สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 132 รัวหมัด
กู้เฉิงหลินแค่อยากสั่งสอนเขาก็เท่านั้น แต่หากถามว่าอยากเล่นถึงตายไหม ก็คงไม่ พอคิดได้ดังนั้น กู้เฉิงหลินก็รีบบอกให้สารถีพาเขากลับไปที่สำนักบัณฑิต จากนั้นก็ไปที่ห้องเก็บฟืนด้านหลัง
พอไปถึงก็พบร่องรอยของการต่อสู้เกิดขึ้น ซ้ำยังมีรอยเลือด และเศษผ้าที่ขาดวิ่นจากการถูกดึงให้ขาด
กู้เฉิงหลินหยิบเศษผ้าขึ้นมา แล้วหันไปบอกกับผู้เป็นพี่ “พี่รอง ดูสิ เจ้านั่นมันแรงเยอะจนทำผ้าขาดได้ ดูก็รู้ว่ามันไม่เป็นอะไรหรอก!”
กู้เฉิงเฟิงถอนหายใจโล่งอก “ก็ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นกู้เหยี่ยนตัวจริงหรือไม่ แต่ต่อไปนี้เจ้าห้ามก่อเรื่องอีกเป็นอันขาด เราไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อย่าทำเรื่องไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ หากพี่ใหญ่รู้เข้า พวกเราได้โดนดีแน่!”
“รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า พี่รองไม่พูด ข้าไม่พูด ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอก เจ้าเองก็ไม่พูดหรอก จริงไหม” กู้เฉิงหลินเอ่ยพลางมองไปที่สารถีที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ!” สารถีรีบแย้ง
“เอาละ พี่รอง พวกเรากลับกันเถิด! ส่วนเจ้า อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด!” กู้เฉิงหลินเอ่ยย้ำอีกครั้ง
กู้เฉิงเฟิงได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นทั้งสองก็นั่งรถม้ากลับถึงจวนอย่างปลอดภัย
พวกเขาคิดว่าเรื่องนี้คงจบลงแล้ว แต่ใครจะไปรู้กันว่าพอวันต่อมา กู้เฉิงหลินก็รู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสำลักน้ำเย็นที่เขาดื่ม ซ้ำยังเกิดสะดุดล้มลงขณะเดินอีกด้วย
“ซวยชะมัด!”
จากนั้นทั้งสองพี่น้องเดินทางมาถึงสำนักบัณฑิต
ด้วยความที่กู้เฉิงเฟิงค่อนข้างจะใฝ่เรียนมากกว่าน้องชาย พอมาถึงอย่างแรกที่เขาทำก็คือส่งการบ้านให้กับอาจารย์
ส่วนกู้เฉิงหลินนั้นเดินเล่นไปมารอบๆ สำนักบัณฑิต พอกำลังจะนั่งลงที่เก้าอี้ประจำ จู่ๆ เกิดรู้สึกเจ็บแปลบที่ก้นขึ้นราวกับมีใครมาวางกับดักตะปูบนเก้าอี้ของเขา
เขาตัดสินใจเดินไปเข้าห้องน้ำ
พอเดินมาถึงห้องน้ำ หนึ่งในลิ่วล้อของเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลและสายตาที่ดูตื่นตระหนก “ท่านชาย ท่านชายสาม มีคนมาหาน่ะ”
“ใครมาหาข้ารึ” กู้เฉิงหลินชำเลืองสหายของเขา พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย “ไปมีเรื่องกับใครมาล่ะ”
เพื่อนของเขาไม่ตอบอะไร ได้แต่หัวเราะเจื่อน
พลางนึกในใจ ถ้ามีเรื่องจริงๆ ก็ดีสิ
แต่ดันโดนอีกฝ่ายกระทำอย่างเดียวเลย
ด้วยความเขาชอบวางตัวเป็นคนมีอำนาจ ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเขา จึงมองว่าการมีเรื่องชกต่อยนั้น เป็นเรื่องธรรมดา
เวลาเจอเหตุการณ์ท้าต่อยเกิดขึ้น เขาก็แค่เรียกพวกมารุมให้จบไป
แต่พอเจอแบบนี้ กู้เฉิงหลินชักจะอยากรู้แล้วสิว่าใครหน้าไหนกันมาเรียกให้เขาไปหา
จากนั้นเพื่อนของเขาก็พาเขาไปยังห้องเก็บฟืนที่เดียวกันกับที่เขาขังกู้เหยี่ยนไว้ ปรากฏลิ่วล้อของกู้เฉิงหลินนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหน้าห้องเก็บฟืน
สภาพพวกเขาแทบดูไม่ได้ ทั้งจมูกมีรอยฟกช้ำ ใบหน้าบวมเป่ง คอเอียง ปากเบี้ยว เนื้อตัวสั่นไปทั้งร่าง
กู้เฉิงหลินสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
สักพักก็เริ่มโมโห คนพวกนี้คือคนของเขา ลิ่วล้อของเขา ใครหน้าไหนมันบังอาจมาหักหน้าเขาเช่นนี้!
