สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 129.1 พี่น้อง (1)
“ท่านย่า! เจียวเหนียง! ข้ามาแล้ว! คิดถึงพวกเจ้าชะมัด!”
เฝิงหลินตะโกนพลางวิ่งตัวปลิวเข้าไปในเรือน
เซียวลิ่วหลังที่กำลังตรวจการบ้านให้จิ้งคงอยู่นั้นพอได้ยินก็เกิดตกใจจนเผลอทำหมึกเลอะใส่กระดาษ
วันนี้อากาศแจ่มใส หญิงชราออกมานั่งอาบแดดข้างนอกพร้อมกับแทะเมล็ดทานตะวันอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนกู้เจียวกำลังง่วนอยู่ในครัว
เซียวลิ่วหลังนั่งรอในห้องหนังสือ รอว่าเมื่อไหร่ เฝิงหลินจะเข้ามาหาเขาสักที
แต่จนแล้วจนเล่า ก็ยังไม่ปรากฏตัว เซียวลิ่วหลังนึกในใจ ดูเหมือนว่าเพื่อนรักที่เคยตัวติดกันในวันนั้น…คงมลายหายไปแล้วสินะ!
เฝิงหลินทักทายหญิงชราเสร็จก็เดินเข้าไปหากู้เจียวในห้องครัวต่อ จากนั้นก็เล่าเรื่องระหว่างทางให้นางฟัง เฝิงหลินใช้เส้นทางเรือเดินทางกลับซงเซี่ยนภูมิลำเนาเก่าของเขา ได้เจอกับพ่อแม่ที่ไม่ได้เจอกันนานนับปี ทั้งได้เจอหน้าพี่สาวที่กลายเป็นสะใภ้เรือนอื่นไปแล้ว กับน้องสาวที่กำลังจะได้ออกเรือน
ขณะที่ทุกคนตั้งใจส่งเขาเรียนหนังสือ พี่สาวของเขาก็ได้แต่งงานกับพ่อหม้าย ส่วนน้องสาวก็หมั้นหมายไว้กับพ่อค้าร้านชาที่อายุห้าสิบกว่า
เขาไม่ติดใจอะไรกับคู่ของพี่สาว เพราะพ่อหม้ายคนนั้นก็เป็นคนไม่เลว แถมนางกำลังตั้งท้องอยู่ และพวกเขาก็ดูมีความสุขกันดี
“แต่งานแต่งของน้องสาวข้า…ข้าขอยกเลิกไปแล้วล่ะ!”
เฝิงหลินโพล่งออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เอ๋” กู้เจียวหูฟังมือพลางเปิดฝาหม้อแล้วเติมน้ำเข้าไป
เฝิงหลินเห็นดังนั้นจึงรีบช่วยเติมฟืนให้กู้เจียวอย่างทะมัดทะแมง
และในตอนนั้นเอง เซียวลิ่วหลังที่ยืนอยู่นอกห้องครัวกำลังยืนจ้องมองฉากเมื่อครู่ตาเขม็ง พลางนึกในใจ แหม เฝิงหลิน เจ้าเติมฟืนให้เจียวเจียวซะคล่องเชียวนะ!!!
“พ่อค้าแก่นั่นไม่ได้เรื่องเลยสักนิด! อายุก็มากแล้ว ลูกชายเขาแก่กว่าข้าตั้งหลายปี! เรื่องชื่อเสียงไม่ต้องพูดถึง มีแต่ชื่อเสีย ข้าได้ยินมาว่าเขาชอบทำร้ายร่างกาย ข้าไม่อยากให้น้องสาวข้าต้องมาลำบากกับคนพรรค์นั้น เลยคืนเงินเขาไป แล้วยกเลิกพิธีเสีย”
หากเป็นเมื่อก่อน เฝิงหลินคงไม่กล้าทำเช่นนั้น พ่อค้าคนนั้นรู้จักกับขุนนางในพื้นที่ตั้งหลายคน ใครจะกล้าเข้าไปแหยมได้
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
บัดนี้เฝิงหลินได้เป็นจวี่เหรินแล้ว แถมยังเป็นบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนอีกด้วย
เฝิงหลินเลยขู่กับพ่อค้าคนนั้นว่าหากเขายอมยกเลิกพิธีแต่โดยดี จะถือว่าเขามีน้ำใจต่อเฝิงหลิน เพราะหากอนาคตเกิดเฝิงหลินได้ดิบได้ดีขึ้นมา เฝิงหลินจะคิดบัญชีกับเขาก่อนเป็นคนแรก!
