สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 139 พบ
กู้เจียวเป็นคนตรงไปตรงมามากคนหนึ่ง นางรับอะไร ไม่รับอะไร ทุกอย่างล้วนเปิดเผยออกมาหมด
ปมในใจตอนเด็กของนางหมดหนทางจะคลี่คลาย ดังนั้นนางยังไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกับแม่นางเหยาอย่างสบายอกสบายใจได้ ทว่านี่กลับไม่ได้หมายความว่านางจะไม่สนใจใยดีอีกฝ่าย
นางยังคงไปมาหาสู่กับแม่นางเหยาด้วยสถานะของหมอ การไปเยี่ยมที่บ้านครานี้ก็นับว่าไปเพื่อรักษาให้แม่นางเหยา คนอื่นต่างไม่เกี่ยวกับนาง นางไม่อยากทั้งยังไม่จำเป็นต้องสนใจด้วย
แม่นมฝางรู้จักนิสัยของคุณหนูใหญ่ดี รู้ว่านางไม่มีทางไปคารวะเหล่าฮูหยินกู้หรือคนอื่นๆ ในจวนแน่นอน เพื่อไม่ให้เป็นขี้ปากชาวบ้าน แม่นมฝางจึงไม่ได้บอกเรื่องที่คุณหนูใหญ่กลับมาที่จวน
บ่าวรับใช้เฝ้าประตูยังนึกว่าแม่นมฝางแค่เชิญหมอคนหนึ่งมาที่จวนด้วยซ้ำ
กู้เจียวนั่งอยู่บนรถม้าเข้าเรือนชั้นในของจวนโหวไป
สิ่งแรกที่นางเห็นคือเรือนเจิ้งหมิง แม่นมฝางบอกว่านั่นเป็นเรือนของฮูหยินคนก่อน เหมือนว่าฮูหยินคนเก่าตายจากไปแล้วก็ยังคงว่างอยู่ ซื่อจื่อหรือองค์ชายจะไปนั่งเล่นในนั้นเป็นครั้งคราวเพื่อระลึกถึงฮูหยินคนเก่า
“เรือนของฮูหยินอยู่ตรงนั้นเจ้าค่ะ” แม่นมฝางชี้สุดปลายถนนสายเล็กพลางบอก
“ห่างไกลถึงเพียงนี้เชียวรึ” กู้เจียวเอ่ย
แม่นมฝางทอดถอนใจ
นั้นน่ะสิ จะไม่ห่างไกลได้หรือไร
ตำแหน่งในจวนของฮูหยินกระอักกระอ่วนนัก เหล่าฮูหยินกู้ไหนเลยจะให้นางเข้ามาพักในเรือนที่ทำเลดีๆ กัน
แต่เรือนของอนุหลิงกลับอยู่ใกล้ ใกล้กับจวนท่านโหวกู้ที่สุดเลยด้วย
ถึงขั้นที่ว่า ตราบใดที่ท่านโหวกู้จะไปหาแม่นางเหยาก็ยังต้องผ่านเรือนของอนุหลิง
เพื่อให้อนุหลิงได้รับความโปรดปราน เหล่าฮูหยินกู้ยังคำนวณแล้วคำนวณอีก
น่าเสียดายที่ต่อให้ท่านโหวกู้เดินผ่านเรือนอนุหลิงทุกวัน ก็ไม่เข้าไปในห้องนางเลยสักครั้ง
“นั่นคือเรือนของอนุหลิงเจ้าค่ะ” แม่นมฝางชี้ไปที่เรือนหลังหนึ่งพลางบอก
กู้เจียวกวาดตามองจากในหน้าต่างรถแบบผ่านๆ เรือนและศาลาเต็มไปด้วยดอกไม้ ทว่าสดชื่นและสง่างามยิ่ง
กู้เจียวไม่ได้สนใจมากนัก
ก็แค่อนุคนหนึ่งเท่านั้น
ไม่ได้สลักสำคัญอะไร
รถม้าจอดลงตรงหน้าเรือนของแม่นางเหยา แม่นมฝางจะไปเอาเก้าอี้เตี้ยมาให้กู้เจียว แต่กู้เจียวกระโดดโหยงลงจากรถมาเสียแล้ว
แม่นมฝางตกอกตกใจยกใหญ่ คุณหนูบ้านไหนจึงได้ม้าดีดกระโหลกเพียงนี้
“ฮูหยินอยู่ด้านในหรือ” กู้เจียวถาม
“อ๊ะ เจ้าค่ะ” แม่นมฝางได้สติขึ้น “ยามนี้น่าจะอยู่ในเรือนอุ่น ฤดูหนาวในหมู่บ้านไม่ได้หนาวถึงเพียงนี้ ฮูหยินจึงไม่ค่อยคุ้นเคย วันๆ เอาแต่อยู่ในเรือนอุ่นเจ้าค่ะ”
กู้เจียวเดินตามแม่นมฝางเข้ามาในเรือนอุ่นหรือเรือนหน่วนเก๋อที่ใช้หลบหนาว
