สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 130.2 เด็กอัจฉริยะ (2)
การประกาศคะแนนของกั๋วจื่อเจียนมิได้มีการจัดอันดับคะแนนแต่อย่างใด แต่เป็นการจำแนกรายชื่อว่าใครได้เข้าเรียนชั้นเรียนและห้องเรียนใด
เซียวลิ่วหลังได้อยู่ห้องไซว่ซิ่ง ส่วนเฝิงหลินและหลินเฉิงเย่ได้อยู่ชั้นปีที่สองห้องเฉิงซิน แต่ต่างกันตรงที่เฝิงหลินได้อยู่ห้องหนึ่ง หลินเฉิงเย่ได้อยู่ห้องสอง
อีกด้านหนึ่ง กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นเองก็ได้ที่เรียนใหม่แล้ว เรียกว่าสำนักบัณฑิตเอกชนชิงเหอ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กันกับกั๋วจื่อเจียน หลังจากที่ดำเนินการเรื่องเอกสารเรียบร้อย เดือนหน้าพวกเขาก็เข้าเรียนได้
กู้เจียวทำกับข้าวไว้หลายอย่าง วางเรียงรายบนโต๊ะอย่างสวยงาม ฉลองที่หนุ่มๆ กำลังจะเปิดภาคเรียน โดยมีเฝิงหลินและหลินเฉิงเย่มาร่วมวงด้วย
เมื่อย่างเข้าเดือนสิบ เมืองหลวงก็อากาศเริ่มหนาวลง ได้ยินว่าที่วัดฮู่กั๋วหลงที่ตั้งอยู่บนยอดเขามีหิมะตกแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานหิมะคงตกในตัวเมืองด้วย
กู้เจียวเตรียมอุปกรณ์รับลมหนาวไว้เรียบร้อย ทั้งถ่านเงิน ตะเกียงสำหรับอุ่นมือ กู้เจียวหยิบถ่านใส่ในตะเกียง น่าจะอยู่ได้พักใหญ่ รอพวกเขากลับมาก่อนค่อยเติมถ่าน
ราคาถ่านสูงขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่กู้เจียวซื้อตุนเอาไว้ก่อนที่ราคาจะขึ้น จึงประหยัดเงินไปได้พอสมควร
เปิดเทอมวันแรก จิ้งคงอยากให้กู้เจียวไปส่งที่โรงเรียน
กู้เจียวจึงพาจิ้งคงและเซียวลิ่วหลังไปส่งที่กั๋วจื่อเจียนก่อน จากนั้นส่งกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นที่สำนักบัณฑิตชิงเหอ
พอกลับมาถึงเรือน ก็เห็นว่าหญิงชราตื่นแล้ว กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตัวเดิมและเล่นกับลูกอินทรีย์น้อยที่ได้มาจากกู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงเก็บมันมาจากใต้หน้าผา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันตกลงมาจากหน้าผาด้วยตัวมันเองหรือเพราะแม่ของมัน แต่ดูเหมือนว่าแม่ของมันจะลืมการมีอยู่ของมันไปเสียสนิทแล้ว
กู้ฉังชิงเห็นถึงความพยายามที่ตะเกียกตะกายโผบินของเจ้านก แต่ดูเหมือนร่างของมันนั้นหนักอึ้ง
ทันใดนั้นเอง ในหัวของเขาก็เกิดภาพเงาจากร่างซูบผอมของใครคนหนึ่ง
จากนั้นเขาจึงตัดสินใจอุ้มลูกนกอินทรีตัวนี้กลับไป แล้วเดินทางไปยังตรอกที่เป็นที่ตั้งของเรือนกู้เจียว
ชาวบ้านในตรอกต่างไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของลูกนกอินทรีตัวนี้ รู้แค่ว่าจิ้งคงได้มันมาจากคนที่เขาเรียกว่าท่านพี่ใหญ่
ลูกอินทรีมีนิสัยเกรี้ยวกราดเล็กน้อย ไม่ว่าใครจะเอาอาหารไปให้มัน มักจะถูกมันงับเข้าให้หนึ่งที แต่ดูเหมือนว่าหญิงชราจะมีวิธีรับมือกับมันได้
หญิงชราเปิดเล้าไก่ออก
ลูกไก่เจ็ดตัวของจิ้งคงค่อยๆ ทยอยเดินออกมจากเล้า พวกมันเป็นสัตว์ที่กล้าหาญมาก จากนั้นพวกมันก็เดินเข้าไปในกรงของอินทรีน้อยอย่างไม่ลังเล แล้วยืนเรียงแถวเหมือนตอนที่จิ้งคงเคยพาพวกมันไปเดินเล่น แล้วคาบเศษเนื้อป้อนลูกอินทรีทีละตัว
กลายเป็นว่าตอนนี้อินทรีน้อยมีแม่ไก่ทั้งหมดเจ็ดตัว แถมมันยังยอมกินอย่างโดยดีอีกต่างหาก!
