สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 138 ไปจวนโหว
ทั้งสองคนจับมือกันจนมาถึงหน้าบ้านจึงได้ผละออกจากกัน
เห็นเซียวลิ่วหลังสีหน้าเว้าวอนยังไม่อยากปล่อย กู้เจียวจึงขยับไปใกล้เขาก่อนกระซิบเสียงเบาว่า “หากอยากจับอีกละก็ คราวหน้าจะให้เจ้าจับใหม่นะ”
“เปล่าเสียหน่อย!” เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างวางมาดจริงจัง แล้วเดินเข้าลานบ้านไปด้วยมือกับเท้าที่ไปทางเดียวกัน
กู้เจียวถือผลไม้เคลือบน้ำตาลเข้าไป
ห้องของหญิงชราอบอุ่นที่สุด พวกเขาต่างมานั่งกันอยู่ตรงนี้หมด
เซียวลิ่วหลังเดินเข้าห้องหนังสือมาด้วยมือและเท้าที่ไปทางเดียวกัน ส่วนกู้เจียวถือผลไม้เคลือบน้ำตาลมา
เสี่ยวจิ้งคงเห็นเข้าพลันตาโตวาววับทันที “เจียวเจียวรีบมาผิงไฟเร็วเข้า!”
“อืม” กู้เจียวส่งผลไม้เคลือบน้ำตาลที่น้ำตาลน้อยให้เขาไม้หนึ่ง อีกไม้ส่งให้หญิงชรา แล้วหยิบอีกสองไม้ที่น้ำตาลปกติให้กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่น
กู้เหยี่ยนกินได้ไม่มากหรอก เขาเอาแต่เล่นเสียส่วนใหญ่
หญิงชราจ้องผลไม้เคลือบน้ำตาลของกู้เหยี่ยน น้ำตาไหลออกมาจากมุมปากอย่างไม่ระงับเลยสักนิด…
“พี่เขยเล่า” กู้เหยี่ยนถาม
“พี่เขยเจ้าไปห้องหนังสือแหน่ะ” กู้เจียวบอก
หญิงชราออกคำสั่งกับเสี่ยวจิ้งคงว่า “ไปตามพี่เขยเจ้ามาผิงไฟเร็ว”
“ไม่ต้องหรอก” กู้เจียวเอ่ยขึ้น “เขาไม่หนาวสักนิด ฝ่ามือมีแต่เหงื่อ”
คนพูดไม่ได้ตั้งใจ คนฟังเก็บมาใส่ใจ หินหนึ่งก้อนเกิดเป็นคลื่อนน้ำนับพันได้!
ฝ่ามือมีแต่เหงื่อ
เจ้ารู้ได้อย่างไร
พวกเจ้าสองคนจับมือกันรึ
เสี่ยวจิ้งคงพลันรู้สึกว่าผลไม้เคลือบน้ำตาลไม่หอมหวานอีกต่อไป!
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงมาจากเก้าอี้ตัวน้อย แล้วจับมือเจียวเจียวเอาไว้โดยไม่ลังเล!
พี่เขยนิสัยไม่ดีจับมือเจียวเจียว ข้าก็จะจับมือเจียวเจียวเช่นกัน!
กู้เหยี่ยนจับมืออีกข้างของกู้เจียวไว้
เณรน้อยจับมือ ข้าก็อยากจับมือเช่นกัน!
กู้เจียวสีหน้ามึนงง “…”
กู้เสี่ยวซุ่นสีหน้ามึนงงยิ่งกว่า “…”
หญิงชรามีความสุขยิ่ง ในที่สุดเด็กสองคนที่ไม่เคยมีความรักก็มีการพัฒนาแล้ว นับวันรอหลานชายของนางได้เลย
เพื่อรำลึกถึงการพัฒนาอันสำคัญครั้งนี้ หญิงชราจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะแอบกินผลไม้เชื่อมให้น้อยลง
นางเซ้นไหว้ผลไม้เชื่อมที่เหลือเอาไว้ไปไว้บนตู้ตรงหัวเตียง
มีความสุข
แสงจันทราดุจดั่งสายน้ำ
ผลไม้เชื่อมเม็ดนั้นที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องจนโปรงใส่แวววาวเป็นประกายอยู่บนตู้ตรงหัวเตียง
หญิงชราเดินไปแล้ว
หญิงชราเดินกลับมาแล้ว
นางคว้าผลไม้เชื่อมยัดใส่ปากไปแล้ว!