เรือนอุ่นอบอุ่นกว่านอกห้องมากจริงๆ แต่ก็ค่อนข้างอุดอู้ด้วยเช่นกัน
แม่นางเหยาปิดเปลือกตาเอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้หวายของเรือนอุ่น ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนางก็โบกมือโดยไม่ต้องคิดทันที แล้วเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “บอกว่าข้าไม่กิน พวกเจ้าออกไปกันเสีย”
เพิ่งจะเอ่ยจบ ครู่ต่อมาก็ไร้ปฏิกิริยาใด
นางสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ จึงหันหน้ามามองทางหน้าประตู หลังจากเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยนั้นแล้ว แววตาอันมืดมนของนางพลันเป็นประกายขึ้นทันที “เจียวเจียวรึ”
นางรีบลุกขึ้นมานั่งจากเก้าอี้หวาย จัดผมจัดเผ้าและเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างตระหนกทำอะไรไม่ถูก คล้ายว่าไม่อยากเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าลูกสาว
กู้เจียวไม่สนใจเรื่องนี้ นางเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายแม่นางเหยา “ฮูหยินสบายดีหรือไม่”
แม่นางเหยามองแม่นมฝางแวบหนึ่ง แม่นมฝางแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดออกจากห้องไป แม่นางเหยาถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้าไม่เป็นไร แม่นมฝางน่ะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ซ้ำยังเรียกเจ้ามาที่จวนนี่อีก…”
จวนโหวไม่ใช่สถานที่ดีเด่อะไร ตัวนางเองโดนคนกลอกตาใส่ก็ช่างมันเถิด แต่นางไม่อยากให้ลูกสาวต้องมาได้รับความไม่เป็นธรรมตามไปด้วย
“นั่งสิ” แม่นางเหยาจูงมือลูกสาวให้นั่งลงบนเก้าอี้
กู้เจียวถอดกระเป๋าสะพายหลังออกมาวางบนโต๊ะกลมตรงหน้า จากนั้นนางก็ยื่นมือไปหาแม่นางเหยา “ข้าขอดูหน่อย”
แม่นางเหยาส่งข้อมือให้กู้เจียว กู้เจียวจับชีพจรให้อย่างละเอียด สีหน้าตั้งอกตั้งใจอยู่เล็กน้อย “หลายวันมานี้ไม่ได้กินยาให้ดีใช่หรือไม่”
แม่นางเหยายิ้มแหย “ลืมกินอยู่…ครั้งสองครั้ง”
“ครั้งเดียวหรือสองครั้ง” กู้เจียวถาม
เรื่องตรวจโรคนั้น กู้เจียวเคร่งครัดมากทีเดียว
แม่นางเหยานึกดูดีๆ อย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “สองครั้ง”
“ไม่ได้มากกว่านี้แน่นะ” กู้เจียวมองตานาง
“อืม ข้าแน่ใจ” แม่นางเหยาส่ายหน้า ครั้งแรกคือตอนกลับมาจากตรอกปี้สุ่ย เพิ่งทราบว่ากู้เหยี่ยนถูกกู้เฉิงหลินรังแก นางพุ่งไปที่เรือนของกู้เฉิงหลินโวยวายอยู่ยกใหญ่ อาจเพราะโวยวายจนเหนื่อยล้าเกินไป กลับมาก็อ่อนเพลียอยากจะนอนแล้ว
คืนนั้นจึงไม่ได้กินยา
ครั้งที่สองตอนเช้านอนเพลินไปหน่อย ลืมกินยาอีก
มีแค่สองครั้งนี้เท่านั้น ไม่มีมากกว่านี้แล้ว
“ทำไมรึ” แม่นางเหยาถาม
