สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 133 หัวอกคนเป็นแม่
กู้ฉังชิงภาวนาไม่ให้เรื่องเป็นอย่างที่เขาคิด “คนที่ทำร้ายเจ้า นอกจากเขาจะชกต่อยเจ้าแล้ว ยังใช้เชือกมามัดตัวเจ้าแล้วจับขังในห้องเก็บฟืน ไม่ยอมปล่อยให้เจ้าออกมาใช่ไหม”
กู้เฉิงหลินทำหน้าตื่น “พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไร”
กู้ฉังชิงกำหมัดแน่น พยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้ “คนที่เจ้าว่า เป็นสตรีตัวเล็กๆ ใช่หรือไม่”
คราวนี้กู้เฉิงหลินสะดุ้งหนักกว่าเก่า
ไม่หรอกกระมัง พี่ใหญ่จะเก่งเกินไปแล้วนะ
ขนาดรอยฟกช้ำยังดูออกเลยว่าเป็นฝีมือของสตรี
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรที่เขาไม่รู้อีก
กะแล้วเชียวว่าเจ้าน้องชายไม่รักดีไปทำเขาก่อน ไม่แปลกที่จะโดนอีกฝ่ายเล่นงานกลับ
แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองเป็นเหยื่ออีก!
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจวนโหวแห่งนี้มีสวะอย่างเจ้าอยู่ด้วย” กู้ฉังชิงเอ่ยจบก็ซัดเขาเข้าให้หนึ่งที
กู้เฉิงหลินตามไม่ทันแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
เหตุใดจู่ๆ เขาถึงเจ็บตัวอีกจนได้
กู้เฉิงหลินที่ยังไม่รู้ตัวว่าความแตกแล้ว ยังคงตีหน้าซื่อต่อ “ท่านพี่ทำอะไรน่ะ จริงอยู่ที่ข้าโดนทำร้ายเพราะข้ามันเป็นคนอ่อนแอเอง แต่ใครใช้ให้ท่านปู่ไม่ยอมสอนการรบให้ข้ากับพี่รองเล่า! ไม่เช่นนั้นข้าคงปกป้องตัวเองได้ ไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ และคงไม่ต้องให้ถึงมือพี่ใหญ่หรอก”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ กู้ฉังชิงยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม
ความผิดของท่านปู่หรืออย่างไรที่ไม่ยอมสอนพวกเจ้า เป็นเพราะพวกเจ้าเองต่างหากที่ไร้ความอดทน!
แม้เมื่อก่อนเขาจะมองว่าท่านปู่เข้มงวดกับเขามากไปหน่อย ที่เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ เพราะเขาไม่มีทางเลือก เขาเป็นหลานชายคนโตของจวนโหว มีหน้าที่แบกรับชะตากรรมของตระกูลในอนาคต แน่นอนว่าน้องชายทั้งสองไม่ต้องมารับภาระแบบที่เขาเจอ
สักพักเขาก็นึกถึงวันนี้ตอนที่เขาไปเห็นจิ้งคงกำลังฝึกวิทยายุทธ์ อายุแค่นั้นแต่กลับตั้งใจฝึกฝนอย่างยากลำบาก แถมยังไม่บ่นสักคำ!
ที่สำคัญ ไม่มีใครบังคับเขาให้ทำด้วย!
พอมีข้อเปรียบเทียบแบบนี้ กู้ฉังชิงได้แต่ปลงอย่างเดียว
“ไปคุกเข่าที่ห้องหนังสือเดี๋ยวนี้” กู้ฉังชิงออกคำสั่งทำโทษน้องชายอย่างไม่ใยดี
“ท่านพี่ว่าอย่างไรนะ” กู้เฉิงหลินนึกว่าตัวเองหูแว่วไป จึงถามอีกครั้ง
“ข้าสั่งให้เจ้า ไปคุกเข่า ในห้องหนังสือ!” กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงแข็ง
กู้เฉิงหลินเริ่มหัวร้อน “เหตุใดข้าต้องทำด้วย นี่ข้าโดนทำร้ายมาขนาดนี้ท่านพี่ยังคิดจะทำโทษข้าอีกรึ ยังเห็นข้าเป็นน้องชายอยู่หรือไม่”
พอเห็นน้องชายตัวเองที่ดูเหมือนจะยังไม่สำนึก ซ้ำยังปากเก่งใส่ กู้ฉังชิงจึงเดือดหนักยิ่งกว่า
ตอนที่มารดาของพวกเขาจากโลกนี้ไป น้องชายทั้งสองของเขายังเล็ก ด้วยความสงสาร พวกเขาเลยถูกปฏิบัติและเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตลอด โดยเฉพาะกู้เฉิงหลินที่ถูกประคบประหงมเป็นพิเศษจนแทบจะเสียคนไปแล้ว
ยังดีที่กู้เฉิงเฟิงพอโตขึ้นเขายังพอรู้เรื่องรู้ราวบ้าง จะมีก็แต่กู้เฉิงหลินที่ยังเล่นเป็นเด็ก แต่เขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว หากทำผิดย่อมต้องได้รับโทษ ไม่มีการปล่อยผ่านใดๆ ทั้งสิ้น
“ก็เพราะข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าอย่างไรเล่า ถึงต้องมานั่งสั่งสอนเจ้าให้หลาบจำ! เจ้าจะไปเองดีๆ หรือจะให้ข้าลากเจ้า!”