ช่างเรื่องรำลึกนั่นไปก่อน! มีความสุขก็ต้องเฉลิมฉลองสิ! เฉลิมฉลองก็ต้องกิน!
หิมะตกหนักลงมาตลอดทั้งคืน ฟากฟ้าใกล้สว่างแล้วจึงได้หยุดลง
เมื่อกู้เจียวตื่นขึ้นมายามเช้า ภายในลานบ้านเต็มไปด้วยหิมะเกลื่อนกลาดเต็มลาน
ยังดีที่เมื่อคืนย้ายไก่ ย้ายหมาไปที่ห้องเก็บฟืนแล้ว มิฉะนั้นให้พวกมันคงนอนเหน็บหนาวอยู่ข้างนอกทั้งคืนเกรงว่าคงได้กลายเป็นแท่งหวานเย็นน้อยๆ ไปกันหมดแน่
กู้เจียวไปเรือนหลังเพื่อตักน้ำจากบ่อมาล้างหน้าล้างตา วันนี้เหน็บหนาวเพียงนี้ แต่บ่อน้ำกลับอบอุ่น
เมื่อล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย นางก็ไปห้องครัวเพื่อทำอาหาร ทว่าน่าประหลาดใจที่พบว่ามีคนนั่งก่อไฟอยู่หน้าเตาก่อนแล้ว
นั่นคือเซียวลิ่วหลัง
“เช้าเพียงนี้เชียวรึ”
แม้ว่าเมื่อก่อนก็ตื่นเช้าเช่นกัน แต่ไม่ได้เช้าถึงเพียงนี้
“อืม” เซียวลิ่วหลังหันกลับไปมองนาง
ยามนี้ฟากฟ้ายังไม่ทันสาง โดยรวมแล้วเป็นแสงหิมะที่สะท้อนจากบนพื้น ในห้องครัวจุดตะเกียงน้ำมันเอาไว้ ในเตามีแสงไฟสว่างไสวส่งออกมาสาดส่องบนใบหน้าหล่อเหลาดุจหยก ทำให้รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นเอกบุรุษที่แท้จริง
ของสวยงาม มองดูแล้วอารมณ์ล้วนเบิกบาน
กู้เจียวหยักยกมุมปากขึ้น “เมื่อคืนนอนหลับสบายหรือไม่”
“ดีสิ เจ้าล่ะ” เขาถาม
กู้เจียวเดินมารับฟืนมาจากมือเขา “อ้อ ก็ดี เจ้าไปอ่านหนังสือเถอะ ข้าทำเอง”
ห้องครัวไม่กว้างมาก ทั้งสองคนเบียดอยู่ด้วยกันจึงค่อนข้างคับแคบ เขาได้กลิ่นหอมจ้าวเจี่ยว สดชื่นบนร่างนาง รวมถึงกลิ่นอายของสตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของนางด้วย
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าห้องครัวค่อนข้างร้อน เขาไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะลุกขึ้นออกไปข้างนอก
ทว่าเขากลับไม่ได้กลับไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือ แต่ไปหยิบพลั่วเริ่มทำความสะอาดกองหิมะภายในลานบ้าน
เพียงไม่นาน เสี่ยวจิ้งคงก็ตื่น
เขาตื่นเป็นคนที่สามของบ้านมาโดยตลอด เขาเห็นหิมะเต็มลานบ้านก็ตื่นเต้นร้องเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมา!
“โฮะ โฮะ โฮะ ข้าคือคนป่าข้างบ้าน คว้าจับเถาวัลย์แห่งความรัก…”
กู้เจียวพัดพัดในมือ แทบจะทำเอาห้องครัวทั้งห้องไฟลุกท่วมแล้ว!
นี่ก็รับได้หรือ!
“อย่าตักไป! อย่าตักไป! อย่าเพิ่ง! ข้าจะเล่นหิมะ!”
