว หญิงชรา กู้เหยี่ยน และกู้เสี่ยวซุ่นถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับเซียวลิ่วหลังและจิ้งคงที่หอบสมบัติทั้งหมดยัดใส่กล่องใหญ่ สมบัติที่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือ ส่วนของจิ้งคงเป็นของที่เขาขนมาจากในวัด รวมถึงลูกเจี๊ยบตัวน้อยๆ ของเขา
“ก็ได้” เซียวลิ่วหลังเดินมุ่งหน้าไปทางห้องหนังสือ
สักพัก กู้เจียวเดินเข้าไปหาเขาที่ห้องหนังสือพร้อมกับซาลาเปาร้อนๆ “กินอะไรก่อนสิ เดี๋ยวข้าต้มโจ๊กเพิ่ม”
“เจ้ากินข้าวแล้วหรือยัง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
กู้เจียวส่ายหัว “ยังเลย”
เดิมกู้เจียวคิดไว้ว่าจะกินตอนระหว่างที่ต้มข้าวต้มให้พวกเขา แต่เซียวลิ่วหลังกลับเอามือดันจานซาลาเปาไปข้างหน้า “งั้นก็กินด้วยกันสิ”
“ก็ได้”
พอมีสมาชิกเพิ่มขึ้น ทั้งคู่จึงแทบไม่มีเวลามานั่งกินข้าวด้วยกันสองคน ครั้งล่าสุดน่าจะเป็นตอนที่ไปโรงเตี๊ยมในเมือง แต่ก็นะ เรื่องก็ผ่านมากว่าครึ่งปีที่แล้ว
ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน ภาพที่เห็นราวกับได้ย้อนวันวานไปตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในช่วงแรกๆ
กู้เจียวคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้
“เจ้ายิ้มอะไร”
“ข้านึกถึงตอนที่ทำข้าวให้เจ้ากินครั้งแรกน่ะ ตอนนั้นเจ้าคงคิดว่าข้าใส่ยาพิษลงไปสินะ เลยไม่กล้ากิน”
“ข้าเปล่าสักหน่อย” เซียวลิ่วหลังปฏิเสธเสียงแข็ง
“แล้วตอนนี้ไม่กลัวข้าจะใส่ยาพิษให้เจ้าแล้วรึ” กู้เจียวเอ่ยหยอกพลางจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา
เกรงว่าจะเชื่อใจข้าเสียจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วกระมัง
พอเห็นคนตรงหน้าทำหน้าระรื่น เซียวลิ่วหลังเลยคว้าซาลาเปาจากมือนาง แล้วยื่นของตัวเองให้แทน
“…”
ทั้งสองทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว คนที่เหลือก็ยังไม่ตื่น เซียวลิ่วหลังต้องไปที่กั๋วจื่อเจียนเพื่อรายงานตัว กู้เจียวเห็นว่าคนอื่นวันนี้คงนอนตื่นสายโด่งกันแน่ๆ เลยตัดสินใจไปส่งเซียวลิ่วหลังที่กั๋วจื่อเจียน
กั๋วจื่อเจียนกำลังจะเปิดเรียนในช่วงปลายเดือนสิบ บัดนี้เริ่มมีบัณฑิตมากหน้าหลายตาทยอยกันมารายงานตัวแล้ว มีทั้งคนในพื้นที่ และคนนอกพื้นที่อย่างเซี่ยวลิ่วหลัง
บัณฑิตกั๋วจื่อเจียนไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าบำรุงสถานที่ อีกทั้งค่าใช้จ่ายทั้งหมดสามารถเบิกได้ รวมทั้งค่าหอพักและค่าอาหาร ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับการจัดสรรจากฝ่ายการเงินของราชสำนัก
เซียวลิ่วหลังไปที่กิจการบัณฑิตเพื่อรายงานตัว พอเสร็จก็กลับบ้านได้ แต่แน่นอนว่าถ้าทำได้ เขาก็อยากอยู่ต่ออ่านหนังสือต่อ
ห้องสมุดของกั๋วจื่อเจียนจัดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในแคว้น ไม่เช่นนั้นที่แห่งนี้คงไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บัณฑิตทุกคนใฝ่ฝันจะมาหรอก