“ท่านพี่…”
กู้เฉิงเฟิงที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกตั้งแต่เริ่ม พอเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินเข้ามา “ท่านพี่ น้องสาม หยุดทะเลาะได้แล้ว!”
พอกู้เฉิงหลินเห็นกู้เฉิงเฟิงเข้าก็ทำหน้าหงอใส่ คนเดียวที่ตอนนี้เป็นที่พึ่งพิงให้เขาได้ก็มีแต่พี่รองเท่านั้น
“ท่านพี่รองขอความเป็นธรรมให้ข้าด้วย! พี่ใหญ่จะทำโทษข้าแล้ว!”
“เจ้าหยุดพูดก่อน!” กู้เฉิงเฟิงตอกกลับ
ตอนที่ท่านพี่ใหญ่ตัดสินใจลงโทษเขา กู้เฉิงเฟิงพอจับใจความได้แล้วว่าพี่ใหญ่คงรู้อะไรเข้าให้แล้ว กะแล้วเชียวว่าวิธีนี้อย่างไรก็ไม่ได้ผล คนอย่างพี่ใหญ่หลอกง่ายเสียที่ไหน ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกขนานนามว่าเป็นพญายมราชหรอก
กู้เฉิงเฟิงพยายามส่งสายตาให้น้องชาย ทว่าสภาพกู้เฉิงหลินตอนนี้ดูเหมือนจะไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
“ท่านพี่ใหญ่เห็นเจ้าเด็กบ้านั่นดีกว่าข้าเลยทำโทษข้าสินะ! แล้วท่านพี่จะต้องเสียใจ! ท่านพี่ ฮือๆๆ”
กู้เฉิงหลินกำลังจะพูดว่า รู้ไหมว่าเจ้าบ้านั่นเป็นใคร
แต่ดันถูกกู้เฉิงเฟิงเอามือมาปิดปากไว้เสียก่อน
กู้เฉิงเฟิงเหงื่อตก
นี่เจ้าสามคิดจะเปิดเผยตัวตนของกู้เหยี่ยนอย่างนั้นรึ
ถ้าพี่ใหญ่รู้เข้าว่าเป็นกู้เหยี่ยน เท่ากับยืนยันว่าเจ้าสามลงมือกระทำเขาก่อนจริงๆ มิหนำซ้ำ ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาเป็นโรคหัวใจ ไปขังเขาไว้ในที่มืดๆ แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกันกับการจงใจฆาตกรรมเขา
นี่ไม่ใช่แค่การกลั่นแกล้งธรรมดาแล้ว แต่มันคือความเป็นความตาย!
ต่อให้กู้เฉิงหลินจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาจะอธิบายแก้ต่างอย่างไรเล่า
พี่ใหญ่จะฟังเขารึ
“ที่พี่ใหญ่ลงโทษเจ้าก็เพื่อตัวเจ้าเองนั่นแหละ! ดูเข้าสิ ตัวเองหาเรื่องข้างนอกไม่พอ ยังมาหาเรื่องพี่ใหญ่อีก!” กู้เฉิงเฟิงถลึงตาใส่น้องชาย พยายามส่งสัญญาณให้เขาเข้าใจว่าอย่าทำให้เรื่องบานปลาย
ในที่สุดกู้เฉิงหลินก็เข้าใจ และไม่เอ่ยอะไรต่อ
“ท่านพี่ใหญ่ เจ้าสามก่อเรื่องไว้สมควรโดนลงโทษ แต่ในเมื่อเขาเจ็บหนักขนาดนี้ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการสั่งสอนในระดับหนึ่งแล้ว ให้เขาไปนั่งคุกเข่านานๆ เกรงว่าเดี๋ยวจะเป็นอะไรไปก่อน ปล่อยให้เขาได้รักษาเนื้อรักษาตัวก่อนแล้วค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย”
กู้เฉิงเฟิงรู้ว่าพี่ชายตนเป็นคนเข้มงวดและมีวินัยสูง แต่กับน้องชายแล้วอย่างไรก็ต้องมีใจอ่อนบ้าง
กู้เฉิงหลินทำท่าให้กู้เฉิงหลินดูเป็นนัยว่าเรื่องราวน่าจะคลี่คลายแล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง ที่ด้านนอกเรือนดันเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
บ่าวนายหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามา “ท่านชายสามขอรับ! แย่แล้ว! ฮูหยินแจ้งว่าต้องการพบท่าน! ข้าน้อยห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่ขอรับ!”