เขากระโจนเข้าไปในหิมะทั้งตัว
โยวโจวไม่มีหิมะมากมายเพียงนี้ ไม่แปลกที่เขาจะตื่นเต้นเช่นนี้
เด็กน้อยร่างกายแข็งแรง ไม่กลัวหนาว เซียวลิ่วหลังไม่ได้สนใจเขา ปล่อยให้เขาเล่นอยู่ในกองหิมะไป
ส่วนตัวเองหยิบพลั่วไปตักหิมะตรงระเบียงทางเดิน ใช้พลั่วตักหิมะนอกห้องของหญิงชรากับกู้เหยี่ยนก่อน
ราวๆ สองเค่อต่อมา กู้เสี่ยวซุ่นก็ตื่น
เสี่ยวจิ้งคงยามนี้เล่นเสียจนตัวเองกลายเป็นจิ้งคงมนุษย์หิมะตัวน้อยไปเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าของเขามีแต่หิมะ ขนตายาวมีหิมะเกราะพราวเต็มไปหมด
เสี่ยวจิ้งคงนั่งอยู่บนพื้นหิมะ กะพริบตาปริบๆ มองเขา “พี่เสี่ยวซุ่นจะเล่นด้วยกันหรือไม่”
“อืม เอาสิ” กู้เสี่ยวซุ่นเดินมาหา จับเสี่ยวจิ้งคงกลิ้งขลุกๆ กลายเป็นก้อนหิมะน้อย!
เสี่ยวจิ้งคงถูกจับกลิ้งเสียจนลิ้นห้อย กลอกตาขาวทันที!
ไอ้หยา! ข้าให้เจ้าเล่นหิมะ! ไม่ได้ให้เจ้ามาเล่นข้านะ!
กู้เสี่ยวซุ่น แต่ว่าเล่นเจ้าค่อนข้างสนุกทีเดียว
สองคนพี่น้องเล่นกันอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งกู้เจียวออกมาหิ้วก้อนเสี่ยวจิ้งคงน้อยที่เหงื่อผุดเต็มหน้า เปียกซ่กไปทั้งนอกทั้งในกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
กู้เสี่ยวซุ่นเองก็หยิบพลั่วเหล็กมาด้ามหนึ่งเพื่อช่วยเซียวลิ่วหลังตักหิมะ
มื้อเช้านี้เป็นน้ำแกงผักใส่ฟองเต้าหู้กับหมั่นโถวเนื้อแกะ เพื่อชดเชยความเสียใจที่เสี่ยวจิ้งคงไม่อาจกินเนื้อแกะได้ กู้เจียวจึงทำซาลาเปารูปกระต่ายน้อยให้เขาหนึ่งเข่งคนเดียวเลย เจ้ากระต่ายน้อยสีขาวราวหิมะตัวพอดีคำ เสี่ยวจิ้งคงพลันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเสือน้อยที่โหดเหี้ยมมากตัวหนึ่งทีเดียว!
หมู่นี้เสี่ยวจิ้งคงชื่นชอบเสือเป็นพิเศษ แถมกู้เจียวยังเย็บกระเป๋าหนังสือสะพายสองไหล่ลายเสือน้อยให้เขาอีกด้วย
หลังจากทานข้าวแล้ว เขารีบสะพายกระเป๋าหนังสือเสือน้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนด้วยพละกำลังของเสือ โดยมีพี่เขยนิสัยไม่ดีไปเป็นเพื่อน!
กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นก็ไปสำนักบัณฑิตชิงเหอด้วยเช่นกัน
คนทั้งครอบครัวทยอยกันออกจากบ้าน หญิงชราจึงได้ตื่นขึ้นอย่างเกียจคร้าน
กู้เจียวตักน้ำแกงเนื้อแกะให้นางชามหนึ่ง “ท่านป้า อีกเดี๋ยวข้าจะไปโรงหมอนะ หากท่านอุดอู้ละก็…”
“ไม่อุดอู้หรอก เจ้าไปเถอะ” หญิงชราโบกมือ
กู้เจียวมองหญิงชราด้วยความแปลกใจ จากที่รู้จักหญิงชรามา เป็นไปได้มากที่นางกำลังเล่นลูกไม้อะไรแผลงๆ อีกแล้ว “ท่าน…จะทำอะไรอีกแล้วรึ”
หญิงชราดื่มน้ำแกงเนื้อแกะคำหนึ่ง “ไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย!”