กู้เจียวบอกไปตามความจริงว่า “สัญญาณชีพของท่านไม่ค่อยดี หากลืมแค่ครั้งสองครั้ง เช่นนั้นก็เท่ากับว่ายามีปัญหา และได้รับการกระทบกระเทือนที่รุนแรงเกินไป”
อันที่จริงแม่นางเหยาก็สัมผัสได้เช่นกัน อาการป่วยของนางใกล้จะหายแล้วแท้ๆ แต่วันนั้น…นึกไม่ถึงว่านางจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ เกือบจะทะเลาะกับกู้เฉิงหลินให้พังพินาศด้วยกันไปเสียแล้ว
หากไม่ใช่เพราะกู้ฉังชิงแย่งกริชจากนางไป นางคงได้ฆ่ากู้เฉิงหลินแล้วปลิดชีพตัวเองตามแน่แล้ว
จะว่าไปแล้ว กริชเล่มนั้นยังอยู่ที่กู้ฉังชิงอยู่เลย เขารู้เจตนารมณ์ของตน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ด่าทอใส่ตนเลย…
แม่นางเหยาคิดไปมากมายในเวลาเพียงชั่วครู่
กู้เจียวมองออกว่านางคิดมากขึ้นกว่าเดิม จึงเอ่ยกับนางว่า “บางทีอาจเกิดการดื้อยาขึ้น ข้าจะเปลี่ยนยาให้ใหม่สองอย่างก็แล้วกัน”
แม่นางเหยาเอ่ยว่า “เอาสิ”
กู้เจียวไม่ได้เปิดกล่องยามานานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เปิดกล่องยานั้นเป็นตอนที่เย็บแผลให้แก่ชายคนนั้น ตอนนั้นตนยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลย
ทว่านางจำได้ลางๆ ว่าในกล่องยาใบน้อยมียาแก้ซึมเศร้าเพิ่มมาใหม่
ยามนี้กู้เจียวได้จงใจปิดบังกล่องยาของนางต่อหน้าแม่นางเหยาแล้ว แม่นางเหยาเห็นของด้านในเป็นครั้งคราวก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็แค่คิดว่าตนความรู้น้อย ไม่เคยได้สงสัยอะไรมาก่อน
กู้เจียวเอายาแก้ซึมเศร้าออกมา แล้วบอกวิธีการกินกับแม่นางเหยาว่า “ต่อไปนี้ห้ามลืมกินยาอีกนะ”
แม่นางเหยาส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะไม่ทำแล้ว”
ตอนนั้นกำลังโมโหเลือดขึ้นหน้า บ้าเสียจนเสียสติไป แต่ต่อมาได้สติขึ้นมาแล้วนางจึงได้เสียใจในภายหลัง หากนางตกตายไปด้วยกันกู้เฉิงหลินจริงๆ นางก็จะไม่ได้พบหน้าลูกแฝดทั้งสองของนางอีกแล้ว
เจียวเจียวกับเหยี่ยนเอ๋อร์ก็จะเหมือนพี่น้องสามคนนั้นที่กลายเป็นเด็กไม่มีแม่
นางจะทำเช่นนั้นกับพวกเขาสองคนพี่น้องได้อย่างไร
กู้เจียวอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับแม่นางเหยาพักหนึ่ง ซ้ำยังดูแม่นางเหยากินยากับตา ยาหนึ่งชนิดในนั้นคือยาระงับประสาท เพียงไม่นานแม่นางเหยาก็เอนกายพิงเก้าอี้หวายหลับไป
กู้เจียวหยิบผ้าห่มมาคลุมให้นาง
แม่นมฝางได้ยินด้านในไร้เสียงเคลื่อนไหวจึงผลักประตูเข้าไปเบาๆ มองแม่นางเหยาที่หลับผล็อยไปแวบหนึ่ง ก่อนจะถามกู้เจียวเสียงเบาว่า “ฮูหยินหลับแล้วหรือเจ้าคะ”
กู้เจียวพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
แม่นมฝางก็เดินตามออกมาเช่นกัน นางงับประตูปิดลง “คุณหนูใหญ่ อาการของฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