“ฝีมือใคร”
พวกเขาพยายามจะอธิบาย แต่ก็คิดว่าไม่ดีกว่า
แม้จะนับถือกันฉันท์พี่น้อง แต่เป็นเพราะไม่ได้มีเรื่องความเป็นความตายมาเกี่ยวข้องนี่นา ท่านชายสาม รีบร้องขอชีวิตเร็วเข้า!
กู้เฉิงหลินเริ่มถกแขนเสื้อขึ้น “อยู่ไหน แน่จริงออกมาสิ หรือว่าเกิดกลัวขึ้นมาแล้ว”
ทันทีที่เขาพูดจบ จู่ๆ ก็มีมือลึกลับพุ่งออกมาจากห้องเก็บฟืน คว้าคอเสื้อของกู้เฉิงหลิน จากนั้นก็ลากเขาเข้าไปในห้องฟืนอย่างรวดเร็ว!
กู้เฉิงหลินไม่มีช่องว่างแม้แต่จะกรีดร้อง และประตูห้องฟืนก็ถูกปิดลง
“เจ้ารู้หรือไหมว่าข้าคือ อ๊าก”
“เจ้าเป็น อ๊าก”
“ถ้าเจ้ายังทำร้ายข้า อ๊าก ข้าจะ อ๊ากก”
“อ๊าก”
“อ๊าก”
“โอ๊ย…”
เสียงกรีดร้องของกู้เฉิงหลินค่อยๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงคร่ำครวญเพื่อขอความเมตตา แต่ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนอย่างไร กู้เจียวไม่ให้อภัยเขาเด็ดขาด
ตอนกู้เหยี่ยนไร้ทางสู้ เจ้าบ้านี่ก็คอยเอาแต่ย่ำยีเขา
มารังแกกู้เหยี่ยน คิดหรือว่าจะรอดไปได้ง่ายๆ
กู้เฉิงหลินโดนกระหน่ำเสียจนร้องโหยหวนราวกับหมูที่ถูกเชือด
พวกลิ่วล้อที่นอนเป็นผักอยู่ด้านนอก พอได้ยินเสียงร้องของกู้เฉิงหลินก็ยิ่งรู้สึกเจ็บแทน พวกเขานึกว่าตัวเองโดนหนักแล้ว แต่เห็นแบบนี้ ถือว่าแม่นางผู้นั้นยังเมตตากับพวกเขาอยู่บ้าง
“พวกเจ้า ยังไม่ไปตามคนมาอีก อ๊าก”
กู้เฉิงหลินเริ่มโอดครวญ
ตามคนงั้นรึ
ใครจะไปกล้า
แค่หมัดเดียวของนางก็ทำพวกเขาล้มระเนระนาดขนาดนี้!