หญิงชรามองพวกมันอย่างเพลิดเพลินใจ
กู้เจียวเดินเข้ามาดูใกล้ๆ พลางเอ่ย “ท่านย่า ข้าไปที่ค่ายทหารประเดี๋ยวหนึ่ง พอดีจะเอาของไปให้ลุงรองของหนิงเซียงเขาน่ะ”
ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางมายังเมืองหลวง เซวียหนิงเซียงได้ฝากจดหมายและเสื้อผ้าผืนหนารวมถึงยันต์คุ้มภัยที่นางไปขอมาจากที่วัดเพื่อนำไปให้ลุงรองของนาง
กู้เจียวนำผักดองและเนื้อแห้งฝากไปด้วย
หญิงชราพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ”
ในเมืองหลวง มีค่ายทหารตั้งอยู่หลายแห่ง กู้เจียวเดินทางไปยังค่ายทหารเขาเสือ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว
กู้เจียวเช่ารถม้าไว้หนึ่งคัน
พอถึงที่ค่าย ก็ได้ยินเสียงฝึกซ้อมของทหารมาแต่ไกล
แล้วรถม้าก็ได้จอดลงตรงด้านนอกของค่ายทหาร
นายทหารผู้หนึ่งเดินเข้ามใกล้ๆ รถม้า ส่งสัญญาณมือให้รถหยุด พลางเอ่ยถาม “ผู้ใดกัน”
กู้เจียวลงจากรถม้า แล้วเอ่ยกับทหารคนนั้น “ข้ามาเยี่ยมคน นามว่าโจวเอ้อร์จวง เป็นผู้ช่วยพลโทหู”
ลุงของหนิงเซียงมีนามว่าโจวเอ้อร์จวง
นายทหารคนนั้นชำเลืองกู้เจียวอยู่พักหนึ่ง จากนั้นตะโกนลั่น “ห้ามมีการเยี่ยมเยียนเกิดขึ้นที่ค่ายทหาร จงกลับไปเสีย!”
“ขอแค่ครู่เดียวเท่านั้น” กู้เจียวต่อรอง
“ไม่ได้!”
“ข้านำของมาให้เขา ให้เสร็จก็กลับ” กู้เจียวเอ่ยต่อ
“วางไว้ตรงนี้ เดี๋ยวเอาเข้าไปให้เอง!” นายทหารเอ่ยตอบอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วพวกเขาฝึกซ้อมกันเสร็จตอนไหน ข้าขอรอตรงนี้ก็แล้วกัน” โจวเอ้อร์จวงเคยกล่าวไว้ในจดหมายว่าทหารบางนายจะชอบริบข้าวของและจดหมายที่ส่งเข้ามาในค่าย
นายทหารคนนั้นขมวดคิ้วใส่ “นี่ เจ้าเป็นคนเช่นไรกัน เห็นค่ายทหารเป็นสนามเด็กเล่นหรืออย่างไร แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้มาร้าย”
“ก็ข้าไม่ได้มาร้าย” กู้เจียวตอบ
นายทหารเริ่มหมดความอดทน “ข้าต้องเชื่อที่เจ้าพูดหรืออย่างไร!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
น้ำเสียงดุดันของใครสักคนดังลอยมา
พอนายทหารหันไปทางต้นเสียง ก็รีบโค้งตัวทำความเคารพ “เรียนท่านแม่ทัพ! มีสตรีแปลกหน้ามาเยือนค่ายทหาร บอกว่าจะขอพบคนของพวกเรา แต่เวลานี้เป็นเวลาฝึกซ้อม ข้าเลยขอให้นางกลับไปก่อน ส่วนข้าวของข้าจะเป็นคนนำไปให้เองขอรับ”
เอ่ยจบ แม่ทัพผู้นั้นก็เดินเข้ามาใกล้ๆ