กู้เจียวบอกว่า “อาการนางกลับตาลปัตรไปแล้ว กลับกลายเป็นเหมือนตอนอยู่ที่หมู่บ้าน”
แม่นมฝางเอ่ยด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาว่า “หนักถึงเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
กู้เจียวเอ่ยว่า “ไม่ได้หนักเหมือนตอนแรกๆ หรอก”
แม่นมฝางสีหน้าพลันคลายลง แล้วเอ่ยอย่างเศร้าโศกว่า “หลังจากที่ฮูหยินกลับมา อันที่จริงอารมณ์ก็ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ตัวเองเอาแต่ข่มไว้ จนกระทั่งวันนั้นที่ไปตรอกปี้สุ่ย พอทราบว่าท่านชายน้อยโดนคนรังแก ฮูหยินก็ระเบิดอารมณ์ออกมาจนหมด วิ่งไปเรือนท่านชายสามโวยวายอยู่ยกใหญ่…ซ้ำฮูหยินยังเอากริชไปด้วย…ตอนนั้นฮูหยินบอกว่า ‘ทุกคนไม่ต้องมีชีวิตอยู่มันแล้ว หากจะตายก็ตายไปด้วยกันนี่แหละ’…บ่าวตกอกตกใจยกใหญ่ทีเดียว โชคดีที่ไม่ได้เกิดเรื่องใดขึ้น มิฉะนั้น…”
กู้เจียวกลับไม่รู้ว่ายังมีเรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่ง
ดูจากที่แม่นมฝางเล่ามา แม่นางเหยาในตอนนั้นเสียสติไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
แม่นางเหยาอยากจะสั่งสอนกู้เฉิงหลินน่ะไม่แปลกหรอก แต่คิดจะฆ่ากู้เฉิงหลินซ้ำยังจะตกตายไปกับเขานั้นทำให้คาดคิดไม่ถึงเลย
อย่างแรกเดือดดาลจากความเป็นแม่ อย่างหลังคือการฆ่าตัวตายของผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า
แม่นางเหยารักษาอาการให้นิ่งมาเนิ่นนานเพียงนี้ แค่ขาดยาไปสองครั้งเท่านั้นเอง ไม่ควรจะเป็นถึงขนาดนี้ได้นะ
“หมู่นี้ฮูหยินกินอะไรบ้าง” กู้เจียวเริ่มสอบถามเรื่องอาหารการกินของแม่นางเหยาอย่างละเอียด
แม่นมฝางบอกก่อนอย่างละเอียดว่า “…ตั้งแต่เกิดเรื่องของแม่นมฟาง บ่าวก็ใส่ใจเรื่องอาหารการกินของฮูหยินเป็นพิเศษ”
“รวมถึงมื้อเช้าด้วยหรือไม่ เอามาให้ข้าดูหน่อย” กู้เจียวเอ่ย
“เจ้าค่ะ! ฮูหยินไม่ค่อยอยากอาหาร กินไปนิดเดียวก็ไม่กินแล้ว วางไว้หลังตู้กับข้าวหมด” แม่นมฝางไปยกอาหารเช้าของแม่นางเหยามา
กู้เจียวไล่ตรวจดูทีละอย่าง
แม่นมฝางเอ่ยว่า “มีปัญหาใดหรือไม่เจ้าคะ”
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่มี พาข้าไปดูห้องนอนฮูหยินหน่อย”
“เจ้าค่ะ!” แม่นมฝางพากู้เจียวไปที่ห้องของแม่นางเหยา กู้เจียวตรวจดูทุกซอกทุกมุม ทั้งกำยานเอย สบู่เอย เครื่องประทินโฉมเอยล้วนไม่ปล่อยให้รอดสายตา
“ไม่มีปัญหาเหมือนกัน” นางบอก
หรือว่าตนจะคิดมากเกินไป
กู้เจียวเอ่ยขึ้นอีกว่า “ฮูหยินได้ไปมาหาสู่หรือสนิทสนมกับใครหรือไม่“
แม่นมฝางส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินไม่ออกจากเรือนเลยเวลาอยู่ที่จวน พอออกไปก็ไปแค่ไปเยี่ยมคุณหนูใหญ่กับท่านชายน้อย เมื่อก่อนท่านโหวมาหาเป็นประจำ แต่หมู่นี้งานที่กรมโยธายุ่งมาก ท่านโหวมักจะไม่กลับจวนติดต่อกันหลายวัน”
