สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 124 พี่ชาย
เช้าวันรุ่งขึ้น นางจึงไปหาเซียวลิ่วหลัง ถามเขาว่าโรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋นอยู่ที่ไหน
เซียวลิ่วหลังฉงนใจยิ่ง “เจ้าไปได้ยินโรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋นมาจากไหน”
กู้เจียวบอกโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “เมื่อวานไปตลาดซื้อของแล้วได้ยินเข้า อาหารที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นอร่อยมากใช่หรือไม่”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “นั่นมันโรงเตี๊ยมด้านมืดนะ”
“หา” กู้เจียวตกตะลึง
เซียวลิ่วหลังอธิบายว่า “ภายนอกเป็นโรงเตี๊ยม แต่ในความเป็นจริงคือบ่อนพนัน คนไม่น้อยถูกหลอกไป เจ้าอย่าได้โดนหลอกเอา”
เซียวลิ่วหลังคิดว่ากู้เจียวโดนคนที่มีเจตนาแอบแฝงหลอกเอา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมบอกนางว่าหอสุราเสียงอวิ๋นอยู่ที่ไหน กู้เจียวทึ้งศีรษะ จำต้องคิดหาทางอื่นแทน
หลังมื้อเช้า เซียวลิ่วหลังไปหาโรงเรียนที่เหมาะสมให้กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่น กู้เจียวอ้างว่าจะไปซื้อผักที่ตลาด แล้วตรงไปจ้างรถม้าคันหนึ่งทีนที่ “ไปโรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋น”
คนขับรถเอ่ยว่า “โรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋นไกลพอสมควรเลย แม่นางรีบหรือไม่ หากไม่รีบท่านรอสักครู่ ข้าจะรับแขกอีก”
“ข้ารีบ” กู้เจียวบอก
“เช่นนั้นก็สองร้อยเหรียญทองแดง” คนขับรถบอก
โรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋นอยู่อีกฟากของเมืองหลวง ซ้ำม้าของเขาก็ไม่ใช่ม้าวิ่งได้พันลี้ ไปกลับก็ผ่านพ้นไปค่อนวันแล้ว คงจะรับแขกคนที่สองต่อไม่ได้
“ได้” กู้เจียวตอบรับ
คนขับรถนับว่าคุ้นที่คุ้นทางในเมืองหลวงอยู่บ้าง เขาเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ทว่าวันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามันวันอะไร เจอคนใหญ่คนโตสองคนมาใช้ท้องถนนถึงสองครั้ง ดังนั้นพวกชาวบ้านจำต้องกลบเลี่ยงให้
พอกู้เจียวเร่งรุดมาถึงระแวกโรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋นแล้วพวกมือสังหารก็เริ่มลงมือกันไปแล้ว
กู้เจียวได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในตรอก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระโดดลงจากรถม้า เดินอ้อมเข้าไปอีกด้านของตรอก
การต่อสู้ของสองฝ่ายกำลังดุเดือด ไม่ได้สังเกตเห็นเงาร่างผอมบางที่เร้นกายมาทางด้านหลังพวกเขา
กู้เจียวเจอกระสอบที่ซ่อนอยู่ในมุมหนึ่ง นางอุ้มเด็กที่สลบอยู่ออกมา แล้วหาก้อนหินใหญ่มาใส่ไว้แทน
พวกมือสังหารไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษคนนั้น จึงแลกเปลี่ยนสายตากันว่าจะเริ่มใช้ลูกไม้แล้ว
หนึ่งในนั้นใช้กระบี่เลิกกระสอบขึ้น ก่อนจะโยนไปทางบุรุษคนนั้นอย่างแรง กระบี่ยักษ์ผ่ากระสอบออก ของที่บินออกมาจากกระสอบนั้นทำเอาพวกมือสังหารมึนงงกันไปเป็นแถบ
ไม่ใช่เด็กหรือ เหตุใดจึงกลายเป็นหินก้อนหนึ่งไปได้
บุรุษคนนั้นฉงนเช่นกัน นี่มันลูกไม้อะไร วิธีทำให้สับสนแบบใหม่ล่าสุดหรือ
ใช้ก้อนหินน่ะนะ
บุรุษคนนั้นผ่าหินแยกเป็นสองซีกราวกับปอกกล้วย
นาทีทองในการลงมือสังหารได้ผ่านพ้นไปแล้ว พวกมือสังหารเข้าใจทันทีว่าวันนี้พวกเขาไม่มีโอกาสสังหารอีกฝ่ายได้แล้ว จึงไม่ได้ต่อสู้ติดพัน หลังจากใช้กลอุบายไปไม่กี่กระบวนท่าก็ทยอยเผ่นกันแนบแล้ว
บุรุษคนนั้นไม่ได้ได้ทีขี่แพะไล่ เขาเก็บกระบี่หมายจะหันหลังไปขึ้นม้า ทว่าในชั่วขณะนั้นเอง หูสองข้างขยับไหว หันไปมองยังตรอกอย่างระแวดระวัง “ใคร”
แค่นี้ก็ยังโดนเขาจับได้อีก ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาว่องไวเกินไปแล้ว
กู้เจียวอุ้มเด็กที่สลบอยู่เดินออกมาจากหลังเสา “ข้าเอง”
บุรุษคนนั้นจำนางได้ “เหตุใดจึงเป็นเจ้าได้”
กู้เจียวยักไหล่
สายตาบุรุษคนนั้นตกลงบนร่างของเด็กในอ้อมอกกู้เจียว เหตุใดแค่มองจึงเหมือนเด็กน้อยในวันนั้นเลยเล่า แต่พอดูดีๆ แล้วกลับไม่ใช่ เด็กคนนั้นหัวโล้น เด็กคนนี้ผมยาวมากนัก ซ้ำยังรวบไว้ด้วย
อีกทั้งหน้าตาของเด็กคนนี้ก็ไม่ได้น่าเอ็นดูขาวผ่องเท่าเด็กคนนั้นด้วย
บุรุษคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงก้อนหินที่ลอยออกมาจากกระสอบ คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเขาจะจำได้ว่าตอนนั้นสีหน้าพวกนักฆ่าก็ตกใจเช่นนี้เหมือนกัน หรือว่า…
บุรุษคนนั้นมองไปยังกู้เจียว ก่อนเอ่ยอย่างฉงนว่า “เจ้าเป็นคนเอาตัวเด็กออกมาหรือ”
“อืม” กู้เจียวไม่ได้ปฏิเสธ “เดินผ่านมาพอดี เห็นพวกเขาจับเด็กคนนี้มา จึงเดินตามพวกเขามา แล้วก็มาเจอพวกเขาต่อสู้กับเจ้าเข้าพอดี ข้าจึงอุ้มเด็กออกมา”
นางเอ่ยอย่างสบายๆ ทว่าบุรุษคนนั้นกลับกระจ่างแจ้งดีว่าพวกนักฆ่านั่นไม่ใช่มือสังหารธรรมดา หากจะติดตามพวกเขาจริงๆ ยากนักที่จะไม่โดนจับได้
เขาจ้องตากู้เจียวยิ่งฉงนขึ้นกว่าเดิม “หากข้าจำไม่ผิดละก็ เจ้าพักอยู่ระแวกกั๋วจื่อเจียน แต่ที่นี่กับกั๋วจื่อเจียนอยู่คนละฟากกันเลย เหตุใดจึงผ่านทางมาได้เล่า เจ้ามาทำอะไรแถวนี้รึ”
กู้เจียวชะงัก มองไปยังโรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋นที่อยู่ไม่ไกลพลางบอกว่า “อืม…เล่นพนัน”
บุรุษคนนั้น “…”
ไม่อยากบอกก็ช่างมันเถิด