สำหรับกู้ฉังชิงแล้ว เขามองแม่นางเหยาเป็นคนไม่สู้คนมาโดยตลอด แต่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้กลับกลายเป็นว่าได้ทำลายมุมมองของเขา แม่นางเหยาจู่ๆ พุ่งตัวเข้ามาราวกับคนบ้า ไม่ว่าพวกบ่าวจะพยายามห้ามนางอย่างไรก็ห้ามไว้ไม่อยู่
แล้วนางก็เดินมาหยุดอยู่หน้าเตียงของกู้เฉิงหลินโดยไม่สนว่ายังมีกู้ฉังชิงและกู้เฉิงเฟิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วย จากนั้นก็ง้างมือตบเข้าไปที่พวงแก้มของกู้เฉิงหลินหนึ่งที!
กู้เฉิงหลินออกอาการเหวอในทันใด!
เขาตกใจยิ่งกว่าตอนที่กู้เจียวมาแก้แค้นเสียอีก ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับกู้เจียวอยู่แล้ว
แต่กับแม่นางเหยาซึ่งเป็นคนคุ้นเคย นางเป็นคนอ่อนแอ ไม่สู้คน และเพราะเหตุนั้น นางและกู้เหยี่ยนถึงได้ระเห็ดออกไปอยู่ที่อื่น
อย่าว่าแต่ตบหน้าเลย แม่นางเหยาไม่เคยกล้าว่าเขาด้วยซ้ำ!
กู้เฉิงหลินหันไปมองแม่นางเหยา
แววตาของนางดูโกรธแค้นราวกับจะฆ่าเขาให้ได้
และนั่นทำให้กู้เฉิงหลินเริ่มรู้สึกหวาดหลัว
กู้ฉังชิงเองก็ทำท่าตกใจไม่แพ้น้องชาย วันก่อนเขายังเห็นแม่นางเหยายิ้มอยู่เลย แต่จู่ๆ ดันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือจนเขาเองก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเข้ารู้จักแม่เลี้ยงคนนี้ดีพอแล้วหรือยัง
“ท่านตบเขาทำไม” กู้ฉังชิงเปิดคำถาม
แม่นางเหยาหัวเราะแสยะทั้งน้ำตา “ทำไมข้าต้องตบเขาน่ะหรือ เจ้าเป็นพี่ใหญ่นะ จะไม่รู้ได้ไงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเจ้าจะกลั่นแกล้งข้ายังไงก็ได้ แต่เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องไปลงกับเหยี่ยนเอ๋อร์ด้วย กว่าเขาจะมีวันนี้ได้…กว่าเขาจะอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง…”
ก่อนหน้าไม่นาน แม่นางเหยาแวะไปหากู้เจียวเลยได้รู้ว่าเหยี่ยนเอ๋อร์ถูกทำร้าย ทั้งคู่ไม่ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง นางจึงแอบไปถามกู้เสี่ยวซุ่น ขอร้องให้เขาเล่าให้ฟัง
ที่จริงกู้เสี่ยวซุ่นรู้เรื่องแค่บางส่วนเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนช่วยกู้เหยี่ยนเอาไว้ รู้แค่ว่าเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด อีกทั้งรู้ว่าคนที่แกล้งเขามีนามว่ากู้เฉิงหลิน
นางยังถามอีกว่ากู้เฉิงหลินที่ว่าคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร เรียนอยู่ห้องไหน
แม่นางเหยาจินตนาการไม่ออกเลยว่ากู้เหยี่ยนจะต้องทรมานมากเพียงใด ทั้งถูกขังในห้องเก็บฟืนมืดๆ ดิ้นรนจนบาดเจ็บ จนกระทั่งโรคหัวใจกำเริบอีกครั้ง
แม่นางเหยาเป็นแม่คน!
นางก็ใจสลายเป็นเหมือนกัน!
