สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 130.1 เด็กอัจฉริยะ (1)
ว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องนี้จะให้โทษพวกเขาก็คงไม่ได้ เพราะข้อสอบออกไม่ซ้ำกันเลยสักปี อย่างสิบปีที่แล้วก็เคยมีการออกข้อสอบแปลกๆ อย่างภาษาต่างแคว้นมาแล้ว
เพราะเป็นข้อสอบสมัยเมื่อสิบปีก่อน ก็ย่อมขายได้ไม่ค่อยดีนัก แม้แต่สำนักพิมพ์เองก็ไม่ทำซ้ำแล้ว ดังนั้นเซียวลิ่วหลังจึงไม่ได้ซื้อข้อสอบที่เกี่ยวกับภาษาต่างแคว้นมาเลย
จิ้งคงเป็นเด็กฉลาด ไม่ว่าพวกเขาสอนอะไรไป จิ้งคงก็จำและทำได้หมด หากครั้งนี้เขาสอบไม่ผ่าน เกรงว่าพวกเขาทั้งสองคงหนีความผิดไม่พ้น
ครั้งนี้ผู้ออกข้อสอบจงใจเล่นงานพวกเด็กอัจฉริยะจริงๆ เพราะพวกเขาเก่งกันเสียจนเกิดความมั่นใจมากจนเกินงาม จึงหมายใช้ข้อสอบครั้งนี้วัดกันสักตั้ง ลดอัตตาของพวกเขาลงมาบ้าง
ตอนที่พวกเขาตรวจข้อสอบนั้นก็เป็นไปตามคาด สามข้อสุดท้ายพวกเด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่มีใครทำข้อสอบได้
ไม่มีใครตอบถูกทั้งหมดเลยสักคน อย่างดีก็แค่มีเด็กบางคนเขียนกลอนเจ็ดของแคว้นจ้าวได้อย่างถูกต้องเกือบทั้งหมด ถึงแม้จะมีเขียนพลาดไปสามคำ แต่ก็ถือว่าตอบได้เยอะกว่าเด็กคนอื่นๆ
ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจต่อกรรมการสอบ ดูเหมือนพวกเขาจะปราบม้าพยศไว้ได้แล้ว
แต่ทันใดนั้น ขณะที่พวกเขากำลังตรวจข้อสอบชุดสุดท้ายนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น
เด็กคนนี้เป็นใครกัน เขียนอะไรไม่รู้เต็มไปหมด
“เขียนมั่วซั่วเองหรือเปล่า” หนึ่งในกรรมการเอ่ยถาม
กรรมการอีกคนทำหน้าลังเล “ลายลักษณ์อักษรแบบนี้ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
พวกเขาจึงเชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษามาช่วยดูกระดาษคำตอบให้ กระนั้นแล้ว ก็ยังให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ “ข้าคงต้องขอกระดาษคำตอบแผ่นนี้นำไปให้ท่านอาจารย์ช่วยดูเสียแล้ว”
อาจารย์ผู้นั้นจึงคว้ากระดาษคำตอบของจิ้งคงออกมา แล้วเดินทางไปยังสำนักแห่งหนึ่งในเมืองหลวงพร้อมกับกรรมการสอบ และขอพบกับผู้ชำนาญภาษาสันสกฤตซึ่งอายุราวๆ หกสิบ
ปรมาจารย์เฒ่าให้ข้อสรุปมาว่า ผู้เข้าสอบคนนี้เขียนภาษาอินเดียในกระดาษคำตอบ
ซึ่งภาษาอินเดียเป็นภาษาที่สร้างขึ้นโดยพระพรหม นักบุญอุปถัมภ์ของพระพุทธศาสนา จึงเรียกอีกอย่างว่าภาษาสันสกฤต