บุรุษคนนั้นย่อมเดาไม่ถูกว่ากู้เจียวตั้งใจมาช่วยเขาโดยเฉพาะอยู่แล้ว
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน พ่อแม่ของเด็กก็ตามมาถึง
“ลูกชายข้า…ลูกชายข้า…”
สตรีออกเรือนร้องห่มร้องไห้
กู้เจียวส่งเด็กให้นาง แล้วเอ่ยกับนางว่า “เขาสูดดมยาเบื่อเข้าไปเล็กน้อย ปริมาณไม่มาก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ค่ำแล้วคงจะฟื้น”
“ขอบคุณแม่นางยิ่ง! ขอบคุณแม่นางยิ่ง!” สตรีออกเรือนนางนั้นอุ้มลูกโขกศีรษะให้กู้เจียว สามีของนางก็คุกเข่ามาโขกหัวให้เช่นกัน
กู้เจียวมองบุรุษคนนั้นพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ขอบคุณเขาดีกว่า เขาเป็นคนไล่นักฆ่าพวกนั้นให้หนีไป”
ทั้งสองคนจึงโขกศีรษะให้บุรุษคนนั้น
หลังจากที่ทั้งสองจากไป บุรุษคนนั้นก็ตั้งท่าจะจากไปเช่นกัน มือหนึ่งคว้าบังเหียนม้าพันธุ์ดีไว้ อีกข้างจับอานม้าพยุงตัว กำลังจะพลิกตัวขึ้นหลังม้า ทว่าถูกกู้เจียวเรียกไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องทำแผลของเจ้าก่อนหรือ”
แววตาของบุรุษคนนั้นพลันฉายแววระแวดระวังขึ้น พลันชักกระบี่ออกมาจ่อลำคอของนางไว้ “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงรู้ว่าข้าบาดเจ็บ”
เรื่องที่เขาบาดเจ็บไม่มีใครรู้แม้กระทั่งคนรับใช้ในจวน!
กระบี่จ่อบนลำคอ เปลือกตากู้เจียวกลับไม่ได้เหลือบขึ้นเลยสักนิด ทำเพียงชำเลืองมองเอวเขาอย่างสงบนิ่งแวบหนึ่ง “เจ้าเลือดออกน่ะ”
บุรุษคนนั้นก้มหน้าลงมอง อาภรณ์บริเวณบั้นเอวถูกเลือดสดอาบย้อมอยู่จริง แดงเถือกเป็นบริเวณกว้าง
กู้เจียวเอ่ยว่า “เจ้าระวังจะเสียเลือดมากเกินไปด้วยล่ะ”
ปริมาณเลือดที่สูญเสียไปนี้ หากเป็นคนธรรมดาคงได้หมดสติไปแล้ว แต่นี่เขายังต่อสู้กับคนอื่นมาได้นานเพียงนี้
กู้เจียวมองรอบด้าน ในตรอกไร้ผู้คน นางจึงเอาตะกร้าใบน้อยลงมา แล้วหยิบกล่องยาใบเล็กออกมาจากด้านใน ก่อนเอ่ยกับเขาว่า “ฉีกอาภรณ์ออกให้ข้าดูหน่อย”
บุรุษคนนั้นถามว่า “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบว่า “ห้ามเลือดให้เจ้าน่ะสิ!”
บุรุษคนนั้นขมวดคิ้ว กู้เจียวไม่อยากเปิดกล่องยาต่อหน้าเขา จึงส่งสายตาให้เขา “หันหลังไป ดึงอาภรณ์ลงมาด้วย”
“เจ้าเป็นหมอรึ” บุรุษคนนั้นถาม
“ใช่ ข้าเป็น อย่ามัวมาพล่ามอยู่เลย ทีต่อสู้ละปราดเปรียวว่องไวเชียว เหตุใดตอนหาหมอจึงได้อืดอาดยืดยาดนัก” เรียกได้ว่ากู้เจียวค้นพบแล้วว่าคนที่นี่ต่างอิดออดปิดบังอาการของตัวเองไม่ให้หมอรักษา แน่นอนว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะเขาไว้ใจนางไม่มากพอ
บุรุษคนนั้นลังเลอยู่เล็กน้อย แต่หาใช่เพราะไม่ไว้ใจกู้เจียว แต่เป็นเพราะ…กู้เจียวเป็นสตรี
