สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 131 กลั่นแกล้ง
เปิดเรียนวันแรก กู้เจียวรู้สึกเป็นกังวลเพราะเซียวลิ่วหลังและจิ้งคงไม่น้อย
จิ้งคงยังเด็กนัก ให้มาเผชิญกับสภาพแวดล้อมใหม่ รวมถึงเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ไม่รู้ว่าจิ้งคงจะรับมือได้หรือไม่
ส่วนเซียวลิ่วหลังเองก็ถูกคนเพ่งเล็ง กู้เจียวกลัวว่าจะมีคนคิดไม่ดีไม่ร้ายกับเขา
แต่พอพ้นวัน กลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับทั้งคู่ แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นกับกู้เหยี่ยนเสียอย่างนั้น
เรื่องเริ่มจากตอนที่กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นได้เข้าเรียน
ทั้งสองคนมีพื้นฐานใกล้เคียงกัน จึงถูกจับให้อยู่ในห้องเรียนเดียวกัน
สำนักบัณฑิตชิงเหอขึ้นชื่อในความเพียบพร้อมในด้านบุคลากร จึงไม่แปลกที่เหล่าตระกูลดังจะส่งลูกหลานเข้ามาเรียนหนังสือที่นี่ ซึ่งท่านชายน้อยจากจวนติ้งอันโหวอย่างกู้เฉิงเฟิงและกู้เฉิงหลินก็ได้เข้าเรียนที่นี่ด้วยเช่นกัน
ด้วยความที่พวกเขาอายุเยอะกว่ากู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น เลยถูกจัดให้อยู่อีกชั้นเรียนหนึ่ง
ทว่าห้องเรียนของทั้งคู่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน มีสวนหย่อมเล็กๆ คั่นกลางเท่านั้น
เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่กู้เฉิงหลินกำลังนั่งรอกู้เฉิงเฟิงอยู่ตรงส่วนหย่อม ก็บังเอิญเห็นกู้เหยี่ยนเดินถือกระเป๋าผ่านหน้าเขาไปพอดี
กู้เฉิงหลินรู้สึกว่าเด็กคนนั้นคุ้นหน้าราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน จากนั้นก็ได้ยินใครบางคนตะโกนเรียกขึ้น “กู้เหยี่ยน!”
กู้เหยี่ยน กู้เหยี่ยนงั้นรึ นั่นมันเจ้าน้องชายต่างแม่จอมขี้โรคมิใช่รึ
มิน่าล่ะเหตุใดเขาถึงรู้สึกคุ้นตานัก ที่แท้เจ้าเด็กนั้นก็หน้าคล้ายกับบิดาของเขานี่เอง!
กู้เฉิงหลินรู้ว่าแม่นางเหยาพาเด็กแฝดมาที่เมืองหลวงแต่ไม่ได้ให้อยู่ที่จวน คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้
แต่ก็แปลกตรงที่หมอหลวงเคยบอกไว้ว่าเขาน่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสิบห้าปีมิใช่รึ แล้วนี่อะไร ก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่นี่นา
กู้เฉิงหลินพุ่งตรงเข้าไปหากู้เหยี่ยนอย่างไม่รอช้า พลันเข้าไปยืนขวาง “เจ้า ชื่อกู้เหยี่ยนสินะ”
กู้เหยี่ยนออกจากเมืองหลวงไปตั้งแต่ตอนเขาอายุสี่ขวบ จึงไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้ว่ากู้เฉิงหลินหรือคนอื่นๆ ของตระกูลหน้าตาเป็นเช่นไร