ก็แค่เรียกป้าเจ็ดป้าแปดในตรอกมาเล่นไพ่สักสองสามวัน ซ้ำยังชนะอยู่ไม่น้อยด้วย ฮิๆ
กู้เจียวรู้สึกว่าหญิงชราบ้านตนช่างมีฝีมือเสียจริง ไปไหนก็อยู่ว่างๆ ไม่ได้ ซ้ำยังสามารถเข้ากับคนอื่นได้ดี ฝีมือการคบค้าสมาคมสุดยอด ทิ้งนางกับเซียวลิ่วหลังห่างไปหลายขุม
หญิงชราเป็นคนฉลาด กู้เจียวไม่ห่วงว่านางจะโดนคนหลอกหรอก ควรจะห่วงคนอื่นมากกว่า ไม่รู้ว่าโชคร้ายมากมายเพียงใด จึงได้มาอยู่ในเงื้อมมือหญิงชราบ้านนาง
“เอาร่มไปด้วยนะ” หญิงชราเอ่ย
กู้เจียวหันกลับมายิ้มให้ “เจ้าค่ะ”
เดิมทีกู้เจียวไม่กลัวฝนตกแดดออกอยู่แล้ว ทว่าประสบการณ์ที่มีคนเอ่ยเตือนนางให้พกร่มนั้น…ช่างสดใหม่ยิ่ง
นางพกร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งมาด้วยอย่างเบิกบานใจ แล้วบอกลาหญิงชราไปโรงหมอ
เถ้าแก่รองเป็นคนทำจริง ระยะเวลาไม่ถึงสิบวัน โรงหมอก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว การจัดแต่งโถงใหญ่ทำให้คนมองดวงตาเป็นประกาย ทั้งคงเอกลักษณ์ของโรงหมอเดิมไว้ ทั้งยังเพิ่มโต๊ะแนะนำตัวใหม่อีกหนึ่งตัว
เถ้าแก่รองยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่า คนที่รู้วิธีคัดแยกผู้ป่วยที่นี่จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นมิใช่หรือ”
ถูกแล้ว นางเคยพูดเช่นนี้ อาจจะเป็นความสามารถของเถ้าแก่รองที่ทำออกมาได้อย่างซาบซึ้งถึงแก่น
เถ้าแก่รองนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “เมื่อวานข้าลอบเข้าไปสืบมาอย่างเงียบๆ แล้ว ข้างร้านพวกเราเป็นสำนักศึกษาสตรีจริงๆ ! พื้นที่ว่างด้านหลัง สำนักศึกษาล้วนสร้างได้พอสมควรแล้ว ข้าว่าคงได้เปิดทำการไล่ๆ กันกับพวกเราแน่! ถึงตอนนั้นคนของพวกเขามากขึ้นแล้ว พวกเราก็สามารถได้บรรยากาศชื่นมื่นไปด้วย!”
“ใครจะเปิดทำการก่อนก็เหมือนกันนั่นแหละ” กู้เจียวยังไงก็ได้ นางเปิดโรงหมอโดยศักยภาพที่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยกำลังใครมาช่วย
ทั้งสองพูดคุยกันหน้าประตู จู่ๆ ก็มีบุรุษคนหนึ่งมาหา ท่าทางน่าจะอายุสามสิบห้าสามสิบหก เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา มาดน่าเกรงขาม ไม่เหมือนประชาชนคนธรรมดาทั่วไป
อีกฝ่ายมองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เถ้าแก่โรงหมอของพวกเจ้าล่ะ”
เถ้าแก่รองเอ่ยว่า “พวกเราเอง”
“ทั้งสองคนเลยรึ” อีกฝ่ายมองกู้เจียวอย่างฉงนสงสัย เห็นได้ชัดว่ากู้เจียวอายุยังน้อยไม่พอ ยังเป็นสตรีด้วย แถมยังไม่ได้สวมใส่ชั้นดีอะไร
สายตาเช่นนี้กู้เจียวเห็นมามากแล้ว กู้เจียวชำเลืองมองเขานิ่งๆ “มีธุระอะไร”
บุรุษคนนั้นยังนับได้ว่าเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง “ข้าอยากจะถามว่า พวกเจ้าจะปล่อยให้ข้าเช่าโรงหมอได้หรือไม่”
“หมายความว่าอย่างไร” เถ้าแก่รองถาม