“แล้วเขาเขียนอะไรบ้างรึท่าน” หนึ่งในกรรมการเอ่ยถาม
“เขียนบทสวดมนต์น่ะสิ”
ทุกคนต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน
แบบนี้ก็ได้รึ
พวกเขาใช้เวลาแค่วันเดียวในการออกข้อสอบ แต่กลับเสียเวลาไปสามวันกับการแปลบทสวดของจิ้งคง
ปกติพวกเขาต้องออกข้อสอบให้เด็ก มาวันนี้กลายเป็นพวกเขาโดนสอบเองเสียอย่างนั้น
กรรมการคนแรก “ให้คะแนนไม่ได้หรอก”
กรรมการคนที่สอง “จริงด้วย เขาไม่ได้ตอบตามคำสั่ง”
กรรมการคนที่สาม “แถมเขียนอะไรมาก็ไม่รู้ อ่านไม่ออก”
กรรมการคนที่สี่ “…ก็เพราะเขาเขียนเป็นภาษาสันสกฤตอย่างไรเล่า”
กรรมการทั้งสี่คนต่างรุมโจมตีกระดาษคำตอบของจิ้งคง
ก็เห็นๆ กันอยู่ ยังจะต้องพูดอะไรอีก
สุดท้าย จิ้งคงสอบได้อันดับที่เจ็ด ได้เข้าเรียนที่ชั้นเรียนปฐมวัยของกั๋วจื่อเจียนในที่สุด
จิ้งคงรับไม่ได้กับคะแนนของเขา
เขาเพิ่งจะรับรู้รสชาติความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก
ก่อนหน้าเขายังท้าพี่เขยตัวแสบอยู่เลยว่าต้องได้ที่หนึ่งกลับมา แต่กลายเป็นว่าเขาสอบได้ที่เจ็ดไปเสียได้ จิ้งคงถึงกับกินข้าวไม่ลงเลยทีเดียว
กู้เหยี่ยนถือโอกาสปลอบใจเขา จากที่ไม่เคยทำมาก่อน พลางตบเข้าไปที่หัวไหล่ “เอาน่า เจ้าเก่งกว่าเด็กคนอื่นๆ ตั้งเยอะ ตอนข้าอายุเท่าเจ้า ศัพท์แม้แต่คำเดียวข้าก็ยังไม่รู้เลย!”
จิ้งคงฟังที่กู้เหยี่ยนเอ่ยจบก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นจู่ๆ ก็ร้องไห้เสียงดัง “แง แล้วถ้าเกิดข้าโตขึ้นไปจะโง่แบบเจ้าไหม ฮือ”
กู้เหยี่ยน “……”
เขาเองก็จนปัญญา เฮ้อ ให้คนเรียนอ่อนอาสามานั่งปลอบใจคนเรียนเก่งเนี่ยนะ นี่เขากำลังทำอะไรอยู่!
ช่วงเช้าของวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบ เซียวลิ่วหลังเองเข้าสอบคัดเลือกเข้าศึกษาที่กั๋วจื่อเจียนเป็นผู้จัดขึ้น
เนื่องจากกั๋วจื่อเจียนปิดไปสี่ปี บัณฑิตหน้าเก่าหลายคนเองก็ร่วมการสอบครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ที่นี่แบ่งออกเป็นสามระดับชั้น และจะถูกจัดแบ่งตามคะแนนที่ได้
คนที่ได้คะแนนอันดับท้ายจะถูกจัดให้อยู่ในชั้นเรียนปีที่หนึ่งประจำห้องเจิ้งอี้ ห้องฉงจื้อ ห้องกว่างเย่ ในระยะเวลาภาคเรียนหนึ่งปีครึ่ง
ส่วนคนที่ได้คะแนนระดับกลางจะถูกจัดให้อยู่ในชั้นเรียนปีที่สองประจำห้องซิวต้าว และห้องเฉิงซิน ในระยะเวลาภาคเรียนหนึ่งปีครึ่งเช่นกัน