นายทหารคนนั้นยิ่งหดตัวลงกว่าเดิม
แม่ทัพทอดสายตาไปทางกู้เจียว “เจ้าเองรึ”
“ข้าเอง” กู้เจียวพยักหน้า
นายทหารทำหน้าตะลึง นึกในใจ อ่าว…รู้จักกันหรอกรึ
สตรีผู้นี้ดูยังไงก็ไม่มีรูปลักษณ์เฉกเช่นลูกท่านหลานเธอ ไฉนถึงรู้จักกับแม่ทัพได้เล่า
แถมตอนที่แม่ทัพเอ่ยเรียกนาง น้ำเสียงก็ไม่น่ากลัวเหมือนที่เคยได้ยินยามปกติเสียด้วย…
พญายมราชคนนั้น หายไปไหนเสียแล้ว
กู้ฉังชิงหันไปถามกู้เจียว “เจ้ามีคนรู้จักที่ค่ายทหารนี้ด้วยหรือ”
“อือ คนหมู่บ้านเดียวกันน่ะ เรือนเขาอยู่ข้างๆ เรือนข้า คนที่เรือนเขาเลยฝากข้าให้วานเอาของมาให้น่ะ”
“เขามีนามว่าอันใด อยู่สังกัดไหน”
“โจวเอ้อร์จวง เป็นผู้ช่วยพลโทหู”
“น่าเสียดายที่เจ้ามาช้าไป พลโทหูกับพรรคพวกเพิ่งจะเดินทางไปค่ายทหารเขาฉี ตั้งอยู่ห่างจากที่นี่ไกลพอสมควร เกรงว่าวันนี้พวกเขาคงไม่กลับมาที่นี่แน่นอน เจ้าเอาของมาฝากไว้ที่ข้าก่อน วันรุ่งขึ้นเดี๋ยวข้าเอาไปให้เขาเอง”
“รบกวนด้วย” กู้เจียวหอบข้าวของออกมาวาง
นายทหารทำหน้าเหวอ สตรีผู้นี้เป็นใครมาจากไหน เหตุใดแม่ทัพถึงออกตัวช่วยนางขนาดนี้
กู้ฉังชิงหันไปมองค้อนนายทหาร “เจ้าไม่รู้หรือว่าวันนี้พลโทหูไม่อยู่ที่ค่าย”
“เอ่อ…ข้าน้อย…ข้าน้อย” นายทหารเริ่มหวาดกลัว
“เจ้ารู้เรื่อง แต่กลับไม่ยอมบอกกับนาง แถมยังบอกให้นางทิ้งของไว้ที่นี่ เจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อจะฮุบของไว้เองสินะ!”
นายทหารเริ่มเข่าทรุด ”ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ!”
“ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่า เจ้าไม่รู้เรื่องที่พลโทหูไม่อยู่ที่ค่าย เรื่องสำคัญขนาดนี้ แต่เจ้ากลับไม่รู้ได้อย่างไร แสดงว่าเจ้าบกพร่องในหน้าที่!”
“แม่ทัพเมตตาข้าน้อยด้วยขอรับ!” นายทหารรีบคุกเข่าอ้อนวอน
ถ้าแม่ทัพเมตตาให้ ก็เสียชื่อพญายมราชน่ะสิ
สุดท้าย นายทหารคนนั้นถูกลากไปทำโทษด้วยการโบยหนึ่งร้อยทีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
กู้ฉังชิงไม่ได้มีเจตนาจะช่วยกู้เจียวแต่อย่างใด เขาแค่เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการปกครองอย่างเข้มงวดก็เท่านั้น
กู้เจียวยื่นข้าวของให้กู้ฉังชิง ก่อนกลับกู้เจียวฝากข้อความเกี่ยวกับที่อยู่ของนาง รวมถึงบอกว่า หากเกิดเหตุอะไรขึ้น ก็ให้มาตามหานางที่เรือน