กู้เจียวลูบคาง
แม่นมฝางยังคงหลงเหลือความหวาดกลัวต่อเรื่องที่แม่นางเหยาโดนวางยาพิษที่หมู่บ้านอยู่ “คุณหนูใหญ่ ท่านกำลังสงสัยว่าฮูหยินจะโดนคน…ทำร้ายหรือเจ้าคะ”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “จากการตรวจดูในตอนนี้ไม่มีหลักฐานที่เกี่ยวข้องเลย”
เพิ่งจะเอ่ยจบก็มีลมหนาวพัดโชยมาหอบหนึ่งระคนด้วยเกล็ดหิมะและกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายมีคล้ายไม่มีปะปนลอยมาด้วย
กู้เจียวหันไปมองตามทิศทางที่ลมโชยมา “ทางกำแพงนั่นคืออะไรรึ”
แม่นมฝางร้องอ้อก่อนบอกว่า “ห้องบุปผาเจ้าค่ะ ตอนอากาศดีๆ ประตูห้องบุปผาจะเปิดเอาไว้ ทั่วเรือนจึงสามารถได้กลิ่นดอกไม้ เมื่อวานหิมะตก กลัวว่าดอกไม้ด้านในจะแข็งตายจึงได้ปิดประตูไว้”
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าจะไปดูที่ห้องบุปผาหน่อย”
แม่นมฝางลังเล
“ทำไมรึ” กู้เจียวถาม
แม่นมฝางเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ห้องบุปผาเป็นของเหล่าฮูหยิน คนอื่นไม่อาจเข้าไปโดยพลการได้ เอาอย่างนี้ รอให้ข้าเรียกคุณหนูรองมาหา ให้นางพาคุณหนูใหญ่เข้าไปด้วยกันก่อ…”
นางยังไม่ทันเอ่ยจบ กู้เจียวก็พลิกตัวข้ามกำแพงไปแล้ว
แม่นมฝาง “…”
ณ เรือนซงเฮ่อ
เหล่าฮูหยินกู้เอนพิงเตียงอรหันต์ ทอดถอนใจออกมาเป็นพักๆ
หมู่นี้นางอารมณ์ไม่ค่อยดี สาเหตุมาจากหลานชายสุดที่รักของนางยังโดนขังอยู่ในหอบรรพชน
อากาศเหน็บหนาวเพียงนี้ เมื่อคืนหิมะก็ตกหนักถึงเพียงนั้น ในหอบรรพชนกลายเป็นถ้ำน้ำแข็งไปตั้งนานแล้ว
สงสารหลานชายนางนักไม่เคยลำบากลำบนเพียงนี้มาตั้งแต่เด็กจนโตเลย
พอเช้าตรู่นางก็ให้คนไปดักกู้ฉังชิง บอกให้เขาปล่อยตัวน้อง
กู้ฉังชิงปล่อยน่ะปล่อยแล้ว แต่ปล่อยแค่กู้เฉิงเฟิงออกมาคนเดียว
เหล่าฮูหยินกู้โมโหเสียจนปวดหัว ใช้กำยานที่อนุหลิงส่งมาให้จึงได้รู้สึกดีขึ้นมาก
ทว่าในใจนางยังคงกลัดกลุ้มอยู่
“โตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ไม่เห็นย่าอย่างข้าอยู่ในสายตาแล้ว”
“ไหนเลยจะกล้าเจ้าคะ ซื่อจื่อก็ทำเพื่อสั่งสอนท่านชายทั้งสองให้อยู่ในระเบียบวินัยเท่านั้นเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ทุบขาให้นางเอ่ยประจบเอาใจ
เหล่าฮูหยินว่าซื่อจื่อได้ แต่พวกนางที่เป็นคนรับใช้กลับไม่มีสิทธิ์ทำ
เหล่าฮูหยินกู้เอ่ยขึ้นอีกว่า “เรื่องนี้จะว่าไปแล้ว คนแรกที่ต้องโมโหก็คือพ่อของพวกเขานั่นแหละ! สู่ขอใครไม่ขอ ดันไปขอตัวซวยกลับจวนมา! ตัวเองไร้ประโยชน์ ลูกที่เกิดมาก็ไร้ประโยชน์! ซ้ำยังรังแกลูกชายของเมียคนแรกอีก! ข้าดูแล้วพวกเขาคิดจะทรยศชัดๆ !”