บุรุษคนนั้นยิ้มเอ่ยเสียงเรียบว่า “ขอบอกพวกเจ้าตามตรงว่า ข้าอยู่ข้างๆ โรงหมอพวกเจ้า พวกเรากำลังทำสำนักศึกษาสตรีไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้ยินมาบ้างหรือไม่ ไท่จื่อเฟยเป็นคนเปิด ยามนี้ยังมีห้องดนตรีอีกแห่งที่ยังไม่มีตำแหน่งที่เหมาะสม ดังนั้นข้าอยากเช่าหน้าร้านของพวกเจ้า สร้างเป็นห้องดนตรี”
“ไม่ได้ปล่อยเช่า” กู้เจียวปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
บุรุษคนนั้นมองกู้เจียวด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าตัวเองอุตส่าห์เอ่ยถึงไท่จื่อเฟยแล้ว อีกฝ่ายยังสามารถไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้อีก
อันที่จริงสำนักสตรีนั้นไท่จื่อเฟยไม่ได้เป็นคนเปิด แต่เป็นดำริของฝ่าบาท หากแต่ปีนั้นจวงไทเฮาเสนอขึ้นมาว่าจะทำสำนักศึกษาสตรี แต่ฝ่าบาทไม่ได้ยืนอยู่ข้างจวงไทเฮา ยามนี้จะมากลืนน้ำลายตัวเองก็คงจะดูไม่ดีเท่าใด จึงถือโอกาสยืมใช้ชื่อไท่จื่อเฟยทำไปเสียเลย
หรือว่าตนต้องยกฝ่าบาทออกมาพูดจึงจะสามารถข่มเด็กสาวนางนี้ได้
บุรุษคนนั้นเอ่ยว่า “ราคาตกลงกันได้”
กู้เจียวเอ่ยว่า “ต่อให้ตกลงกันไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่ปล่อยเช่าก็คือไม่ปล่อยเช่า”
บุรุษคนนั้นรอยยิ้มเย็นเยียบขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว “พวกเจ้าก็หาเช่ากับคนอื่น ไม่ใช่เพราะอยากเปิดโรงหมอรึ พวกเจ้าปล่อยร้านนี้ให้ข้าเช่าเสีย ข้าจะไปหาหน้าร้านที่ดีกว่านี้มาให้พวกเจ้าแทน”
กู้เจียวใช้แววตามองคนโง่คนหนึ่งมองเขา “ในเมื่อมีหน้าร้านที่ดีกว่าอยู่แล้ว เหตุใดพวกเจ้าไม่ใช้เสียเองเล่า”
บุรุษคนนั้นถูกตอกหน้ากลับไป
เถ้าแก่รองรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา จึงไม่อยากจะเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย แต่เขาก็รู้นิสัยของกู้เจียวดี สำหรับนางจำต้องตามน้ำไป ท่านตวาดเจ้าก็มีเหตุผลแล้วรึ
บุรุษคนนั้นเห็นว่าพูดกับกู้เจียวไม่ได้ความ จึงมองไปยังเถ้าแก่รองที่อยู่ด้านข้างแทน แล้วยิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องทะเลาะกันเสียเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย พอข้าหาเจ้าของบ้านเจอ บอกให้เขาไม่ต้องปล่อยหน้าร้านให้พวกเจ้าเช่าแล้ว พวกเจ้าก็ต้องย้ายออกไปกันอยู่ดีมิใช่หรือไร”
เถ้าแก่รองแบมือ “นั่นมันก็ไม่แน่นะ”
บุรุษคนนั้นขมวดคิ้ว เหตุใดคนนี้ก็ดื้อดึงไปด้วยเล่า
“พวกเจ้า…”
เขายังไม่ทันเอ่ยจบ ก็ถูกเสียงเย็นเยียบสายหนึ่งเอ่ยขัดขึ้น
“พวกเจ้าอะไร ไม่ได้ยินคนเขาปฏิเสธเจ้าหรือไร ทำไมรึ เจ้ายังอยากใช้ชื่อไท่จื่อเฟยมาข่มขู่ชาวบ้านอีกรึ จากที่ข้ารู้มา ไท่จื่อเฟยไม่ได้มอบอำนาจให้พวกเจ้าเอาอำนาจนางมารังแกคนอื่นเช่นนี้นะ!”
บัณฑิตน้อยคนนั้นอีกแล้ว วันนี้สวมชุดสีฟ้าตลอดร่าง บุคลิกลักษณะองอาจผึ่งผาย
บุรุษสีหน้าพลันเปลี่ยน “ตู้…ตู้…”
บัณฑิตน้อยคนนั้นถือพัดเคาะหน้าผากเขา “ตู้อะไร หากยังกล้าอ้างชื่อไท่จื่อเฟยมาข่มขู่ชาวบ้านอีก ข้าจะไปฟ้องร้องเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท!”