เขาจะมาเลิกผ้าเลิกผ่อนของตัวเองต่อหน้าสตรีนางหนึ่งได้อย่างไรกันล่ะ
กู้เจียวถอนหายใจ เขาไม่ลงมือ เช่นนั้นนางทำเอง
นางเดินไปด้านหลังบุรุษคนนั้น ถอดชุดเกราะของเขาออกแล้วดึงเสื้อเขาขึ้น
บุรุษคนนั้นที่ยังไม่ได้สติคืนมาแม้แต่น้อย “…”
คงเพิ่งจะเย็บสินะ กู้เจียวมองบาดแผลเขา “แผลปริแล้ว ต้องเย็บใหม่”
บาดแผลของบุรุษคนนั้นหมอทหารในค่ายเป็นคนเย็บให้เขา น้อยมากนักที่หมอชาวบ้านจะเชี่ยวชาญพวกการผ่าตัด
บุรุษคนนั้นเกิดความสงสัยต่อฝีมือการแพทย์ของกู้เจียว แต่เห็นท่าทางจริงจังของนาง สุดท้ายเขาจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดปฏิเสธออกไป
กู้เจียว “หันหลังไป”
บาดแผลลากยาวจากแผ่นหลังเขาจนถึงเอวด้านขวาของเขา หันหลังให้ย่อมเย็บแผลได้สะดวกอยู่แล้ว
บุรุษคนนั้นขมวดคิ้วพลางหันหลังไป
“ใช้ยาชาหมดแล้ว” จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีมาเพิ่ม กู้เจียวไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะเหตุใด
นางปิดกล่องยารออยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงยาชา ยาชา ยาชา อยู่ในหัว สุดท้ายพอเปิดออกก็ยังไม่มียาชาอยู่ดี
กู้เจียวเอ่ยกับเขาว่า “คงต้องเย็บสดให้เจ้าแล้วล่ะ เจ้าทนหน่อยนะ”
บุรุษคนนั้นนิ่งอึ้ง เอ่ยกับกู้เจียวว่า “หมาเฟ่ยซั่น หรือ ข้าไม่ต้องใช้ เจ้าเย็บเลย”
กู้เจียวไม่ได้อธิบายความแตกต่างระหว่างยาชากับหมาเฟ่ยซั่น นางเย็บแผลให้เขาอย่างตั้งอกตั้งใจ
ขั้นตอนทั้งหมดนั้นเขาไม่ได้หลุดร้องออกมาสักแอะ เป็นชายชาตรีที่ถึกทนเลยทีเดียว
ทว่าทั้งสองคนต่างคิดไม่ถึงว่าพอเย็บเข็มสุดท้ายแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีนักฆ่าย้อนกลับมา ในมือของนักฆ่ามีธนูเพิ่มขึ้นมาคันหนึ่ง เขาขึ้นคันชักทีเดียวห้าดอก
บุรุษคนนั้นลงมือไม่ทัน เขาหันหลัง แขนสองข้างปกป้องกู้เจียวเอาไว้ กะว่าจะใช้ร่างรับธนูห้าดอกนั้นตรงๆ
เขาเห็นดวงตากู้เจียวเข้า ทั้งเย็นยะเยือกและเย็นชา เต็มไปด้วยไอสังหารที่วาบผ่าน
กู้เจียวชักกริชออกจากบั้นเอวเขา ทันใดนั้นก็โยนไปปักเข้ากลางอกของนักฆ่าคนนั้นโดยพลัน
นักฆ่าส่งเสียงร้องในลำคอขึ้นมา ตกลงมาจากหลังคาพร้อมกับธนู
บุรุษคนนั้นหันหน้ากลับมาอย่างเหลือเชื่อ!
กู้เจียวนั่งลงยองๆ อย่างสงบนิ่ง แล้วเย็บแผลให้เขาต่อ
“เสร็จแล้ว” นางบอก
บุรุษคนนั้นมองกู้เจียวอย่างตื่นตะลึง คล้ายว่ายังคงตกอยู่ในความตกตะลึงขนาดหนักอยู่
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ มองเขา พลันกระจ่างแจ้งขึ้น “จริงด้วย เกือบลืมอันนี้ไปเลย!”
นางเอ่ยพลางหยิบขวดยาห้ามเลือดที่ทำขึ้นมาเองออกมาให้เขาขวดหนึ่ง “ใช้ห้ามเลือดได้ดีกว่ายาของเจ้าแน่นอน!”
