สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 141 เป็นแม่ต้องเข้มแข็ง
พอคายออกมาแล้วอนุหลิงก็ดูเหมือนจะได้สติกลับมา นางแย้มยิ้มแหย ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากแล้วเอ่ย “ข้าแพ้เกสรดอกไม้น่ะ”
กู้ฉังชิงสีหน้าไม่เปลี่ยน “อนุแพ้เกสรดอกไม้เหตุใดไม่บอกแต่แรกเล่า ถ้าอย่างนั้นคงไม่ให้อนุไปดูแลห้องบุปผาแทนท่านย่าหรอก”
อนุหลิงอ้าปากพะงาบๆ จู่ๆ ก็ไร้คำจะเอ่ยแก้ต่าง
“เอาออกไปหน่อย” กู้ฉังชิงเอ่ยกับบ่าวรับใช้
บ่าวรับใช้หยิบขนมจานนั้นออกไป อนุหลิงเห็นบ่าวรับใช้คนนั้นเดินไปพลางหยิบขนมชิ้นนั้นยัดเข้าปากไปด้วยอย่างชัดเจนเต็มตา
ขนตาอนุหลิงสั่น
“อนุ” กู้ฉังชิงเรียกนาง
อนุหลิงดึงสายตากลับมา นางซ่อนมือที่กำแน่นไว้ใต้แขนเสื้อ พร้อมกับแย้มยิ้มเอ่ย “มีอะไรรึ”
กู้ฉังชิงมองนางพลางเอ่ย “เมื่อครู่ข้าบอกว่า ในเมื่ออนุแพ้เกสรดอกไม้ เช่นนั้นต่อไปนี้ห้องบุปผาของท่านย่าก็จะไม่ให้อนุไปจัดการดูแลแล้ว ข้าจะบอกท่านย่าเอง”
อนุหลิงหลุบตาลงพลางยิ้มเอ่ย “ข้าจะระวังหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
กู้ฉังชิง “เหตุใดต้องให้อนุเสี่ยงอันตรายด้วยเล่า”
อนุหลิงแย้มยิ้ม เหลือบตาขึ้นมองกู้ฉังชิง “…ในเมื่อซื่อจื่อเอ่ยเช่นนี้ เช่นนั้นก็ได้ แต่หากว่าคนสวนทำไม่ได้ ก็อย่าลืมบอกข้าก็แล้วกัน”
“อืม” กู้ฉังชิงพยักหน้านิ่งๆ
อนุหลิงลุกขึ้นยืน “นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าก็จะกลับเช่นกัน”
นางเดินไปแล้วสองสามก้าว จู่ๆ กู้ฉังชิงพลันเรียกนางไว้ “ท่านยายสบายดีหรือไม่”
“หืม” อนุหลิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มมองกู้ฉังชิงแวบหนึ่ง “นางร่างกายกระดูกกระเดี้ยวไม่เลว แต่ค่อนข้างคิดถึงหลานชายทั้งสามไม่น้อย หากซื่อจื่อมีเวลาก็พาเฉิงเฟิงกับเฉิงหลินกลับไปเยี่ยมนางหน่อย”
“ข้าจะไป” กู้ฉังชิงบอก
อนุหลิงไม่ได้รั้งอยู่นาน นางหันหลังออกจากเรือนไป
ระหว่างทางกลับผ่านห้องบุปผา นางเห็นพวกบ่าวรับใช้กับสาวใช้กำลังเก็บกวาดห้องบุปผาอยู่
“ถอนดอกไม้สีขาวเหล่านั้นให้หมด!”
“ดอกไม้สวยๆ เช่นนี้ ถอนไปน่าเสียดายนะเจ้าคะ”
“เหล่าฮูหยินล้ม ซื่อจื่อพาลมาเดือดดาลที่นี่ น่าสงสารดอกไม้พวกนี้นัก”
“พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดกันแล้ว ระวังลอยเข้าหูเหล่าฮูหยินกับซื่อจื่อเข้า”
สันหลังนางค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นเป็นระลอกๆ
“อนุ ท่านเป็นอะไรรึ มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่เจ้าคะ สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” สาวใช้ด้านข้างถามขึ้น
อนุหลิงกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นเบาๆ “ข้าไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร…”
ยามราตรีมาถึง เมืองหลวงหิมะตกลงมาแล้ว แต่ไม่หนักเท่าเมื่อวาน
คนทั้งครอบครัวปิดประตูกินอาหารกันอยู่ในห้อง
กู้เจียวทำน้ำแกงแครอทเนื้อตากแห้งและน้ำแกงเห็ดเต้าหู้ รวมถึงผัดกับข้าวอีกสองสามอย่าง
อาหารรสเลิศมื้อใหญ่วันนี้ที่เสี่ยวจิ้งคงได้รับคือลูกชิ้นเนื้อมังสวิรัติ เมล็ดข้าวโพดพริกหยวก ข้าวผัดกุนเชียงมังสวิรัติ น้ำแกงไข่กุ้งมังสวิรัติ หมู่นี้เขาเพิ่งผ่านแบบทดสอบการการกินไข่ จึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก!