ดูเหมือนจะได้ผล พ่อค้าคนนั้นกลัวจนยอมทำตามที่เฝิงหลินบอก
“ว่ากันตามตรงแล้ว ข้าควรจะขอบใจลิ่วหลัง หากไม่ได้เขาช่วย ข้าคงไม่มีวันนี้” เฝิงหลินรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ด้านเรียน หากแต่เขาใช้พรแสวงในการเรียนหนังสือและตั้งใจสอบ ความพยายามก็ส่วนนึง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการได้ครูที่ดีมาช่วยสอนต่างหาก
ตอนที่เซียวลิ่วหลังติวหนังสือให้หลินเฉิงเย่ เขาเองก็ซึมซับเนื้อหาไปไม่น้อยเลยทีเดียว
“ในจะเรื่องรายชื่อนั่นอีก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยกให้ข้า ไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะสอบไม่ผ่านเลยหรือไรกัน มันเสี่ยงมากเลยนะ…”
เฝิงหลินไม่รู้เรื่องที่ผู้ดูแลหลิวเป็นคนอยู่เบื้องหลังรายชื่อทั้งหมด เลยนึกไปเองว่าเซียวลิ่วหลังเป็นคนไปขอขุนนางอำเภอให้โอนสิทธิ์แก่เขา
เซียวลิ่วหลังเดิมก็คิดจะยกให้อยู่หรอก แต่สถานะของเขายังไม่มีอำนาจพอที่จะขอให้ขุนนางอำเภอช่วย โชคดีที่ผู้ดูแลหลิวเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้
เซียวลิ่วหลังยืนจ้องพวกเขาด้วยสายตาอำมหิต!
จะขอบคุณก็มาขอบคุณที่ข้านี่สิ จะพูดกับภรรยาข้าเพื่อ
เฝิงหลินพูดต่อไม่หยุด สักพักจู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบๆ ที่หลัง!
กู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนเดินออกไปข้างนอก
จิ้งคงมองดูนาฬิกาแดด พลางนึกในใจ ปกติพวกเขาจะใช้เวลาออกไปด้านนอกแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น (เป็นการคาดการณ์เองของจิ้งคง) แต่วันนี้มาแปลก นี่มันเกินหนึ่งชั่วยามแล้ว ทำไมพวกเขายังไม่กลับมาอีกล่ะ
โรคย้ำคิดย้ำทำของจิ้งคงกำเริบอีกแล้ว!
เด็กน้อยเริ่มขมวดคิ้ว
ชักจะเหลวไหลแล้วนะ ไม่ได้รู้เวลาเสียบ้างเลย!
จิ้งคงตัดสินใจแล้วว่าจะออกไปตามพี่ชายทั้งสองกลับมา
เขารู้ว่าพวกเขาชอบออกไปเล่นที่สวนผลไม้ที่อยู่ใกล้ๆ กับตลาด ตอนเข้าไปไม่ต้องเสียตังค์ แต่ถ้าเก็บผลไม้ได้ก็คิดตามน้ำหนัก ผลไม้ของที่นี่มีความสดใหม่ แถมราคาไม่แพงด้วย
วันก่อนพวกเขาได้ส้มโอมาก รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว จิ้งคงเดาว่าวันนี้พวกเขาคงออกมาตามหาส้มโอกันอีก
จิ้งคงเดินมุ่งหน้าเข้าไปในสวนตรงต้นส้มโอ แล้วก็เป็นไปตามคาด เขาเจอกู้เหยี่ยนที่กำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ แขนทั้งสองข้างกำลังโอบกอดลำต้น
แต่ไม่ยักกะเห็นกู้เสี่ยวซุ่น
จิ้งคงเงยหน้าขึ้น พลางตะโกนถาม “ท่านพี่เหยี่ยนปีนต้นไม้ได้อย่างไรกัน”
กู้เหยี่ยนเอ่ยตอบด้วยท่าทีสบายๆ “คงเป็นเพราะ ข้าเก่งกระมัง”
จิ้งคงยังเด็กเกินกว่าจะแยกความแตกต่างระหว่างการประชดประชันและการเสียดสี เขาเข้าใจแค่ว่าสิ่งที่เขาพูดเขาหมายความเช่นนั้นจริงๆ
“ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน” จิ้งคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
กู้เหยี่ยน “……”
“ท่านพี่เสี่ยวซุ่นล่ะ” จิ้งคงเอ่ยถามต่อ
“เขาหรอ เขาปีนขึ้นมาไม่ได้น่ะ กำลังไปหยิบบันไดลิงมา!” กู้เหยี่ยนไม่อยากยอมรับว่าตัวเขาเองนี่แหละที่ลงไปไม่ได้ เลยขอให้กู้เสี่ยวซุ่นไปหาบันไดกับเชือกมาช่วยเขา
“ออกมาเล่นกันตั้งนานแล้วนะ กลับเรือนได้แล้ว รีบลงมาเร็วเข้า!” จิ้งคงเอ่ยเตือน
“ข้าไม่ลง!”