กู้เจียวไม่ได้เปรียบเทียบมั่วซั่ว แต่เมื่อครู่ตอนเย็บแผลให้เขาได้กลิ่นยาห้ามเลือดเข้า นางจำแนกส่วนผสมในนั้นอย่างละเอียดแล้ว สู้ยาห้ามเลือดของนางไม่ได้จริงๆ
บุรุษคนนั้นยังคงมีสีหน้าเหลือเชื่ออยู่
หรือว่ายังไม่เสร็จ กู้เจียวมองนักฆ่าที่อยู่ไม่ไกลอีกครั้ง “ยังไม่ตาย ยังจับกลับไปไต่สวนได้ หรือว่าเจ้าจะจับข้าไปแทนรึ”
“ไม่ใช่” ในที่สุดบุรุษคนนั้นก็ได้สติขึ้น “เจ้าปกป้องตัวเอง หากจะจับก็ต้องจับพวกเขา”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะ” กู้เจียวปัดมือ สะพายตะกร้าใบน้อยขึ้น สีหน้าสุขุมสงบนิ่งเดินออกจากตรอกไป
กู้เจียวมอบความตกตะลึงให้แก่บุรุษคนนั้นมากมายนัก แม้แต่นักฆ่าคนนั้นก็ไม่สามารถกวนใจเขาได้เลย
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เร่งม้าตามไป “ข้าไปส่งเจ้าเอง”
“หืม” กู้เจียวเอียงคอมองเขา
บุรุษคนนั้นชะงัก “ข้าก็พักแถวๆ กั๋วจื่อเจียนเช่นกัน ทางผ่านน่ะ”
“ตามใจเจ้า” กู้เจียวมาถึงโรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋น แล้วขึ้นนั่งรถม้าที่ตัวเองจ้างมาจากตลาด
อันที่จริงบุรุษคนนั้นเป็นห่วงว่านักฆ่าพวกนั้นจะยังไม่ไปไหนไกล และจับตาดูกู้เจียวอยู่ จึงได้เสนอว่าจะไปส่งนางกลับบ้าน
โชคดีที่ตลอดทางมาจนถึงหน้าบ้านกู้เจียวไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆ ของนักฆ่าเลย น่าจะไม่ได้ตามมา
แบบนี้ก็ดี
เขาไม่อยากจะลากนางมาลำบากด้วย
กู้เจียวจ่ายเงินค่ารถ คนขับรถก็ขับรถม้าจากไป บุรุษคนนั้นก็ควรจะกลับได้แล้วเหมือนกัน “ขอตัวก่อน”
กู้เจียวพยักหน้า “ลาล่ะ”
“เอ๋ เจียวเจียว! พี่ชาย!”
เสี่ยวจิ้งคงเห็นทั้งสองคนจากช่องประตูจึงวิ่งตึงตังมาหา มือน้อยๆ ซุกไว้ด้านหลังอย่างแน่นหนา ไม่ให้กู้เจียวเห็น
เขาเอียงคอพลางถามว่า “เจียวเจียว เจ้ากลับด้วยกันกับพี่ชายได้อย่างไรหรือ พี่ชายมาเป็นแขกบ้านพวกเราหรือ”
ท่าทางเล็กๆ นั้น ทำให้บุรุษคนนั้นนึกถึงท่าทางเมื่อครู่ของกู้เจียวที่เป็นเช่นนี้เหมือนกัน สมกับที่เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ขนาดกิริยาท่าทางยังเหมือนกันเช่นนี้
กู้เจียวขยี้ผมเขา เอ่ยว่า “พี่ชายแค่ผ่านทางมาเท่านั้น”
“อ้อ!” เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดก่อนจะก้าวไปทางหน้าประตูก้าวหนึ่ง เอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอพูดคุยกับพี่ชายสักหน่อย!”