“ท่านระงับโทสะก่อนเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
เหล่าฮูหยินกู้แค่นเสียงเอ่ยว่า “คลอดลูกแค่นี้ก็ทำลูกหายได้ หากพวกเขาสามคนยังมีแม่อยู่ ไหนเลยจะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นได้”
คนรับใช้ไหนเลยจะกล้าเอ่ยรับบทสนทานาต่อ ทำได้เพียงกัดฟันทนฟังเท่านั้น
เหล่าฮูหยินกู้กัดฟันเอ่ยว่า “เด็กสาวที่โตในชนบท ก็จะไม่มีการศึกษา! และหยาบคายเป็นนิสัย!”
สาวใช้ก้มหน้าลงต่ำ ฟังความลับมากมายเช่นนี้จะโดนปิดปากหรือไม่…
“อย่าให้นางตกอยู่ในเงื้อมมือข้าเชียวนะ มิฉะนั้นข้าจะสั่งสอนนางให้เห็นดีแน่!” เหล่าฮูหยินกู้ยิ่งพูดก็ยิ่งเดือด “แม่นางเหยาล่ะ เรียกนางมาหาข้าซิ!”
กลับจวนมานานเพียงนี้แล้ว วันๆ เอาแต่บอกว่าป่วยอยู่ในห้อง ไม่รู้จักมาทำตามธรรมเนียมเสียบ้าง
สาวใช้คนสนิทข้างกายเกลี้ยกล่อมนางว่า “เหตุใดท่านต้องลดตัวไปเสวนากับนางด้วยเจ้าคะ ฟาดไปกระบองหนึ่งก็ไม่ได้ฟังแม้ครึ่งประโยคหรอกเจ้าค่ะ!”
นี่เป็นความจริงอย่างยิ่ง เหล่าฮูหยินกู้ไม่ใช่ว่าไม่เคยให้แม่นางเหยามาทำตามมารยาท แต่ไม่ว่าเหล่าฮูหยินจะเล่นงานนางอย่างไร นางก็เหมือนหุ่นไม้ไร้วิญญาณ เหล่าฮูหยินรู้สึกเหมือนต่อยหมัดใส่ปุยนุ่น
จนสุดท้าย แม่นางเหยาจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่เหล่าฮูหยินไม่รู้ สรุปคือตัวนางเองโมโหหนักนัก
“ดอกโบตั๋นในห้องบุปผาบานหรือยัง” แม่บ้านคนสนิทถามสาวใช้ที่ทุบขาให้เหล่าฮูหยินกู้
สาวใช้เอ่ยว่า “บานแล้วเจ้าค่ะ เมื่อเช้าข้าไปดูมา บานเสียงามนัก!”
เหล่าฮูหยินกู้ชื่นชอบดอกไม้ โดยเฉพาะดอกโบตั๋น กู้จิ่นอวี้ที่ชอบดอกโบตั๋นเช่นกันก็เพราะได้รับอิทธิพลจากเหล่าฮูหยินกู้
น่าเสียดายที่ดอกโบตั๋นมีฤดูกาลของมัน เพื่อให้พวกมันได้เบ่งบานในฤดูหนาวเช่นกัน เหล่าฮูหยินกู้ไม่เสียดายว่าต้องจ่ายเงินทองมากเท่าใดสร้างห้องบุปผาเรือนอุ่นหลังคาแก้วไว้หลังหนึ่ง
สาวใช้เอ่ยต่อว่า “ข้าจะไปอุ้มมาให้เหล่าฮูหยินดูสักสองสามกระถาง”
เหล่าฮูหยินกู้โบกมือ “อากาศเหน็บหนาวเพียงนี้ อุ้มออกมาจะไม่แข็งตายรึ ช่างเถอะ ข้าไปดูเองดีกว่า”