กู้เจียวเล่นงานเขาจนพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็คว้าท่อนไม้เย็นเฉียบขึ้นมาแล้วดันเชิดคางเขาขึ้น เพื่อให้เขาได้เห็นดวงตาที่แฝงไปด้วยความอาฆาตของนาง
“เจ้าจะเลิกยุ่งกับน้องชายข้าไหม”
“น้องชายอะไรกัน” กู้เฉิงหลินโดนซัดจนสมองกลับหมดแล้ว สักพักถึงจะประมวลได้ว่าที่นางหมายถึงคือใคร “เจ้าคือ…พี่สาวของ เจ้าบ้านั่น”
เจ้านั่น ชื่อกู้เหยี่ยน แถมยังมีพี่สาวด้วย
ไม่ผิดแล้วล่ะ
เจ้านั่นคือน้องชายต่างแม่ของเขาจริงๆ !
รวมถึงนางตัวแสบนี่ด้วย!
“น้องชายของข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด เช่นนั้นแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสชาติความรู้สึกใกล้ตายเหมือนกัน” กู้เจียวเอ่ยพลางใช้ท่อนไม้กดเข้าไปที่คอของเขา
กู้เฉิงหลินเริ่มหายใจไม่ออก “ข้า…ไม่ตั้งใจจะ…ให้เจ้านั่นตาย…”
สาบานว่าเขาแค่อยากสั่งสอนกู้เหยี่ยนก็เท่านั้น ใครจะไปรู้เล่าว่าเจ้านั้นเกือบตายจริง!
กู้เจียวไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในเมื่อเขาทำให้กู้เหยี่ยนเกือบตาย เช่นนั้นหน้าที่ของนางตอนนี้ก็คือพาเขาไปส่งที่หน้าประตูยมโลกเสีย
…
กู้เฉิงเฟิงสังเกตเห็นแล้วว่ากู้เฉิงหลินไม่ได้เข้าห้องเรียน จึงออกตามหาทั่วทั้งสำนัก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จู่ๆ เขาพลันนึกขึ้นได้ว่ากู้เฉิงหลินพูดถึงห้องเก็บฟืน เลยมุ่งหน้าไปยังที่นั่น แล้วก็เจอตามคาด
“เจ้าสาม!!!”
“พี่รอง!!!” กู้เฉิงหลินได้สติอีกครั้งตอนได้ยินเสียงเรียกของพี่ชาย
เนื้อตัวของเขาสั่นรุนแรง กู้เฉิงเฟิงที่พอเห็นสภาพน้องชายเป็นแบบนี้ก็แทบจะลมจับ “เจ้า…เป็นอะไรไป ใครทำร้ายเจ้า”
ด้วยสถานะของพวกเขา ทั้งมีท่านน้าเป็นถึงพระสนมซูเฟย มีองค์ชายห้าเป็นลูกพี่ลูกน้อง ไหนจะพี่ใหญ่ผู้เป็นแม่ทัพที่มีฉายาพญายมราชอีก แน่นอนว่าไม่มีใครหน้าไหนกล้าหาเรื่องพวกเขา
แต่ภาพตรงหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้น
กู้เฉิงเฟิงไม่เคยเห็นน้องชายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน
กู้เฉิงหลินพยายามเค้นเสียงของตัวเองออกมา “เป็นฝีมือของเจ้านั่น…กู้เหยี่ยน! เจ้านั่นวานให้คนมาทำร้ายข้า! ข้าจะกลับไปฟ้องท่านพี่ใหญ่! ให้พี่ใหญ่จัดการมัน!”
“เจ้านั่นแกร่งกล้าขนาดนั้นเชียวรึ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ต่อให้เจ้าเอาเรื่องไปฟ้องพี่ใหญ่ เขาอาจไม่เข้าข้างเจ้า” กู้เฉิงเฟิงนั่งวิเคราะห์ความเป็นไปได้
กู้เฉิงหลินทำท่าหมดอาลัยตายอยาก “ข้าขังเจ้านั่นก่อนแล้วยังไง ก็มันเป็นลูกของนางนั่น! สมควรโดนแล้ว! แล้วข้าก็แค่จับมันขังไว้เฉยๆ ! แล้วดูสิ ดันให้พี่สาวมาแก้แค้นแทนเสียอย่างนั้น!”