กู้เจียวยืนรอเขาอยู่ที่ด้านหน้า
กู้เจียวรู้สึกแปลกใหม่กับภาพตรงหน้า รถรามากมายรวมถึงผู้คนที่เดินพลุกพล่านไปมาบนถนน
นี่น่ะหรือคือเมืองหลวง ช่างต่างกับชนบทเล็กๆ ของนางลิบลับ ถนนหนทางทั้งกว้างและยาวจนรถม้าสามารถวิ่งตีคู่กันได้สบายๆ หญิงสาวที่เดินขวักไขว่บนถนนต่างก็สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า
กู้เจียวเพลิดเพลินกับการมองไปรอบๆ แต่ทันใดนั้นเอง ถนนทั้งสองฝั่งจู่ๆ เต็มไปด้วยผู้คน และมองไปทางทิศเดียวกัน
จุดที่กู้เจียวยืนอยู่ห่างจากถนนไม่ไกลนัก ไม่วายก็โดนผู้คนเบียดจนร่างกระเด็นออกไปด้านข้าง แถมยังโดนเหยียบเท้าอีกด้วย
“อ๋า! ขออภัยด้วย!” คนที่เหยียบเท้านางรีบหันมาขอโทษยกใหญ่
เป็นเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นบัณฑิต แม้นางจะพยายามทำเสียงให้ทุ้มต่ำเพื่อไม่ให้ใครจับได้ แต่กู้เจียวก็ดูออกอยู่ดี
แถมยังหน้าตาสะสวยเสียด้วย
“ข้าขอโทษจริงๆ! ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เด็กสาวยกมือขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กู้เจียวไม่ได้ใส่ใจอะไร
จากนั้นก็ถอยออกไปยืนให้ห่างฝูงชน
แต่ไม่ทันเสียแล้ว ด้านหลังเองก็เต็มไปด้วยฝูงชนเช่นกัน
เลยเหมือนกับว่านางกำลังถูกขังอยู่ในกลุ่มฝูงชน ออกไปไหนก็ไม่ได้
เด็กสาวยังคงพยายามจะพาตัวเองไปอยู่แถวหน้าให้ได้ แต่ก็ทำไม่เสร็จ เลยยอมแพ้ไป
นางหันมาถามกู้เจียวพลางปาดเหงื่อที่หน้าผาก “แม่หญิง หน้าเจ้าไปโดนอะไรมารึ”
“ปานแดงน่ะ” กู้เจียวตอบนิ่งๆ
“อ๋า…” เด็กสาวรีบเอามือป้องปาก “ข้านึกว่ามันคือชาดเสียอีก ขออภัยด้วยนะ”
แน่นอนว่ากู้เจียวไม่เอาคำพูดพลั้งปากของนางมาใส่ใจ
จะมีก็แต่เด็กสาวนี่แหละที่เอาแต่รู้สึกผิดกับตัวเอง ไปชนคนเขายังไม่พอ ยังเผลอไปเหยียบเท้าอีก แถมยังพูดจาเสียมารยาทใส่ด้วย เฮ้อ
นางนี่มันคนบาปจริงๆ!
“แม่หญิง ท่านไม่ใช่คนที่นี่สินะ ข้าฟังจากสำเนียงน่ะ” เด็กสาวเอ่ยทัก
“อืม”
“ท่านเองก็ออกมาดูไท่จื่อเฟยเหมือนกันใช่ไหม”
กู้เจียวทำหน้าฉงน “เฟยอะไรนะ”
เด็กสาวดวงตาเบิกโพลงด้วยความตะลึง “ไท่จื่อเฟยยังไงละ ที่ท่านมายืนรอแต่เช้า ไม่ใช่เพราะได้ยินข่าวไท่จื่อเฟยกำลังเสด็จมาทางนี้หรอกรึ”
กู้เจียวส่ายหัว พลางเอ่ย “ข้าไม่รู้จักไท่จื่อเฟยที่เจ้าว่าหรอก แล้วก็ไม่ได้มารอดูด้วย”
เด็กสาวสูดหายใจลึก ก่อนจะโต้ตอบ “ไม่มีใครรู้จักใครทั้งนั้นแหละ พวกเราคนธรรมดาจะรู้จักไท่จื่อเฟยได้อย่างไรเล่า ข้าก็แค่ฟังๆ เขามาเลยเกิดเลื่อมใส ก็เลยอยากมายลโฉมของนางด้วยตัวข้าเองต่างหากล่ะ”
“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเลื่อมใสด้วย”
“นี่เจ้าใช่คนแคว้นเจาหรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่อของไท่จื่อเฟยมาก่อนล่ะ”
บทสนทนาของพวกเขาทำเอาคนที่อยู่รอบๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจ สายตาที่พวกเขามองมาที่กู้เจียวไม่ต่างกับสายตาเมื่อครู่ของเด็กสาว พวกเขาอดแปลกใจไม่ได้ว่ายังมีคนในแคว้นเจาที่ไม่รู้จักไท่จื่อเฟยด้วยหรือนี่
