สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 135 ทำตัวน่ารัก
บทที่ 135 ทำตัวน่ารัก
เหล่าฮูหยินกู้อาละวาดหนักจนเรื่องไปถึงจวนอื่นที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกัน เรื่องที่กู้ฉังชิงลงโทษน้องชายอีกสองคนจึงแพร่สะพัดไปทั่ว
จะเว้นก็แต่ท่านโหวกู้คนเดียวที่ยังไม่รู้เรื่องนี้ ช่วงนี้เขามีเรื่องต้องให้สะสางมากมายจึงไม่ได้กลับมาที่จวนหลายวัน
“นายท่านขอรับ ฝั่งทหารเร่งงานมาแล้วนะขอรับ” หนึ่งในลูกน้องของท่านโหวกู้เอ่ย
ท่านโหวกู้นั่งมองกองพะเนินที่เต็มไปด้วยเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขา “เร่ง เร่ง เร่ง เร่งนักเร่งหนา! วันก่อนก็สั่งหลอมไปแล้วมิใช่รึ นี่เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่วันเอง”
คนกลางเริ่มหนักใจ ฝั่งนู้นก็เร่ง ฝั่งนี้ก็ว่า “นายท่านขอรับ ทางนั้นบอกว่าพวกเราทำงานช้าเกินไปขอรับ ระยะเวลาสองเดือน พวกเขารอไม่ไหวขอรับ”
ท่านโหวกู้คราวนี้องค์ลงหนักกว่าเดิม “รอไม่ไหวก็ต้องรอ! พวกเขาอยากได้อาวุธมิใช่รึ งานเหล็กนะ ไม่ใช่งานปั้นดินเผา! จะเอาเร็วขนาดนั้นได้อย่างไรกัน”
ลูกน้องได้แต่ปาดเหงื่อ “ทางนั้นบอกว่าให้เวลาพวกเราแค่หนึ่งเดือนเท่านั้นขอรับ ท่านต้องหลอมดาบยาวชุดแรกให้เสร็จ…”
“หนึ่งเดือนงั้นรึ ฝันไปเถอะ!” ไม่ใช่ว่าท่านโหวกู้กำลังแกล้งพวกเขาอยู่ แต่ด้วยความที่ทรัพยากรมีจำกัด ถ้าเขาสามารถนำวิทยาการแรงดันน้ำมาจากแคว้นเหลียงได้ อาจทำให้งานเร็วขึ้น
“นายท่าน ทางนั้นยังบอกอีกว่า อาวุธแค่นี้ พวกเขาไปจ้างชาวบ้านมาทำก็ได้ ไฉนพวกเราถึงทำไม่ได้ขอรับ”
“ให้ชาวบ้านตีเหล็กให้งั้นรึ” ท่านโหวกู้หัวเราะเสียดสี “นี่เร่งจนถึงขนาดต้องกุเรื่องมากดดันกันแล้วหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับนายท่าน ข้าน้อยเคยได้ยินเรื่องนี้จริงๆ พวกชาวบ้านสร้างกล่องกล่องหนึ่งขึ้นมา กล่องที่ว่าทำให้ระบบน้ำทำงานได้เร็วขึ้น แรงขึ้น วันหนึ่งสามารถหลอมเหล็กได้มากกว่าเดิมถึงสิบเท่าเชียวนะขอรับ”