“พี่สาวงั้นรึ นางเด็กที่อยู่ชนบทคนนั้นใช่หรือไม่” กู้เฉิงเฟิงชำเลืองบาดแผลของเขาหัวจรดเท้าด้วยความอนาถใจ
“ถ้าไม่ใช่นางแล้วจะเป็นใครที่ไหนอีก” ด้วยความที่ห้องมืด เขาเลยมองเห็นหน้ากู้เจียวได้ไม่ชัด แต่ฟังจากเสียงแล้วนางน่าจะอายุพอๆ กันกับกู้จิ่นอวี้ ก็แปลว่า นางเป็นพี่สาวฝาแฝดของกู้เหยี่ยน
กู้เฉิงเฟิงทำหน้ามึนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ไหนคนในจวนลือกันว่านางเติบโตในชนบท เป็นคนขี้ขลาด ไม่เข้าสังคม ชวนให้กลับจวนตั้งหลายรอบก็ไม่ยอมกลับ แต่ดันมีแรงมาเล่นงานกู้เฉิงหลินเนี่ยนะ
“นางไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นใคร” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม
“ข้าจะรู้ได้ไงว่านางรู้หรือไม่รู้” กู้เฉิงหลินถูกยำจนหน้ามืดตาลายขนาดนี้ จะเอาสติที่ไหนมาถามคำถามนางได้ทัน
“แล้วผองเพื่อนของเจ้าเล่า” กู้เฉิงเฟิงถามต่อ
“พี่รอง ข้าขอล่ะ อย่าพูดถึงพวกมันเลย! ไม่ได้เรื่องเลยสักคน! แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวยังเอาไม่อยู่!”
กู้เฉิงเฟิงสูดปาก เขารู้จักกับกลุ่มเพื่อนของน้องชายอยู่แล้ว แถมยังรู้มาว่าพวกเขาบางคนเก่งในด้านการต่อสู้ด้วย แต่เหตุใดถึงได้แพ้ให้เด็กผู้หญิงเฉยเลยล่ะ
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางคงทำให้กู้เฉิงหลินหวาดกลัวจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่กล้าพูดให้พี่ใหญ่ออกโรงช่วยเขาหรอก
กู้เฉิงเฟิงเองก็รู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามทำเกินไปจริงๆ ที่จริงจะแก้แค้นด้วยการขังเขาไว้เฉยๆ ก็ได้ เหตุใดต้องลงไม้ลงมือขนาดนี้ด้วย
“แต่ว่า หากพี่ใหญ่รู้ว่าเจ้าเป็นคนลงมือก่อน ต้องทำโทษเจ้าแน่นอน” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย
“ข้าขอคิดก่อนว่าจะพูดกับพี่ใหญ่อย่างไรดี”
เขาโดนเล่นงานหนักขนาดนี้ หากพี่ใหญ่ไม่ยอมออกตัวช่วยเหลือแล้วละก็ เกรงว่าชาตินี้เขาคงไม่กล้ามาเหยียบที่สำนักบัณฑิตแล้วล่ะ
ขณะเดียวกัน กู้ฉังชิงที่ยังไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้กำลังควบม้าเดินทางไปยังค่ายทหารเขาฉีเพื่อทำธุระให้กู้เจียว
ทุกคนที่ค่ายเขาฉีทำหน้าแปลกใจตอนเขาเดินทางมาถึง เพราะเขาไม่ได้ประจำอยู่ที่นี่ แถมยังไปมาหาสู่กันน้อยครั้งนัก ยิ่งพอรู้ว่าเขามาเพื่อฝากของให้โจวเอ้อร์จวงแล้ว ก็ยิ่งงงงวยกันเข้าไปใหญ่
พลโทหูเรียกโจวเอ้อร์จวงเข้ามาที่เพิงของเขาแล้วสอบถาม “เจ้ารู้จักกับแม่ทัพกู้ได้อย่างไร”