“ได้” กู้เจียวแสร้งทำเป็นไม่เห็นของที่เขาซ่อนไว้ในมือ
กู้เจียวเข้าบ้านมา บุรุษคนนั้นก็ถามเสี่ยวจิ้งคงว่า “ในมือเจ้าซ่อนอะไรเอาไว้หรือ”
เสี่ยวจิ้งคงเอามืออกมาจากด้านหลัง เผยให้เห็นตลับเล็กๆ ใบหนึ่ง ก่อนจะกระซิบบอกเสียงเบาว่า “วันเกิดเจียวเจียวใกล้จะถึงแล้ว ข้ากำลังเตรียมของขวัญให้เจียวเจียว! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าฉลองวันเกิดด้วยกันกับเจียวเจียว ข้าอยากจะทำให้นางทั้งดีใจทั้งประหลาดใจ!”
เกรงว่านางจะมองของขวัญอันน่าตื่นเต้นของเจ้าออกแล้วน่ะสิเด็กน้อย
เสี่ยวจิ้งคงพูดเก่งกับคนที่ชอบอยู่แล้ว เขาแปลงร่างตัวเองเป็นแตรน้อยอีกครั้ง แล้วพล่ามเจื้อยแจ้วไม่หยุด
นึกไม่ถึงว่าบุรุษคนนั้นกลับไม่ได้รู้สึกรำคาญ แค่รู้สึกว่าเด็กคนนี้น่ารักมากนัก
เขากลัดกลุ้มใจมากนัก สตรีที่ขนาดนักฆ่ายังไม่จับตาดูเหตุใดจึงได้เลี้ยงเด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนี้ออกมาได้กันนะ
นางคงปกป้องเขาเป็นอย่างดีแน่ๆ
เขาคิด
ข้างหูเป็นเสียงแปดหลอดของเสี่ยวจิ้งคง ภายในเรือนก็มีกลิ่นอาหารลอยออกมาเป็นระลอก บุรุษคนนั้นยืนอยู่หน้าบ้านที่ไม่คุ้นเคย สัมผัสได้ถึงกลิ่นอาหารของครอบครัวเป็นครั้งแรก
เขาขอตัวลากับเสี่ยวจิ้งคงกลับไปที่จวน
เขาเพิ่งจะก้าวข้ามประตูจวนมา ก็มีบ่าวรับใช้ฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่งวิ่งมาหาด้วยสีหน้าร้อนใจ “ท่านชายใหญ่! เหตุใดท่านเพิ่งจะกลับมาขอรับ หลายวันมานี้ที่ท่านไม่อยู่ที่จวน เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่จวนของเราแล้วขอรับ!”
“เกิดเรื่องใดขึ้นรึ” บุรุษคนนั้นถาม
“เฮ้อ” บ่าวรับใช้คนนั้นเกาหัวเกาแก้ม อัดอั้นมาหลายวันแล้ว แต่มาถึงช่วงที่รอคอยดันไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงพูดไม่ออก บุรุษคนนั้นไม่สนใจเขาแล้ว เดินเข้าจวนไปอย่างเย็นชาทันที
บ่าวรับใช้เดินตามไปโดยไม่รอช้า “เรื่องของฮูหยินขอรับ! ปีนั้นนางทำลูกหายไป! คุณหนูที่จวนของพวกเราไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของนายท่าน! คุณหนูที่แท้จริงอยู่ด้านนอกไม่ยอมกลับมา! ได้ยินว่า…เติบโตมาในชนบท ขี้ขลาดตาขาว ไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน ไม่กล้ามาที่จวนโหวขอรับ”
เรื่องกู้เจียวกับกู้เหยี่ยนมาที่เมืองหลวงปิดบังไว้ไม่อยู่แล้ว ทั้งสองคนไม่ยอมกลับจวน ที่จวนจึงเกิดการคาดเดากันไปต่างๆ นานา
บ่าวรับใช้ถอนใจเอ่ยว่า “ไอ้หยา เรื่องเกิดมาตั้งนานเพียงนี้แล้ว ที่แท้ท่านโหวก็รักเอ็นดูผิดคนเสียนี่ นางไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของท่าน!”
กู้ฉังชิงแววตาเย็นเยียบเอ่ยว่า “ข้าไม่มีน้องสาว มีแค่น้องชายสองคน”
กู้ฉังชิงไม่มีทางยอมรับแม่นางเหยาเด็ดขาด และไม่มีวันยอมรับเด็กแฝดสองคนของแม่นางเหยากับท่านพ่อด้วย