“สิบเท่ารึ” ท่านโหวกู้โบกมือปัด “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีทางแน่นอน” ขนาดแคว้นเหลียงที่ล้ำหน้าด้านนี้ยังทำได้ไม่เร็วถึงสิบเท่าเลย
“หรือว่า…ส่งคนไปดูลาดเลาก่อนดีไหมขอรับ ข้าน้อยได้ยินมาว่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในโยวโจวที่ชื่อว่าชิงเฉวียนขอรับ”
ท่านโหวกู้ส่ายมือ “เหอะ ไม่มีทาง ข้าเพิ่งกลับมาจากโยวโจวหมาดๆ ! ถ้ามีของอย่างเจ้าว่าจริง เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
ท่านโหวกู้ยืนกรานว่าจะไม่ส่งคนไปตรวจสอบ
ส่วนทางฝั่งทหารไม่รอช้า รีบส่งคนไปสำรวจในทันใด
ต้นเดือนสิบเอ็ด ในเมืองหลวงเริ่มหิมะตก
จิ้งคงเปิดประตูออกไปไม่ทันระวังจึงลื่นล้ม
เขาแทบไม่เคยหกล้มเลยตั้งแต่ออกมาจากวัด จนกู้เจียวเกือบลืมไปแล้วว่าเขาเคยเป็นเณรน้อยจอมซนล้มหน้าคะมำมาก่อน
กระนั้นแล้ว ถึงจิ้งคงจะลื่นลม แต่ก็ล้มอย่างชำนาญ เขายกมือป้องที่ศีรษะและงอเข่าเพื่อป้องกันการกระทบเทือน ดูแล้วเหมือนกับก้อนกลมๆ แสนน่าเอ็นดู
กู้เจียวเดินออกมาจากทางห้องครัว
จิ้งคงล้มกลิ้งหลุนๆ ไปทางกู้เจียว จากนั้นก็ยันตัวลุกขึ้นแล้วยิ้มแฉ่งให้กู้เจียว
“ล้มอีกแล้วรึ” กู้เจียวเอ่ยถามพลางพยุงตัวเขาขึ้นและช่วยปัดเศษหิมะที่ติดอยู่บนตัวเขาออก
จิ้งคงน้อยออดอ้อน “เพราะข้าสะดุดความสวยของเจียวเจียวน่ะสิ!”
จากเณรน้อยจอมซนกลายร่างเป็นเณรน้อยจอมกะล่อนไปแล้วรึ
กู้เจียวเห็นว่าจิ้งคงผมสั้น กลัวเขาจะหนาว จึงซื้อหมวกให้เขาใส่ เป็นหมวกรูปทรงหัวเสือ ดวงตาของเจ้าหมวกเสือทั้งกลมและโต พออยู่บนหัวจิ้งคงก็ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดูเข้าไปใหญ่
ปกติจิ้งคงจะไม่ใส่หมวกนี้เวลาไปเรียน เพราะมันดูหน่อมแน้มเกินไป
แต่พออยู่ต่อหน้ากู้เจียว จิ้งคงทั้งใส่หมวกเสือ เอี๊ยมเสือ และรองเท้าเสือ เพิ่มความน่าเอ็นดูให้กับตัวเอง
พอจิ้งคงอ้อนและขอจุ๊บจากเจียวเจียวสำเร็จ ก็กระโดดโลดเต้นกลับห้องไป
เสร็จสิ้นภารกิจช่วงเช้า ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นหนิวฮู่ลู่จิ้งคงคนเดิม ทำหน้าเคร่งขรึมและเดินออกไปเรียน!