โจวเอ้อร์จวงแสดงท่าทีว่าพวกเขาไม่ได้รู้จักกันแต่อย่างใด
พลโทหูยิ่งสงสัยกว่าเดิม พลางขมวดคิ้วถาม “ถ้าไม่รู้จักกัน แล้วเขาจะฝากของมาให้เจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน”
“แต่ข้าน้อยไม่รู้จักท่านแม่ทัพจริงๆ นะขอรับ!” โจวเอ้อร์จวงเริ่มเหงื่อตก
พลโทหูสังเกตแล้วว่าคนตรงหน้าไม่ได้พูดโกหก แต่ก็น่าแปลกที่จู่ๆ แม่ทัพมาส่งของให้เขาด้วยตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ก็อาจเป็นเพราะคนที่ไหว้วานแม่ทัพน่าจะเป็นคนรู้จักของโจวเอ้อร์จวง
“อ๋อ ข้าน้อยนึกออกเรื่องหนึ่ง พอดีเพื่อนบ้านของข้าน้อยเรียนหนังสือเก่ง เลยย้ายมาเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียน ของพวกนี้มาจากหลานสะใภ้ของข้าเอง นางคงให้พวกเขาช่วยเป็นธุระให้น่ะขอรับ”
เช่นนั้นก็แปลว่า บัณฑิตกั๋วจื่อเจียนรู้จักกับท่านแม่ทัพกู้อย่างนั้นสิ
แม้พลโทหูจะยศสูงกว่าก็จริง แต่ปีนี้อายุเขาก็ปาเข้าไปสี่สิบแล้ว แม่ทัพกู้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ไหนจะเบื้องหลังตระกูลอีก
พลโทหูกระแอมเพื่อให้โล่งคอ จากนั้นเอ่ยกับโจวเอ้อร์จวงว่า “อีกไม่กี่วันก็ถึงวันคัดเลือกแล้ว ตั้งใจเต็มทีล่ะ”
พลโทหูพูดเช่นนี้ ก็แปลว่าต้องการดันเขาจริงๆ
แม้ชื่อของโจวเอ้อร์จวงจะฟังดูตลกไปนิด แต่ตัวตนของเขาไม่ตลกเหมือนชื่อ “พลโทวางใจเถิดขอรับ ข้าน้อยจะพยายามให้เต็มที่!”
“เอาละ เจ้าออกไปได้แล้ว”
กู้ฉังชิงพอเสร็จธุระก็รีบเดินทางกลับเมืองหลวง พอผ่านถนนฉางอัน เขาก็เริ่มชะลอม้าลง จากนั้นมุ่งหน้าเข้าไปยังตรอกปี้สุ่ย
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ลมฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัดโชย พื้นที่ต่างๆ เริ่มมีการแขวนโคม
กู้เจียวกำลังวุ่นวายในครัว ส่วนเซียวลิ่วหลังก็กำลังตรวจการบ้านให้จิ้งคง
ด้วยความที่คะแนนสอบไม่เป็นไปตามที่หวัง จิ้งคงจึงพยายามอัดทบทวนเนื้อหาการเรียนให้มากขึ้น แถมยังเรียนภาษาทั้งหกแคว้นอีกด้วย
วันนี้เขาเรียนเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านของแคว้นเฉิน เซียวลิ่วหลังช่วยเขาสรุปใจความหลัก แล้วให้จิ้งคงคัดออกมาสิบจบ
พอเขียนเสร็จ จิ้งคงก็เดินไปที่ลาน ทิ้งให้เซียวลิ่วหลังอยู่คนเดียว
จิ้งคงค่อยๆ ใช้ลำตัวขดไปที่ต้นไม้ จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างอ้อมไปทางด้านหลังแล้วหงายตัวเพื่อเอามือยื่นไปแตะที่ข้อเท้า แม่กระบวนท่าเหล่านี้จะดูทรมานไม่น้อย แต่จิ้งคงก็ฝึกจนชินแล้ว