สักพัก เสียงตะโกนจากฝูงชนดังขึ้น “ไท่จื่อเฟยมาแล้ว ไท่จื่อเฟยมาแล้ว”
สิ้นเสียงตะโกน ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้น
ขบวนทหารรักษาพระองค์หลายร้อยนายเดินล้อมรถม้าของไท่จื่อเฟย และเคลื่อนขบวนไปเรื่อยๆ จนลับสายตาไป
จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
เด็กสาวจ้องตาค้างจนขบวนเคลื่อนหายไป จากนั้นกระทืบเท้าด้วยความโมโห “โอ๊ย ไม่เจออีกแล้ว! นี่ข้าอุตส่าห์ยอมตื่นเช้าเลยนะ! ทำไมยากจัง! ”
กู้เจียวถอนหายใจเฮือกยาว ในที่สุดก็แยกย้ายกันสักที
นางไม่คุ้นชินกับการอยู่ในที่แออัดเต็มไปด้วยฝูงชน
“ท่านไม่ได้มาดูไท่จื่อเฟยจริงๆ สินะ” เด็กสาวเห็นท่าทีนิ่งเฉยของกู้เจียวเลยเกิดสงสัย
“ข้าบอกไปแล้วไง” กู้เจียวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ทำไมล่ะ”
“เหตุผลนั้น ข้าเองก็บอกไปแล้ว”
“ท่านไม่เคยได้ยินชื่อของพระองค์มาก่อนเลยรึ”
กู้เจียวได้แต่จ้องหน้าเด็กสาว ไม่ตอบอะไร
เด็กสาวรับไม่ได้ที่มีคนไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของไท่จื่อเฟย
จึงสวดให้กู้เจียวฟังหนึ่งดอก “ท่านรู้หรือไม่ว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์เป็นสตรีที่เก่งกาจที่สุดในแคว้นเจา ไม่มีบุรุษใดในโลกที่ไม่ชื่นชมพระองค์ และไม่มีสตรีใดที่ไม่อิจฉาพระองค์ เจ้ารู้จักท่านจวงเซี่ยนจือ นักปราชญ์ผู้เก่งกาจของตระกูลจวงหรือไม่ เขาเคยเป็นครูให้กับไท่จื่อเฟย แล้วทายสิว่าผู้ใดกันที่เคยศึกษาเล่าเรียนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์ ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจายังไงล่ะ!”
กระนั้นแล้ว กู้เจียวยังคงหน้านิ่ง
เด็กสาวหงุดหงิดจนแทบจะระเบิด “เดี๋ยวก่อนนะ อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักท่านโหวน้อยน่ะ! ท่านโหวน้อย เด็กอัจฉริยะผู้มากความสามารถคนนั้นไง!”
“อ้อ เคยได้ยินมาบ้าง”
นางจำได้จากครั้งที่บัณฑิตเสี่ยวฉินเคยมอบภาพวาดให้นางแล้วบอกว่าเป็นภาพฝีมือของท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา แต่เซียวลิ่วหลังกลับบอกว่าไม่ใช่
เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ที่นางเคยได้ยินชื่อของท่านโหวน้อย
เด็กสาวทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อพลางเอามือตบเข้าไปที่หน้าผากตัวเองหนึ่งที “ให้ตายสิ ให้ตาย นี่ท่านไปจำศีลในก้อนหินมาหรือไง ถึงไม่รู้จักชื่อของท่านโหวน้อยและไท่จื่อเฟย พวกเขาเป็นถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแคว้นเจาเชียวนะ ทั้งสองรู้จักกันตั้งแต่วัยเยาว์ แถมยังเคยหมั้นหมายกันด้วย พอท่านโหวน้อยจากไป ไท่จื่อเฟยปิดกั้นตัวเองมาเป็นเวลาสามปี ปีนี้เพิ่งจะได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทให้ทรงอภิเษกกับไท่จื่อ นี่ท่านไม่เคยได้ยินตำนานเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ รึ”