กู้เหยี่ยนที่นอนพักฟื้นอยู่หลายวันอาการก็เริ่มดีขึ้น จนสามารถไปเรียนหนังสือตามปกติได้แล้ว
กู้เจียวเตรียมตะเกียงผิงไฟให้พวกเขาคนละดวง
เซียวลิ่วหลังเดินไปเข้าเรียนกับจิ้งคงที่กั๋วจื่อเจียน ส่วนกู้เจียวก็ไปส่งกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นที่สำนักชิงเหอ
กู้เหยี่ยนทำท่าระแวงซ้ายขวาหลังจากที่เดินออกจากตรอกมาได้ไม่นาน
กู้เจียวจึงเอ่ยถาม “มองหาใครอยู่รึ”
“ข้าเปล่า” กู้เหยี่ยนเบือนลูกตาหนี
ยังจะปากแข็งอีก ช่วงนี้กู้เจียวมักจะเห็นเขาด้อมๆ มองๆ ที่ประตู บางทีก็เดินออกไปแล้วชะเง้อซ้ายทีขวาทีบ้าง
ทว่าเขาคนนั้น ตั้งแต่ช่วยกู้เหยี่ยนในวันนั้น ก็ไม่โผล่มาแถวนี้อีกเลย
หลังจากที่ส่งน้องชายสองคนเสร็จ นางก็มุ่งหน้าไปที่ถนนฉางอัน
นางเริ่มคุ้นชินกับถนนหนทางของละแวกนี้แล้ว
แม้นางจะยังพอมีเงินเก็บอยู่พันตำลึง แต่ข้าวของที่เมืองหลวงราคาสูง เงินหากใช้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หมด
กู้เจียวเลยตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเข้ากระเป๋าโดยการไปซื้อสมุนไพรที่ตลาดแล้วเอามาทำเป็นยาทาแผล วางแผนว่าจะเอาไปขายตามโรงหมอ
ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในโรงหมอแห่งแรก ก็บังเอิญเจอกับคนรู้จักเข้า “เสี่ยวลิ่วนี่นา”
เด็กหนุ่มทำท่าประหลาดใจเมื่อได้เจอกู้เจียว “แม่นางกู้ ท่านมาที่เมืองหลวงได้อย่างไร”
กู้เจียวพยักหน้า “ลิ่วหลังมาเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียนน่ะ พวกเราเลยย้ายสำมะโนครัวกันมาหมดเลย”
“ยินดีกับท่านเซียวและแม่นางกู้ด้วย! ”
เสี่ยวลิ่วเป็นคนรถของเถ้าแก่รอง ทั้งคู่รู้จักมักคุ้นกันดี เสี่ยวลิ่วเองก็เคยเป็นธุระให้กู้เจียวอยู่หลายหน ตอนที่กู้เจียวสร้างพื้นที่บนภูเขาก็ได้เสี่ยวลิ่วนี่แหละมาช่วยขนเหล็กให้
“เถ้าแก่รองเล่า” กู้เจียวถามถึงเถ้าแก่รอง
เสี่ยวลิ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ “ช่วงนี้เถ้าแก่รองอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ขอรับ ข้าเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เขาพำนักอยู่ที่โรงเตี๊ยมตรงนั้น เดี๋ยวข้าพาไปนะขอรับ”
“ได้สิ” กู้เจียวรับคำ
ระหว่างทาง เสี่ยวลิ่วเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นที่เถ้าแก่รองลางานที่โรงหมอกะทันหันเพราะอาการของนายใหญ่หูเริ่มทรุดหนัก
เถ้าแก่รองรีบเดินทางกลับมายังเมืองหลวง ยังไม่ทันได้เจอหน้าร่ำลากัน นายใหญ่หูดันด่วนจากไปเสียก่อน
คนในตระกูลหูรีบทำพิธีโดยที่ไม่รอเถ้าแก่รองกลับมา