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นกำลังนั่งแกะสลักไม้อยู่ในเรือน กู้เหยี่ยนนอนพักรักษาตัว ร่างกายของเขายังอ่อนแออยู่ ใบหน้าของเขาซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด
ตอนที่กู้ฉังชิงป้อนยาให้กู้เหยี่ยน เขาเองรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลกๆ ไป ดูเหมือนเขาจะเป็นโรคอะไรบางอย่าง แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ถ้าอาการกำเริบ อาจถึงชีวิตได้เลย
คิดดูว่าหากเขามาถึงช้ากว่านี้ ก็คงจะ…
กู้ฉังชิงได้แต่ขมวดคิ้ว
เขานึกไม่ออกเลยว่าคนที่มาทำร้ายกู้เหยี่ยนเป็นใครกัน มีเรื่องบาดหมางอะไรกัน ถึงได้ขังคนร่างกายเปราะบางเช่นเขาไว้ในห้องเก็บฟืน
กู้ฉังชิงไม่อยากรบกวนพวกคนในเรือน จึงปลีกตัวออกมาอย่างเงียบๆ แล้วเดินทางกลับมายังจวน
บ่าวของกู้เฉิงหลินยืนดักรอเขาอยู่ที่หน้าเรือน พอเห็นว่าท่านชายใหญ่กลับมาแล้ว บ่าวก็รีบโน้มตัวลง “ท่านชายใหญ่! แย่แล้วขอรับ ท่านชายสามถูกทำร้ายร่างกายขอรับ! ท่านรีบเข้าไปเยี่ยมเถิดขอรับ!”
กู้ฉังชิงมุ่งหน้าไปยังเรือนของสองน้องชาย
กู้เฉิงหลินอยู่ในสภาพนอนบนเตียง เขาจงใจไม่ให้หมอประจำจวนมาช่วยดูอาการเขา เพราะเขาอยากให้พี่ใหญ่มาเห็นสภาพอันน่าสงสารของเขาเพื่อเรียกคะแนนความเห็นใจ
“ไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกแล้ว” กู้ฉังชิงมองด้วยสายตาเย็นชา
กู้เฉิงหลินเริ่มร้องไห้ “ครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดข้า! เพิ่งเปิดเรียนได้แค่สองวัน อย่างข้าน่ะหรือจะไปก่อเรื่องอะไรไว้ ในสายตาของท่านพี่ใหญ่ ข้าเป็นคนไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเชียวรึ”
กู้ฉังชิงยังคงมีท่าทีหนักแน่นตามเดอม “ถ้าเจ้าไม่ได้ก่อเรื่อง เหตุใดถึงโดนทำร้ายได้”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” กู้เฉิงหลินยังคงยืนกรานเสียงแข็งว่าตัวเองไม่ผิด
และตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความเกรงกลัวแต่อย่างใดว่าพี่ใหญ่จะสืบหาความจริง เพราะหากเขารู้ว่าอีกฝ่ายคือกู้เหยี่ยน คงมองว่าเจ้านั่นวานให้คนมาแก้แค้นเรื่องในอดีต
เอาตามนี้แหละ ไม่มีพลาดแน่นอน!
“แล้วเขาต่อยเจ้าที่ไหน” กู้ฉังชิงถาม
ถ้าเป็นเรื่องสถานที่น่าจะพูดตามจริงได้ เพราะอย่างไรเสียพี่ใหญ่ก็ไม่มีทางรู้อยู่แล้ว ทั้งยังเพิ่มความสมจริงเข้าไปอีก!
“ห้องเก็บฟืนที่สำนักบัณฑิตน่ะสิ! ถ้าท่านพี่ไม่เชื่อก็ลองไปดูเองก็ได้! มีร่องรอยที่ข้าโดนทำร้ายทิ้งไว้ด้วย!”
พอได้ยินคำว่าห้องเก็บฟืน สีหน้าแววตากู้ฉังชิงก็เริ่มดุดันขึ้นมา