ทุกๆ วันต้องขอน้ำแกงไข่สุดรักของเจียวเจียว!
ถ้วยชามของเขาสวยงามมาก ระดับความประณีตในการจัดจานก็ดีกว่าอาหารจานอื่นหลายชั้นเลย
เขากินอย่างเอร็ดอร่อย ซ้ำยังไม่ลืมยืดอกน้อยๆ เอียงหัวเอียงคอ อวดท่าอวดทางหน้าเหม็นให้คนอื่นๆ ดูด้วย
เพราะเซียวลิ่วหลังเริ่มสอนเสริมให้หลินเฉิงเยี่ยอีกครั้ง ดังนั้นทุกเที่ยงเขาจึงไม่กลับมากินข้าว จะกินที่กั๋วจื่อเจียนกับเสี่ยวจิ้งคงแทน
ข้าวเย็นกลายเป็นช่วงเวลาที่เป็นระเบียบเรียบร้อยที่สุดของวันสำหรับครอบครัว
และหลังจากมื้อเย็นทุกครั้ง ในฐานะหญิงชราของครอบครัวใหญ่จะไถ่ถามทุกคนว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ทุกครั้งล้วนเป็นเสี่ยวจิ้งคงที่จะรายงานยาวที่สุด เขาถนอมคำพูดดั่งทองคำตอนอยู่ที่โรงเรียน เป็นเด็กที่เย็นชาอย่างมาก พอกลับมาบ้านก็พูดเจื้อยแจ้ว สดใสมีชีวิตชีวาซ้ำยังวาดมือวาดไม้ทำท่าทางอีก และต้องได้รับคำชมจากกู้เจียวก่อนถึงจะหยุด
วันนี้ทุกคนต่างไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อถึงตากู้เจียว นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องแม่นางเหยา
นางไม่ได้บอกว่าแม่นางเหยาโดนทำร้ายที่จวนโหว รวมถึงแม่นางเหยาเกือบตกตายไปพร้อมกันกับกู้เฉิงหลิน เล่าแค่ว่าอยากจะรับแม่นางเหยามาอยู่ด้วย
ทุกคนต่างชอบแม่นางเหยากันมาก จึงไม่ได้มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้
ปัญหาเดียวที่มีก็คือห้อง
กู้เหยี่ยนเสนอตัวว่าเขาสามารถย้ายไปเบียดกับกู้เสี่ยวซุ่นได้ แล้วยกห้องให้แม่นางเหยา
กู้เสี่ยวซุ่นพยักหน้าหงึกหงัก เตียงของเขาใหญ่มาก สองคนนอนได้
“พรุ่งนี้…ข้ากับเจ้าไปด้วยกันรึ” เซียวลิ่วหลังถามกู้เจียว
เขาหมายถึงเรื่องไปรับแม่นางเหยาด้วยกัน
กู้เจียวส่งเสียงอ้อพร้อมกับถามเขา “พรุ่งนี้เจ้าไม่มีเรียนรึ”
เซียวลิ่วหลัง “…มีเรียน”
เช้าตรู่วันต่อมา กู้เจียวก็ไปจวนโหว
แม่นางเหยาตื่นแต่เช้า กำลังนั่งกินมื้อเช้าในเรือนอุ่น
เห็นลูกสาวมาหา นางดีใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็กังวลใจอยู่เล็กน้อย นางจับมือลูกสาวให้นั่งลง “กินข้าวหรือยัง”
“กินแล้ว” กู้เจียวเอ่ย “ข้ามารับท่านออกจากจวน”
แม่นางเหยาชะงัก
กู้เจียวหยุดเว้นจังหวะแล้วเอ่ยต่อ “ท่าน…ยินดีจะย้ายออกไปอยู่กับพวกเราหรือไม่”
แม่นางเหยาฝันยังอยากจะได้ยินประโยคนี้เลย ฝันยังฝันเห็นตัวเองอยู่ด้วยกันกับลูกสาวเลย
ทว่า ไม่ใช่ตอนนี้
แม่นางเหยายื่นมือออกไปลูบผมลูกสาว “มาหาตั้งแต่เช้าเพียงนี้ ก็เพื่อมารับข้าออกจากจวนหรือ”
กู้เจียวพยักหน้าไปตามตรง