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดูไม่ออกว่าคนตรงหน้ามาร้ายกับเขาแน่นอน
“เจ้าเป็นใคร” กู้เหยี่ยนเลิกคิ้วเอ่ยถาม
“เจ้าเด็กบ้า ข้าถามเจ้าก่อนนะ ตอบมาเร็วว่าเจ้าชื่อกู้เหยี่ยนใช่หรือไม่” กู้เฉิงหลินเอามือจิ้มเข้าไปที่หัวไหล่ของกู้เหยี่ยนด้วยท่าทีหยาบคาย
กู้เหยี่ยนไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอะไร ทั้งยังตอกกลับด้วยท่าทางไร้ซึ่งความเกรงกลัว “ถ้าใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร เจ้ามายุ่งอะไรด้วย”
กู้เฉิงหลินไม่พอใจที่คนตรงหน้าไม่ยอมทำตัวว่านอนสอนง่าย ตนหมายมั่นปั้นมือว่าจะเล่นงานเขาสักเล็กน้อย หากเขายอมรับว่าตัวเองคือกู้เหยี่ยน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยเขาไป
แต่พอเห็นแบบนี้ กู้เฉิงหลินจึงคิดเปลี่ยนแผนกะทันหัน
ในเมื่อเจ้าเด็กนี่ไม่มีท่าทีกลัวเลยสักนิด แถมยังถลึงตาใส่อีต่างหาก
ก็ดี คงต้องสั่งสอนกันเสียบ้างแล้วว่าใครเป็นใคร!
กู้เสี่ยวซุ่นที่เพิ่งจะเสร็จจากการไปหยิบหนังสือของตัวเองพร้อมทั้งเผื่อกู้เหยี่ยนด้วยที่ห้องกิจการบัณฑิต แต่พอกลับมาที่ห้องเรียนก็พบว่า กู้เหยี่ยนหายไปแล้ว
กู้เสี่ยวซุ่นจึงลองไปตามหาเขาที่ห้องน้ำ แต่ก็ไม่พบ
เขาลองถามบัณฑิตที่ห้องอื่นดู ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่รู้จักกันก็ตามเพราะเพิ่งเปิดเรียนวันแรก
กู้เสี่ยวซุ่นส่ายหัว พลางบ่นกับตัวเอง “หรือว่า เขาจะกลับไปก่อนแล้ว เอ๊ะ ไม่น่าเป็นไปได้นะ ก็ตกลงกันแล้วว่าจะกลับด้วยกันนี่นา”
ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ เขาคิดแม้กระทั่งว่าหรือกู้เหยี่ยนเป็นลมล้มป่วยตรงที่ไหนซักที่หนึ่ง
“นี่ เมื่อครู่ข้าเห็นพี่ชายเจ้าเดินไปทางประตูหลังนู่นน่ะ”
จู่ๆ ก็มีบัณฑิตแต่งกายซอมซ่อคนหนึ่งตะโกนชี้ทางให้เขา
บัณฑิตคนนั้นไม่กล้าบอกว่ากู้เหยี่ยนถูกบัณฑิตจากห้องตรงข้ามลากตัวไป เขากลัวว่าตัวเองจะโดนลูกหลงไปด้วย จึงได้แต่เอ่ยเตือน “เจ้ารีบตามไปเถอะ ออ แล้วก็ อย่าไปบอกใครล่ะว่าข้าเป็นคนพูด”
“ขอบใจมากนะ!” กู้เสี่ยวซุ่นไม่ได้เอะใจอะไร รีบเอ่ยขอบคุณพลางตบไหล่บัณฑิตคนนั้น แล้วรีบวิ่งออกไปทางประตูหลัง
ขณะเดียวกัน กู้เหยี่ยนก็กำลังถูกกู้เฉิงหลินและพรรคพวกลากเข้าไปในห้องเก็บฟืน
ซึ่งเป็นห้องที่ปกติไม่ค่อยมีคนเข้าออกอยู่แล้ว
กู้เฉิงหลินสั่งให้คนอื่นๆ มัดตัวเขาไว้ จากนั้นเอาผ้ามัดปาก และขังเขาไว้ในนั้น
กู้เหยี่ยนถูกพี่ชายแท้ๆ ของตนขังไว้ในห้องอันมืดมิด
ภาพความทรงจำอันน่ากลัวในวัยเด็กย้อนกลับมาทำร้ายเขาอีกครั้ง
เมื่อตอนที่กู้เหยี่ยนอายุสี่ขวบ เขาเคยถูกคนขังไว้ในห้องมืดดำสนิท เขาจำได้ว่าตัวเองร้องไห้เสียงดังจนหมดแรง