เถ้าแก่รองมาช้าไปแค่วันเดียวเท่านั้น อย่างน้อยก็น่าจะให้เถ้าแก่รองได้ส่งลานายใหญ่หูเป็นครั้งสุดท้าย แต่ตระกูลหูกลับไม่ให้โอกาสเขาเลยแม้แต่นิด
แต่ที่น่าโมโหไปกว่านั้น พวกตระกูลหูกุข่าวลือว่าเถ้าแก่รองอกตัญญูไม่ยอมกลับมาดูแลนายใหญ่หูที่กำลังป่วยหนัก ซ้ำยังปอดแหกไม่กล้าโผล่หน้ามาในงานศพอีกด้วย
แคว้นเจาให้ความสำคัญกับเรื่องความกตัญญูมาก พอมีข่าวลือเช่นนี้แพร่สะพัดออกไป เท่ากับว่าชื่อเสียงของเถ้าแก่รองได้ป่นปี้ไปแล้ว
“จากนั้นเขาก็โดนตระกูลหูขับไล่ออกมา…” เสี่ยวลิ่วปาดน้ำตา เขารู้สึกสงสารชะตากรรมของเถ้าแก่รองอย่างอดไม่ได้
“เอาละ เข้าใจแล้ว” กู้เจียวเดินมาถึงหน้าห้องพักของเถ้าแก่รอง “เจ้าไปยกชาร้อนมาให้ที”
“ขอรับ!” เสี่ยวลิ่วน้อมรับแล้วรีบออกไปรินชา
พอกู้เจียวเปิดประตูเข้าไป กลิ่นสาบเหล้าคละคลุ้งก็ลอยพุ่งเข้ามาตีขึ้นจมูกในทันใด
พวกเขาไม่ได้เจอกันนานนับเดือน เถ้าแก่รองจากคนท่าทางดูภูมิฐานจู่ๆ แปลงร่างเป็นคนติดเหล้าไปเสียแล้ว สภาพของเขาคือกำลังนอนแผ่อยู่บนพื้นราวกับคนตาย ไม่รู้ว่าเขาดื่มไปเยอะขนาดไหน
กู้เจียวค่อยๆ เดินข้ามขวดเหล้าที่กองอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นเปิดกล่องยาออกมาแล้วยื่นยาให้เถ้าแก่รอง “เอ้านี่”
เถ้าแก่รองยังคงนอนนิ่ง
เสี่ยวลิ่วเดินเข้ามาพร้อมกับกาน้ำชาร้อนกรุ่น
กู้เจียวค่อยๆ รินน้ำชา แล้วให้เสี่ยวลิ่วพยุงร่างเถ้าแก่รองและให้เขากินยาแก้เมาอย่างทุลักทุเล
เสี่ยวลิ่วที่เห็นสภาพอันดูไม่จืดของเถ้าแก่รองก็กระแอมเอ่ยเตือน “นายท่าน แม่นางกู้มาหาแล้วขอรับ”
เถ้าแก่รองลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทีเหม่อลอย
“บิดาของท่านตายด้วยสาเหตุใด” กู้เจียวมองหน้าแล้วเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ทันใดนั้น เถ้าแก่รองก็เริ่มได้สติ แล้วมองกู้เจียวด้วยท่าทีตะลึง คนที่ปกติเก็บอารมณ์เก่งอย่างเถ้าแก่รองจู่ๆ ก็ฟูมฟายออกมาอย่างไม่คิดชีวิต เขาเอามือกุมศีรษะตัวเอง และปล่อยโฮออกมาจนตัวสั่น!
กู้เจียวไม่เข้าไปขัด
ปล่อยให้เขาระบายอารมณ์ออกมา
เสี่ยวลิ่วที่เริ่มน้ำตารื้นก็ขอตัวออกไปก่อน
ไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เถ้าแก่รองเริ่มดีขึ้นแล้ว
เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนจะหันไปยิ้มให้กู้เจียว “แม่สาวน้อย ไปไงมาไงล่ะ”
“เซียวลิ่วหลังมาเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียน ข้าเลยตามมาอยู่ด้วย”
“อ๋อ ถ้าเช่นนั้นขอแสดงความยินดีกับท่านชายเซียวด้วย!”