จิ้งคงเริ่มทำท่าเท้าเอว “เหตุใดถึงไม่ยอมลงมา นี่มันเลยเวลามามากแล้วนะ! ไม่งั้นพรุ่งนี้ข้าจะลดเวลาเล่นนะ!”
กู้เหยี่ยนแลบลิ้นใส่จิ้งคง “ไม่ลงไม่ลงข้าไม่ลง! แน่จริงเจ้าก็ขึ้นมาจับข้าสิ!”
จิ้งคงไม่ค่อยเข้าใจท่าทีของกู้เหยี่ยนเท่าไหร่นัก เขาอายุแค่สามขวบกว่าเท่านั้น กระนั้นแล้ว เขามองว่าตัวเองเป็นเด็กมีวุฒิภาวะแล้ว เขาไม่ปีนต้นไม้ และไม่คิดทำหน้าล้อเลียนใครด้วย กลับกัน ท่านพี่เหยี่ยนนั่นแหละที่ยังเป็นเด็กน้อยอยู่!
“หรือว่า ไม่กล้าลงมาสินะ” จิ้งคงเริ่มสงสัย
“ไม่ ไม่ใช่สักหน่อย!” กู้เหยี่ยนปฏิเสธเสียงแข็ง
จิ้งคงรู้ว่าเวลากู้เหยี่ยนพูดโกหก เขาจะไม่กล้ามองตรงๆ แหงนหน้ามองฟ้า แถมยังชอบหันซ้ายหันขวาอยู่ไม่สุข
และเมื่อครู่นี้เขาก็มีอาการเหล่านี้ทั้งหมด!
“ไม่กล้าลงมาสินะ!”
“ข้าเปล่าสักหน่อย! เจ้านั่นแหละที่ไม่กล้าขึ้นมา!”
“แล้วเหตุใดข้าต้องขึ้นไปด้วยล่ะ”
“…”
กู้เหยี่ยนตกใจจนไปต่อไม่ถูก
เขาอุตส่าห์หลอกให้กู้เสี่ยวซุ่นช่วยเขาไปหาบันไดลิงมาให้ ไม่รู้ว่าไปหาถึงไหน ทำไมไม่รีบกลับมาสักที
เรี่ยวแรงของกู้เหยี่ยนเริ่มจะหมดลงแล้ว ถ้ากู้เสี่ยวซุ่นยังไม่รีบมาตอนนี้ เกรงว่าเขาต้องปล่อยมือแล้วทิ้งตัวลงไปแน่ๆ
และในช่วงคับขันนั้นเอง กู้ฉังชิงที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็บังเอิญได้ยินเสียงของจิ้งคงพอดี
ไม่ใช่ว่าเขาจงใจมาที่นี่แต่อย่างใด แต่บังเอิญว่าสวนผลไม้นี้เป็นทางผ่านกลับจวนพอดี ไม่เช่นนั้นครั้งก่อนเขาคงไม่บังเอิญเจอกับจิ้งคงหรอก
น้ำเสียงของจิ้งคงฟังดูร้อนรน ราวกับกำลังทะเลาะกับใครอยู่ กู้ฉังชิงนิ่งไปสักพัก จากนั้นก็ตัดสินใจควบม้าไปทางต้นเสียงทันที
“เจ้าทำอะไรอยู่รึ” เขาควบม้าให้มาหยุดที่ข้างหลังจิ้งคง
จิ้งคงหันไปดูว่าเป็นเสียงของใคร พอได้เห็นก็ทำตาลุกวาว “ท่านพี่ใหญ่เองหรือนี่! เจอกันอีกแล้ว!”
“อืม” กู้ฉังชิงพยักหน้าเบาๆ “เจ้ากำลังทะเลาะกับใครอยู่รึ”
จิ้งคงถอนหายใจ “ไม่มีอะไรหรอก พี่ชายของข้าเองน่ะ เขาปีนต้นไม้แล้วไม่ยอมลงมา น่าปวดหัวชะมัด!”
ประโยคเมื่อครู่ดูเหมือนเขาจะสื่อว่า “เจ้าเด็กไม่รู้ประสีประสา ปีนต้นไม้ได้แต่ไต่ลงมาไม่เป็น น่าปวดหัวจริงๆ!”
กู้ฉังชิงตกใจกับคำพูดคำจาของจิ้งคงที่ดูเหมือนผู้ใหญ่วัยสามสิบทั้งๆ ที่เขาเป็นเด็กอายุแค่สามขวบเท่านั้น
กู้ฉังชิงเงยหน้าขึ้นไปตามที่จิ้งคงบอก ไม่พูดไม่จา แล้วรีบคว้ากู้เหยี่ยนลงมาจากต้นไม้