“ถึงพวกเจ้าจะไม่รับเขาเป็นน้องชายก็ไม่เป็นไร จะเห็นเขาเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งก็ย่อมได้…ในเมื่อเขามีพี่สาวแล้ว เขาจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับพวกเจ้าอีก! เขาหลีกเลี่ยงพวกเจ้ามาได้นานขนาดนี้แล้ว…แต่ทำไม พวกเจ้า ถึงไม่ยอมปล่อยเขาไปเสียที!”
แม่นางเหยาสะอื้นหนักโดยเฉพาะตอนพูดประโยคท้าย
“ตอนเด็กๆ พวกเจ้าเคยรังแกเขา ข้าเห็นว่าพวกเจ้ายังเด็กเลยไม่ติดใจอะไร…แต่ตอนนี้พวกเจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว! เหตุใดยังกลั่นแกล้งเขาอีกเล่า ไม่รู้รึว่าเขาเป็นโรคหัวใจ จะต้องให้เขาตายหรอกหรือ พวกเจ้าถึงจะพอใจ”
“เพราะอะไรกัน เพราะว่าพวกเจ้าโกรธแค้นข้าอย่างนั้นรึ ข้าทำอะไรผิดกับพวกเจ้างั้นรึ!”
“ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อมารดาของพวกเจ้าเลย! ไม่เคยคิดจะแย่งชิงบิดาของพวกเจ้าเลยด้วย! การตายของนางไม่เกี่ยวกับข้าเลยแม้แต่นิด! เหตุใดพวกเจ้าถึงได้โยนความผิดมาให้ข้าทั้งหมด”
ข่าวลือเหลวไหลที่ผ่านมาแม่นางเหยาไม่เคยออกมาพูดตอบโต้เลยสักครั้ง เอาแต่เก็บไว้อยู่ฝ่ายเดียว แต่พอมาวันนี้ที่นางได้รู้ว่าลูกชายของนางเกือบต้องมาตายด้วยน้ำมือของพี่ชายต่างแม่ นางจะไม่ทนอีกต่อไป
ความเจ็บปวดที่นางทนเก็บไว้เป็นเวลาสิบกว่าปีในที่สุดก็ได้ระเบิดออกมาในเวลานี้ ไม่มีแล้วแม่นางเหยาคนเดิม กลายเป็นแม่นางเหยาที่พร้อมจะสู้คน
แม่นางเหยาก็คือแม่ แม่ที่ไม่ได้เจอหน้าลูกสาวแท้ๆ มาเป็นเวลาสิบกว่าปี แม่ที่คอยเฝ้าดูอาการป่วยของลูกชายอย่างใกล้ชิด
ดังนั้นแล้ว นางจะไม่ยอมให้ลูกของนางเป็นอะไรไปโดยเด็ดขาด
เพราะพวกเขาคือทั้งชีวิตของนาง…
หากจะต้องมีคนตายเพื่อให้เรื่องนี้จบลง นางจะเป็นคนไปเอง
นางจะพากู้เฉิงหลินก้าวลงยมโลกด้วยกันนี่ล่ะ!
“ฮูหยิน!” กู้ฉังชิงรีบเข้าไปคว้าข้อมือของแม่นางเหยา “ท่านคงเหนื่อยน่าดู กลับไปพักที่เรือนก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะสั่งสอนเจ้าสามให้เอง! ตามคนมา! พาฮูหยินกลับไปพักที่เรือน!”
สิ้นคำสั่ง คราวนี้ไม่ใช่บ่าวที่เข้ามา แต่เป็นองครักษ์ลับ
พวกเขาคว้าเข้าไปที่ท่อนแขนของแม่นางเหยา
“ระวังอย่าให้ฮูหยินเจ็บตัว” กู้ฉังชิงกำชับ
“ขอรับ”
พวกเขาจึงค่อยๆ พยุงร่างอันเศร้าโศกของแม่นางเหยาออกไปจากห้อง
กู้ฉังชิงเก็บมีดสั้นที่คว้ามาได้จากแขนเสื้อแม่นางเหยาเข้าไปในแขนเสื้อของเขา และหันมาจ้องเขม็งที่กู้เฉิงหลิน
“พี่ใหญ่! ฟังข้าอธิบายก่อน! ข้า…รู้ว่าเขาเป็นใคร…แต่ข้า…ไม่ได้ตั้งใจ…ข้า…ข้าไม่ได้จะทำร้ายเขา…ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่…ข้า…” กู้เฉิงหลินใจตกไปอยู่ตาตุ่มและเริ่มพูดไม่ได้ศัพท์
กู้เฉิงเฟิงที่ยืนดูอยู่ก็เริ่มปาดเหงื่อ เอาละ เรื่องที่ไม่อยากให้เกิดดันเกิดจนได้ กะแล้วเชียวว่าเจ้าสามจะต้องอธิบายไม่รู้เรื่องแน่นอน