“แล้วท่านล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
“แย่หน่อยนะที่เจ้าต้องมาเห็นข้าในสภาพนี้ ก็ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็ใช้ชีวิตของข้าไปวันๆ ” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของยา หรือเพราะได้ระบายอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าเถ้าแก่รองจะเริ่มได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว
“ท่านจะกลับไปที่ตระกูลหูอีกไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม
ทำเอาคนตรงหน้าอึ้งไปพักใหญ่
“กลับไปไม่ได้แล้วน่ะสิ” เถ้าแก่รองหัวเราะแบบขอไปที
“บิดาของท่านดีกับท่านหรือไม่”
“…เมื่อก่อนเขาเคยดีกับข้ากว่านี้” เถ้าแก่รองลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบ
พวกเขาสามคนเคยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก่อนที่มารดาจะเสียชีวิต แต่ตั้งแต่มีแม่เลี้ยงเข้ามาในชีวิต กลายเป็นว่าได้พ่อเลี้ยงมาด้วย
“ท่านเลยคิดว่าเป็นความผิดของแม่เลี้ยงอย่างนั้นหรือ”
ในตอนแรกเถ้าแก่รองอยากจะตอบไปว่าบนโลกนี้มีแม่เลี้ยงดีๆ สักกี่คนกันเชียว แต่จู่ๆ เขาก็จำได้ว่ามารดาของกู้เจียวก็เป็นแม่เลี้ยงเช่นกัน
“ถ้าแม่เลี้ยงของข้าดีได้อย่างแม่เลี้ยงของเจ้าสักครึ่งหนึ่ง ข้าก็คงไม่ต้องมาอยู่แบบนี้หรอก”
“ดีไปก็เท่านั้น ต่อให้ทำดีแค่ไหน สุดท้ายลูกเลี้ยงของนางก็ไม่ชอบนางอยู่ดี”
“เจ้าเลยคิดว่าเป็นความผิดของข้าอย่างนั้นรึ”
“ไม่ ไม่มีใครผิดทั้งนั้น เรื่องที่จวนโหวข้าไม่อาจออกความเห็นได้ แต่เรื่องของท่าน ข้ามองว่าบิดาของท่านเป็นฝ่ายผิด ในเมื่อเขาใจร้ายกับเถ้าแก่รองขนาดนั้น ทำไมเถ้าแก่รองถึงยังเสียใจกับการตายของเขาอีกเล่า”
นางไม่ได้มีเจตนาเอ่ยโทษเถ้าแก่รอง แต่เป็นเพราะนางไม่เข้าใจจริงๆ
กู้เจียวไม่ใช่คนที่อารมณ์ซับซ้อนขนาดนั้น
สำหรับนางแล้ว ใครดีมาดีตอบ ใครร้ายมาก็ร้ายตอบ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นพ่อหรือแม่แท้ๆ ก็ตาม
กู้เจียวมองเถ้าแก่รองด้วยความประหลาดใจ
เขารู้อยู่แก่ใจว่ากู้เจียวเป็นเด็กสาวที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ความคิดความอ่านของนางต่างจากคนทั่วไป เถ้าแก่รองเลยแค่นเสียงหัวเราะ พลางเอ่ย “ที่จริงแล้ว ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อาจเป็นเพราะ…ข้าจำได้แต่เรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำให้ข้าก็เป็นได้”
กู้เจียวยังไม่เข้าใจอยู่ดี
อาจเป็นเรื่องเดียวที่ชาตินี้นางคงไม่มีวันจะเข้าใจ
“แล้วถ้าไม่กลับไปหาพวกเขา ท่านจะเอาอย่างไรต่อ”
“ข้าไม่รู้”
“ข้าว่า ท่านมาขายยากับข้าดีกว่า!”
เถ้าแก่รองคิดในใจ ขอบใจนะ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ข้าดีขึ้นเลย!
ตอนแรกเขานึกว่ากู้เจียวต้องการจะเร่ขายยาตามท้องถนน แต่พอฟังที่นางเล่าถึงได้เข้าใจว่ากู้เจียวต้องการจะเปิดโรงหมอเป็นของตัวเอง
เถ้าแก่รองเป็นคนออกเงิน ส่วนกู้เจียวเป็นคนดำเนินงาน ถือหุ้นกันคนละครึ่ง
หากเป็นคนอื่นมาเกลี้ยกล่อมเขาเช่นนี้ เขาไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน เป็นเพราะความมั่นใจและจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาได้หายไป
แต่พอเป็นกู้เจียว
นางคือคนที่มีความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจคน
“เอาละ! ถึงไหนถึงกัน!” เถ้าแก่รองตัดสินใจร่วมมือกับนาง
แต่ตอนนี้ปัญหาก็คือเขาไม่ได้มีเงินติดตัวมากนัก แม้ว่าพวกเขาจะหาเช่าพื้นที่ที่ถูกที่สุดในบริเวณใกล้เคียง แต่นั่นเท่ากับว่าต้องมีเงินอย่างน้อยสามพันตำลึงเตรียมไว้
“ข้าให้ท่านยืมก่อนได้” กู้เจียวเอ่ย “แต่ข้าคิดดอกเบี้ยนะ”
เถ้าแก่รองนึกในใจ แหม กะแล้วเชียวว่าต้องมีเล่นตุกติก!