และห้องสุดท้ายคือห้องไซว่ซิ่ง ซึ่งเป็นห้องเรียนระดับสูงสุดของกั๋วจื่อเจียน และไม่ได้มีการแบ่งเป็นห้องหนึ่งห้องสองแบบระดับชั้นอื่นๆ ห้องไซว่ซิ่งมีเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น โอกาสที่บัณฑิตใหม่จะสอบเข้าได้นั้นน้อยมาก ปกติแล้วคนที่เข้าเรียนได้ต้องเป็นบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนมาแล้วสามปี จากนั้นต้องผ่านการทดสอบอันเข้มงวดก่อนที่จะได้เข้าเรียน
แต่ปีนี้ มีบัณฑิตพิเศษที่ได้เข้าเรียนในห้องไซว่ซิ่ง เขาผู้นั้นก็คืออันจวิ้นอ๋อง
เป็นที่รู้กันว่าอันจวิ้นอ๋องเป็นคนมีความสามารถ ชื่อเสียงของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น อันที่จริงคนเก่งระดับเขาไม่ต้องเข้าเรียนก็สามารถเข้าไปทำงานในวังหลวงได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ตามธรรมเนียมของตระกูลจวง ทุกคนจะต้องผ่านการเข้าสอบเคอจวี่ให้ได้เสียก่อน
ที่ผ่านมาทุกคนที่มาจากตระกูลจวงล้วนแต่เป็นคนมีพรสวรรค์และเก่งกาจทั้งสิ้น แม้จะมีคนที่ไม่ได้เรื่องบ้าง กระนั้นแล้ว การที่พวกเขาสอบผ่านก็ถือเป็นเรื่องปกติ และหากสอบตก ก็แค่ถูกพูดถึงและถูกหัวเราะเยาะเท่านั้น
ตระกูลจวงไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองพวกเขาอย่างไร สนแค่ว่าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกหลานตระกูลจวงสอบเข้าให้ได้
และอันจวิ้นอ๋องก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ทำให้ผิดหวัง ตอนสอบระดับมณฑลเขาได้เป็นเจี้ยหยวนของเมืองหลวง
ทุกคนรู้ว่าการสอบในเมืองหลวงแข่งขันกันอย่างหฤโหดเป็นที่สุด การจะได้เป็นเจี่ยหยวนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่เช่นนั้นกั๋วจื่อเจียนคงไม่ยอมให้เขาได้เข้าเรียนในชั้นไซว่ซิ่งไปอย่างง่ายๆ แน่นอน
เหล่ากรรมการตรวจข้อสอบที่กั๋วจื่อเจียนขึ้นชื่อในเรื่องความเร็วอยู่แล้ว หลังจากเสร็จสิ้นการสอบเพียงแค่สองวัน คะแนนก็ออกมาแล้ว
บัณฑิตใหม่ปีนี้ทำคะแนนออกมาได้เป็นที่น่าพึงพอใจ แม้จะมีบัณฑิตเก่าบางส่วนที่มาตรฐานลดลงไปบ้างก็ตาม
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น การเรียนการสอนที่กั๋วจื่อเจียนเป็นเช่นไรทุกคนย่อมรู้ดี ขอแค่มุ่งมั่นและตั้งใจ อย่างไรผลลัพธ์ก็คงไม่ออกมาแย่แน่นอน
และเป็นไปตามตามคาด คนที่สอบเข้าชั้นเรียนไซว่ซิ่งได้ล้วนเป็นเด็กเก่าทั้งสิ้น
จะมีเรื่องน่าแปลกใจก็คือตอนที่พวกเขากำลังตรวจข้อสอบชุดสุดท้ายนั้น จู่ๆ ก็มีชื่อๆ หนึ่งหลุดโผเข้ามา