ความรู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัวในตอนนั้นไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ก็ไม่เคยลืมได้ลง
ร่างของกู้เหยี่ยนล้มกระแทกลงบนพื้นที่เย็นเฉียบ เขารู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างมากดที่หน้าอกของเขา ทำให้เขาหายใจไม่ออก
องครักษ์ลับของเขาบังเอิญมีธุระต้องสะสาง เลยไม่ได้มาเฝ้าเขา
ไม่อย่างนั้นกู้ฉังชิงคงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแต่แรกแล้ว
กู้เฉิงหลินและคนอื่นๆ เดินออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะไม่มีใครผ่านมาผ่านไปเสียด้วย
กู้เหยี่ยนร้องเสียงระงมด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
ไม่มีใครผ่านมาได้ยินเสียงของเขาเลย
ขณะเดียวกัน กู้เสี่ยวซุ่นที่กำลังตามหาเขาอยู่ก็ใจคอไม่ดีกว่าเดิม “กู้เหยี่ยนหายไปไหนนะ กู้เหยี่ยน! กู้เหยี่ยน!”
ในที่สุด กู้เหยี่ยนก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกขานชื่อตัวเองของกู้เสี่ยวซุ่น เขาพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากมัด และพยายามร้องตะโกน แต่ดูเหมือนกู้เสี่ยวซุ่นจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย
เสียงของกู้เสี่ยวซุ่นเริ่มไกลออกไปทุกที
กู้เหยี่ยนพยายามขยับร่างของตัวเองไปให้ใกล้ประตูมากที่สุด แต่จู่ๆ อาการโรคหัวใจของเขาก็เกิดกำเริบอีกครั้ง!
มันกลับมาอีกแล้ว!
กู้เจียวให้ยาเขาไว้ แต่ว่า…
เขาหยิบไม่ได้
กู้เจียวที่กำลังนั่งอยู่บนม้าจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเจ็บแล่นริ้วขึ้นที่บริเวณหน้าอกอย่างกะทันหัน
“เร็วกว่านี้ได้ไหม!” กู้เจียวเร่งสารถี
“ได้เลย!” สารถีเร่งความเร็วอย่างสุดกำลัง และแล้วเรื่องที่กู้เจียวไม่อยากจะให้เกิดมากที่สุด ก็ดันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น
“ไท่จื่อเฟยกำลังเสด็จมาทางนี้ ทุกคนจงหลีกทางให้”
ทางรถม้าก็ถูกกีดขวางในทันใด! ทั้งถนนถูกทหารจากวังล้อมไว้หมดแล้ว
กู้เหยี่ยนรู้สึกตัวเองกำลังใกล้หมดลมหายใจเข้าไปทุกที
“ท่านพี่ ข้าเจ็บเหลือเกิน” กู้เหยี่ยนทำท่านอนตะแคง มือไม้และข้อเท้ายังคงถูกมัดไว้ เขาพยายามแก้มัดจนหมดแรง
ระหว่างทางเดินกลับเข้าห้องเรียน หนึ่งในลิ่วล้อของกู้เฉิงหลินเอ่ยถามขึ้น “ท่านชายสาม เจ้าเด็กนั่นจะไม่เป็นอะไรจริงรึ”
“เจ้านั่นเอาแต่ดิ้นไม่หยุด ไม่น่าเป็นอะไรหรอก ข้าแค่อยากจะสั่งสอนให้มันหลาบจำเสียบ้าง ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร! ดูซิว่าครั้งต่อมันจะกล้าปากดีอีกไหม!”