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ!” บุรุษคนนั้นไม่กล้าหายใจแรงสักเฮือก เขาวิ่งหนีเผ่นแนบไม่ทิ้งฝุ่นไปทันที
เถ้าแก่รองส่งสายตาให้กู้เจียว
ใครรึ
กู้เจียว ไม่รู้จัก
เถ้าแก่รอง “…”
บัณฑิตน้อยมาหยุดตรงหน้ากู้เจียว ถือพัดตบกับฝ่ามือตัวเองไปมา ก่อนจะยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แม่นาง พวกเราได้พบกันอีกแล้ว! เจ้าวางใจได้ เมื่อครู่ข้าสั่งสอนเขาไปแล้ว! ต่อไปเขาไม่กล้ามารบกวนพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ!”
กู้เจียว “อ้อ ขอบคุณมาก”
บัณฑิตน้อยตอแยกู้เจียว นางเดินวกไปวนมาด้านหลังกู้เจียว “เจ้าอย่าไปฟังเขาเลย เขาไม่ได้มาทำธุระเพราะคำสั่งของไท่จื่อเฟยหรอก ไท่จื่อเฟยไม่มีทางมีคนรับใช้ไร้มารยาทเช่นนี้!”
กู้เจียวกระจ่างแจ้งทันที อีกฝ่ายยังคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่นางไม่ได้รู้สึกอะไรต่อไท่จื่อเฟย
ตัวเองเองชอบก็พอแล้ว เหตุใดต้องให้ทุกคนทั่วทั้งแผ่นดินชอบไท่จื่อเฟยด้วยเล่า
นี่ไม่ใช่เรื่องที่แปลกมากหรอกหรือ
บัณฑิตน้อยเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าก็เห็นแล้ว ความสามารถข้าร้ายกาจยิ่ง! ขอแค่เจ้าก็ชอบไท่จื่อเฟยเช่นกัน พวกเราสองคนก็สามารถมาเป็นสหายกันได้แล้ว! ข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง”
ในฐานะที่ตนเป็นผู้สนับสนุนอันดับหนึ่งของไท่จื่อเฟย เป้าหมายของนางก็คือการเผยแผ่ชื่อเสียงอันดีงามของไท่จื่อเฟย ให้คนได้เข้าใจและชื่นชอบไท่จื่อเฟยมากยิ่งขึ้น!
กู้เฟยกลับไม่เปลืองน้ำลายกับนางอีก หอบกล่องเครื่องมือขึ้นชั้นสอง บัณฑิตน้อยต้องการจะตามไป ขณะนั้นเองพวกนายช่างซ่อมแซมก็มาหา
บัณฑิตน้อยถูกพวกนายช่างมากั้นขวางไว้ รอพวกนายช่างทั้งหมดออกไปก็ไม่เห็นเงากู้เจียวแล้ว
บัณฑิตน้อยกลับไม่ท้อแท้ นางเท้าเอวเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ข้า ตู้เสี่ยวอวิ๋น จะต้องทำให้เจ้าเข้าใจและเปลี่ยนแปลงให้ได้!”
แม่นางเหยาไม่ได้มาหลายวันแล้ว
กู้เจียวนับวันดู ยาแก้ซึมเศร้าของนางใกล้จะหมดแล้ว น่าจะมาเอาใหม่ได้แล้วนี่นา
กู้เจียวกำลังสงสัยอยู่เลย พอกลับมาถึงบ้านก็เห็นแม่นมฝางรออยู่ในห้องโถงด้วยสีหน้าลังเลใจ
หญิงชราไปนอนกลางวันแล้ว
แม่นมฝางเห็นกู้เจียวก็รีบค้อมกายคำนับให้ “คุณหนูใหญ่”
กู้เจียวมองด้านหลังนาง “ฮูหยินเล่า ไม่ได้มากับเจ้าด้วยหรือ”
“บ่าวมาหาคุณหนูใหญ่เองเจ้าค่ะ ฮูหยินนาง…” แม่นมฝางลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็บอกออกมา “หมู่นี้ฮูหยินไม่ค่อยดีเลย นางไม่อยากให้คุณหนูใหญ่กับท่านชายน้อยเป็นห่วง จึงไม่ยอมมาหา”
กู้เจียวพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ข้าจะไปจวนโหวกับเจ้าเอง”