“เซียวลิ่วหลังอย่างนั้นรึ” ซือเยี่ยเจิ้ง ผู้เป็นขุนนางรับหน้าที่รองเจ้าสำนักของกั๋วจื่อเจียน เอ่ยถาม “บัณฑิตผู้นี้คือใครกัน ที่กั๋วจื่อเจียนเคยมีบัณฑิตนามนี้ด้วยรึ”
“อย่าบอกนะว่า เขาเป็นบัณฑิตใหม่” ซือเยี่ยหลี่เอ่ยขึ้น
ซือเยี่ยเจิ้งขมวดคิ้ว “บัณฑิตใหม่สอบได้คะแนนดีขนาดนี้เชียวรึ”
คะแนนของเขาถือว่าสามารถถูกจัดให้อยู่ในลำดับต้นๆ ของชั้นได้แล้ว
ซือเยี่ยทั้งสองค้นหาข้อมูลของผู้สอบคนนี้ เป็นไปตามคาด เขาคือบัณฑิตใหม่จริงๆ แถมยังเคยได้เจี้ยหยวนตอนสอบระดับมณฑลที่เมืองโยวโจว
“เขาคือบัณฑิตใหม่คนแรกที่สอบเข้าไซว่ซิ่งได้สินะ” ซือเยี่ยหลี่หัวเราะ
เอาละ เขาจะรอดูบัณฑิตหน้าใหม่คนนี้เสียหน่อย
เอ่ยจบ ซือเยี่ยเจิ่งก็ทำท่าทีเย็นชา “อย่าลืมสิว่าอันจวิ้นอ๋องต่างหากที่เป็นบัณฑิตใหม่ ส่วนคนที่ชื่อเซียวลิ่วหลังอะไรนั่นก็แค่โชคช่วยเท่านั้น บัณฑิตหน้าใหม่กิตติมศักดิ์คืออันจวิ้นอ๋องผู้เดียวเท่านั้น”
ซือเยี่ยหลี่ไม่กล้าโต้กลับ
แม้อันจวิ้นอ๋องไม่ได้ร่วมการสอบในครั้งนี้ แต่ความสามารถของเขานั้นเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว ต่อให้มาเข้าสอบ คงหนีไม่พ้นอันดับหนึ่ง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าเซียวลิ่วหลังเป็นบัณฑิตใหม่ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่เมื่อซือเยี่ยหลี่ได้ตรวจดูประวัติและการศึกษาของเขา ก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ “หรือว่า บัณฑิตผู้นี้ คือคนที่เคยเขียนสนับสนุนการลดทอนศักดินา ซ้ำยังเสียดสีฮ่องเต้และเบื้องสูงอย่างไม่ไว้หน้ากันเลยใช่ไหม”
เรื่องข้อสอบครั้งนั้นดูเหมือนจะบานปลายไปอยู่พักหนึ่ง กรรมการสอบในเมืองโยวโจวต่างพากันออกความเห็น และผู้ที่เป็นกรรมการหลักในการสอบก็คือสหายของซือเยี่ยหลี่ ดังนั้นเขาจึงได้รับรู้เรื่องนี้ไปโดยปริยาย
ตอนที่เขาได้ข่าวก็รู้สึกตกใจไม่น้อย ซ้ำยังนึกในใจว่าผู้เข้าสอบคนนั้นรนหาที่ตายชัดๆ ช่างกล้านักที่เขียนถึงเบื้องสูงเช่นนั้น
แน่นอนว่าพวกกรรมการมิอาจให้คะแนนคำตอบของเซียวลิ่วหลังได้สูงนัก กลัวว่าหากฮ่องเต้ได้อ่านเข้ามีหวังได้ทรงกริ้วจนลมจับ
และด้วยความที่ข้อสอบด่านแรกกับด่านที่สามเขาทำคะแนนไว้ได้ดีพอที่จะได้เป็นเจี้ยหยวน
ดังนั้น ซือเยี่ยหลี่จึงมองว่าบัณฑิตคนนี้มีของ การที่เขาสอบเข้าไซว่ซิ่งได้ ไม่ใช่โชคช่วยอย่างแน่นอน
เพียงแต่ เขามิอาจอธิบายเรื่องพวกนี้ให้ซือเยี่ยเจิ้งได้เท่าไหร่นัก