“นั่นสิ นั่นสิ!” คนอื่นๆ หัวเราะเสริมพลางทำท่าเห็นดีเห็นงาม จากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าห้องเรียนไป
ลมหายใจของกู้เหยี่ยนเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ
จนเขาแทบจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อครู่แล้ว
เขารู้ว่าตัวเองจะหลับตอนนี้ไม่ได้ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสฟื้นขึ้นมาอีก
แต่เขาเหนื่อยแล้ว
เขาเริ่มจะไม่ไหวแล้ว
ปัง!
จู่ๆ ประตูถูกเปิดออกด้วยแรงถีบของใครบางคน
แสงจากด้านนอกส่องเข้ามาข้างใน
กู้เหยี่ยนลืมตาขึ้น เห็นเป็นร่างสูงใหญ่ของบุรุษเดินเข้ามาใกล้ๆ
กู้ฉังชิงฉีกผ้าที่มัดตัวเขาไว้อยู่ให้ขาดออก จากนั้นก็อุ้มร่างของกู้เหยี่ยนขึ้นมาแล้วพาเขาออกไปด้านนอก
กู้เหยี่ยนเอาศีรษะพิงเข้าไปที่อกของร่างใหญ่ จากนั้นพยายามดึงแขนเสื้อของเขาราวกับต้องจะสื่อสารอะไรบางอย่าง
ร่างเล็กพยายามอ้าปาก
กู้ฉังชิงก้มหน้ามอง “เจ้าว่าไงนะ”
“ยา…” กู้เหยี่ยนเอ่ยเสียงแผ่ว
กู้ฉังชิงจึงรีบวางร่างของเขาลง จานนั้นควานหาขวดยาที่กู้เหยี่ยนเก็บไว้ พอหาเจอรีบหยิบยาขึ้นมาสองเม็ดแล้วป้อนเข้าไปในปากของคนตรงหน้า
จากนั้นเขาก็คว้าถุงใส่น้ำที่แขวนอยู่ตรงอานม้า แล้วกุลีกุจอรินเข้าปากของเขา
สีหน้าของกู้เหยี่ยนเริ่มดีขึ้น เขาไม่รู้สึกเจ็บหน้าอกแล้ว แต่ร่างกายของอ่อนเพลียเกินไป
กู้เหยี่ยนที่เพิ่งจะรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร พยายามเอามือดึงเสื้อของเขาด้วยแรงอันน้อยนิด
กู้ฉังชิงพอเห็นดังนั้นก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าส่งเจ้ากลับเรือนเอง”
กู้ฉังชิงบังเอิญควบม้าผ่านมาทางนี้พอดี บังเอิญได้ยินเสียงร้องของกู้เหยี่ยนเข้า ตอนแรกเขานึกว่าเป็นเสียงร้องของแมวจรที่ไหน สักพักฟังไปฟังมาเริ่มรู้สึกแปลกๆ จึงรีบกระโดดข้ามกำแพงและถีบประตูออก
ด้วยความที่เขาเป็นนักรบ หูตาของเขาจึงว่องไวเป็นพิเศษกว่าคนทั่วไป
และเป็นอีกครั้งที่กู้เหยี่ยนได้นั่งบนม้าของกู้ฉังชิง ครั้งก่อนเขายังพอมีแรงขยับตัวเองไม่ให้เข้าใกล้เขา แต่ครั้งนี้เขาหมดแรงจริงๆ เลยจำต้องปล่อยเลยตามเลย
กระนั้นแล้ว กู้เหยี่ยนก็ยังรู้สึกว่าแผ่นอกของกู้ฉังชิงแข็งอย่างกับหินอยู่ดี!