ช่วงพักกลางวัน เซียวลิ่วหลังกลับมาทานข้าวที่เรือน กู้เจียวจึงเอ่ยถึงเรื่องที่จะขอยืมเงินไปใช้ ตอนนี้ในมือพวกเขามีอยู่พันตำลึง นางจะต้องใช้เงินประมาณแปดร้อยตำลึง
เซี่ยวลิ่วหลังที่กำลังจัดกระเป๋าหนังสือเตรียมออกไปเรียนคาบบ่ายต่อก็หันมาเอ่ยกับกู้เจียว “เจ้าเอาเงินไปใช้ได้เลย ไม่ต้องรายงานข้าหรอก”
โห ใจดีจัง
กู้เจียวเลยร้องอ๋อ “ว่าแต่ เจ้าไม่คิดจะถามเลยหรือว่าข้าเอาไปใช้ทำอะไร”
“เอาไปทำอะไรเล่า”
“เก็งดอกเบี้ยยังไงล่ะ!”
เซียวลิ่วหลังทำหน้างุนงง
”ฮ่า ฮ่า ข้าหยอกเจ้าเล่นน่ะ ข้าจะเอาเงินไปให้เถ้าแก่รองยืมน่ะ เจ้าจำเข้าได้ใช่ไหม ที่เป็นเถ้าแก่รองของหุยชุนถัง”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยขึ้นมาลอยๆ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยไปเป็นผู้ช่วยหมอที่เรือนของเขาด้วย”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” กู้เจียวทำหน้าตกใจ
“แม่นางเหยาบอกข้าเอง”
ตั้งแต่ตอนที่เขาบังเอิญไปเห็นกล่องยาของนาง ก็พอจะเดาออกได้บ้าง ในเมื่อนางไม่ยอมเอ่ยปาก เขาเองก็ไม่เอ่ยปากเช่นกัน
ต่างคนต่างรู้ความลับของอีกฝ่าย
ทั้งตัวตนที่แท้จริงของและประวัติของพวกเขา
เซียวลิ่วหลังคว้าถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยแย้ง “นั่นมันถ้วยชาของข้า ของเจ้าอยู่นี่ต่างหาก”
เซียวลิ่วหลังเลยทำหน้านิ่งไป
กู้เจียวหันไปยิ้มกรุ่มกริ่มให้เขา พลางเอ่ย “เจ้าดื่มถ้วยชาของข้าแล้ว แปลว่าพวกเราอย่างว่ากันทางอ้อมแล้วสินะ”
เซียวลิ่วหลังหน้าแดง รีบวางถ้วยชาลง หันมาเอ่ยกับกู้เจียว “เจ้าอย่ามาพูดมั่วซั่ว ข้าไม่ได้ดื่มทับรอยเจ้าเสียหน่อย!”
“อ๋อ” กู้เจียวยักคิ้ว พลางนึกในใจ แน่จริงก็อย่าหน้าแดงสิ “ข้าไปทำกับข้าวก่อนล่ะ”
“อืม” เซียวลิ่วหลังตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
กู้เจียวหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปที่ครัว
พอได้ยินเสียงดังขึ้นจากในครัว ก็พลันถอนหายใจโล่งอก จากนั้นหันไปมองที่ถ้วยชาของกู้เจียว
เขาค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นและกระดกจิบอย่างระมัดระวัง
“พี่เขย!”
จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็กระโดดพรวดเข้ามา!
เซียวลิ่วหลัง: แค่ก แค่ก แค่ก…โอ๊ย เจ้าทำข้าสำลักน้ำ!