แต่ก็รู้สึกได้ถึงไออุ่น
นั่นทำให้กู้เหยี่ยนเกิดความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก นอกจากกู้เจียวแล้ว ตอนนี้กู้ฉังชิงกลายเป็นอีกคนที่มอบความรู้สึกเช่นนี้ให้กับเขาได้
ด้วยความที่กู้ฉังชิงกลัวว่ากู้เหยี่ยนจะตกจากม้า เลยใช้มือข้างหนึ่งควบม้า และอีกข้างหนึ่งโอบกอดร่างของเขาไว้
แรงจากมือของเขาให้ความรู้สึกต่างกับของกู้เจียวอย่างสิ้นเชิง
พอมาถึงเรือน กู้เหยี่ยนก็ผล็อยหลับไปแล้ว ส่วนกู้เจียวที่เพิ่งเดินทางกลับถึงเรือน ก็เจอกับทั้งคู่เข้าพอดี
กู้เจียวถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นสภาพของกู้เหยี่ยน
ชีพจรของเขาปกติแล้ว แต่เสื้อผ้าของเขามีแต่รอยเปื้อนเต็มไปหมด ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยช้ำ มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ
“ข้าบังเอิญพบเขาในห้องฟืนของชิงเหอพอดี ถ้าเขาฟื้นแล้ว เจ้าลองถามเขาดูว่าเกิดอะไรขึ้น” กู้ฉังชิงอธิบาย
กู้เจียวรับไม้ต่อจากกู้ฉังชิง พลางเอ่ยขอบคุณ
กู้ฉังชิงกระโดดขึ้นม้า ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยสีหน้านิ่ง “เจ้าเองก็เคยช่วยข้าไว้ หายกันแล้วนะ”
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยตอบอย่างใด ค่อยๆ พยุงร่างของกู้เหยี่ยนเข้าไปในเรือน
หญิงชราพอได้เห็นสภาพของกู้เหยี่ยนก็ร้องอุทานด้วยความแค้น “ฝีมือของไอ้ตัวไหนกัน!”
สภาพสาหัสขนาดนี้ กู้เหยี่ยนไม่ได้ทำตัวเองแน่นอน
เขาไม่ใช่คนสะเพร่า ต่อให้สะดุดล้มขึ้นมา อย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นเกิดบาดแผลมากมายขนาดนี้
กู้เจียวคว้าเครื่องช่วยฟังออกมา ฟังเสียงการเต้นของหัวใจ จากนั้นก็ควานหาขวดยาของกู้เหยี่ยน ซึ่งเป็นตัวยาที่ช่วยแก้อาการโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลันได้
กู้เจียวพบว่าขวดยาว่างเปล่า แปลว่า กู้เหยี่ยนมีอาการกำเริบขึ้นอีกครั้งจริงๆ
โชคยังดีที่เขากินยาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นร่างคนตรงหน้าคงได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้ว
กู้เสี่ยวซุ่นยังคงหาตัวกู้เหยี่ยนไม่พบ เลยขอลาหยุดเพื่อกลับมาตามหาที่เรือน พอกลับมาก็เป็นอย่างที่เห็น
“เกิดอะไรขึ้น ข้าออกไปหยิบหนังสือแค่ครู่เดียวเองนะ!” กู้เสี่ยวซุ่นร้องตกใจ
“เจ้ากลับไปเรียนหนังสือก่อน อย่าลืมทำเรื่องลาหยุดให้กู้เหยี่ยนด้วยล่ะ” กู้เจียวเอ่ยกับเขา
“แต่…อืม” กู้เสี่ยวซุ่นไม่กล้าขัดใจพี่สาว แล้วรีบมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักบัณฑิต
กู้เจียวนั่งอยู่ที่เดิมจนกระทั่งกู้เหยี่ยนฟื้นขึ้น
“ใครเป็นคนทำเจ้า” กู้เจียวเอ่ยถาม
กู้เหยี่ยนไม่ตอบ ได้แต่ก้มหน้าลงแล้วกำหมัดแน่น
“คนรู้จักหรือ คนคุ้นเคยสินะ” กู้เจียวเดาได้จากท่าทีของเขา
แววตาของกู้เหยี่ยนเต็มไปด้วยความแค้น
ยิ่งกว่าคนคุ้นเคยเสียอีก
เพราะดันเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันเสียนี่
เดิมกู้เหยี่ยนไม่รู้ว่าเป็นกู้เฉิงหลิน แต่ตอนที่พวกนั้นปิดประตูใส่เขา ความรู้สึกที่คุ้นเคยก็กลับมาหาเขาอีกครั้ง
เหตุการณ์สี่ขวบครั้งนั้น เป็นกู้เฉิงหลินนั่นแหละ ที่ขังเขาไว้ในห้องมืด
มิหนำซ้ำ เขายังได้ยินคนพวกนั้นเรียกเขาว่าท่านชายสาม นั่นยิ่งทำให้กู้เหยี่ยนมั่นใจมากขึ้นว่าต้องใช่เจ้าหมอนั่นแน่ๆ
ตัดภาพมาที่กู้เฉิงหลินที่กำลังนั่งเรียนหนังสือสบายใจเฉิบ ความรู้สึกสะใจที่ได้เล่นงานกู้เหยี่ยนทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ขณะที่กำลังกลับจวน กู้เฉิงหลินก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กู้เฉิงเฟิงฟัง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ลูกของแม่นางเหยาเรียนหนังสือที่เดียวกับพวกเรางั้นรึ” กู้เฉิงเฟิงทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“ก็น่าจะเป็นเขานั่นแหละ” คนน้องเอ่ยตอบ
คนพี่เริ่มขมวดคิ้วสงสัย “อะไรคือน่าจะ ถ้าใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ อย่ามาครึ่งๆ กลางๆ ”
กู้เฉิงหลินครุ่นคิดอยู่พัก พลางเอ่ย “เจ้ากู้เหยี่ยนนั่นมันเป็นเด็กพิการไม่ใช่รึ หมอหลวงเคยบอกไว้ว่ามันอยู่ไม่ถึงอายุสิบห้าแน่นอน และต่อให้รอดมาได้ก็ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงขนาดนั้น แต่วันนี้คนที่ข้าเจอกลับดูไม่เหมือนคนใกล้ตายเลย”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถามต่อ “หรือจะแค่ชื่อแซ่เหมือนกัน แล้วถ้าเจ้าไม่แน่ใจ เจ้าจะขังเขาเพื่ออะไร”
“ก็เจ้านั่นมันท้าทายข้าก่อน”
“เจ้านี่นะ!” กู้เฉิงเฟิงถึงกับพูดไม่ออก
“พี่รองอยากให้เจ้านั่นเป็นกู้เหยี่ยนจริงๆ หรือไม่”
“เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย แล้วถ้าใช่จริงๆ เจ้าไปขังมันไว้แบบนั้น เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก!”
“ไม่หรอกกระมัง…” กู้เฉิงหลินเริ่มใจคอไม่ดี
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยย้ำต่อ “เจ้าลืมตอนเด็กๆ ที่เจ้าเคยขังจนเจ้านั่นเกือบถึงตายไม่ได้รึ ท่านพ่อโกรธจนถึงขั้นพลอยลงโทษข้าและพี่ใหญ่ไปด้วย”
กู้เฉิงหลินเบะปาก “พี่รองพูดอย่างกับตัวเองไม่เคยแกล้งเจ้านั่นยังไงอย่างนั้น”
ตอนที่กู้เหยี่ยนยังอยู่ในจวน สองพี่น้องคู่นี้นี่แหละที่คอยกลั่นแกล้งกู้เหยี่ยน ส่วนกู้ฉังชิงนั้น ถึงแม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้ากู้เหยี่ยนเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่คิดรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอยู่แล้ว ส่วนมากเขาจะเล่นงานแม่นางเหยาเสียมากกว่า