แม่นางเหยามองลูกสาวอย่างรักใคร่ “เจียวเจียว…ยอมรับข้าได้แล้วจริงๆ หรือ”
กู้เจียวเงียบ
นางไม่รู้
คนที่นางไม่ยอมรับมาแต่ไหนแต่ไรหาใช่แม่นางเหยาไม่ แต่เป็นแม่
แต่แม่นางเหยาก็เป็นแม่ของนางเช่นกัน
แม่นางเหยากุมมือลูกสาวเอาไว้ ก่อนเอ่ยอย่างอบอุ่นอ่อนโยน “เจียวเจียวยอมถอยให้เป็นเพราะห่วงข้า ข้าซึ้งใจนัก และดีใจมาก แต่ตอนนี้ข้า…ยังย้ายออกไปอยู่ด้วยกันกับเจียวเจียวไม่ได้”
“อนุผู้นั้นมีบางอย่างแปลกๆ” กู้เจียวบอก
เป็นเพราะห่วงนางจริงๆ ด้วยสินะ แม่นางเหยาทั้งชื่นใจทั้งขมขื่นลูบแก้มลูกสาว “แม่รู้ แม่รับมือได้ เจ้าเชื่อแม่สักครั้งนะ”
หากเป็นเมื่อก่อน ทราบว่าตนจะได้ย้ายไปอยู่ด้วยกันกับลูกสาว นางคงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่เรื่องห้องบุปผานางรู้แล้ว
นางคิดอยู่ทั้งคืน คิดว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรดี
นางย้ายออกไป หรือว่าจะรั้งอยู่ในจวนต่อดี
เมื่อก่อนที่นางไม่สู้ เป็นเพราะนางรู้สึกว่าตัวเองไม่เห็นความหวัง เหยี่ยนเอ๋อร์ของนางพร้อมจะจากโลกนี้ไปได้ตลอดเวลา นางเพียงอยากปกป้องดูแลเหยี่ยนเอ๋อร์ให้ดี อยู่ห่างจากจวนโหวเข้าไว้
ทว่ายามนี้นางไม่ได้คิดเช่นนี้แล้ว
คนบางคนแค่หลีกเลี่ยงไปก็เปล่าประโยชน์ พวกนางสามคนแม่ลูกแม้แต่มีชีวิตอยู่ยังผิดเลย
ที่สำคัญก็คือ นางรู้ว่าลูกสาวโดนโบยเพื่อช่วยนางแล้ว
หากไม่ใช่เพราะนางไร้สามารถ ลูกสาวก็คงไม่ต้องโดนโบยเพราะนางหรอก!
นางเจ็บปวดใจแสนสาหัสนัก!
ลูกสาวทำเพื่อนางมามากเกินไปแล้ว นางไม่อาจเอาแต่หลบอยู่หลังลูกสาวและกลายเป็นภาระของลูกได้
นางหวังว่าจะมีสักวันที่ตัวเองจะย้ายออกไป ไม่ใช่ไปเพราะนางอับจนหนทางแล้ว
และนางยังหวังด้วยว่าหากมีวันใดนางไม่อยู่แล้ว ลูกสาวนึกถึงแม่ของตัวเองขึ้นมา ไม่ใช่แม่ที่จนมุมไร้ทางสู้ อ่อนแอน่าสงสาร แต่เป็นแม่ที่ทำให้นางสามารถภาคภูมิใจได้
นี่เป็นแรงกำลังที่ลูกสาวที่มอบให้แก่นาง
“หากเป็นไปได้ แม่ก็ไม่อยากให้เจ้าเก่งกาจเพียงนี้เลย”
นางไร้ความสามารถเกินไป จึงได้ทำให้ลูกสาวจำต้องเข้มแข็งขึ้นมา
นางไม่อาจเป็นเช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว
นางอยากปกป้องลูกสาวของตัวเอง
กู้เจียวไม่อาจเข้าใจอารมณ์เช่นนี้ได้ แต่นางเคารพในการเลือกของอีกฝ่าย “หากเจ้าต้องการอะไร ที่บ้านต้อนรับเจ้าเสมอ”
หลังจากกู้เจียวกลับไป แม่นางเหยาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ปักปิ่นดอกไม้ไหวทองคำสองอัน แล้วตรงไปคารวะเหล่าฮูหยินกู้ที่เรือนซงเฮ่อ
ได้ยินว่าแม่นางเหยามาคารวะตน เหล่าฮูหยินกู้เกือบจะสำลักตาย “เจ้าว่าใครมานะ”
สาวใช้บอก “ฮูหยินเจ้าค่ะ ฮูหยินมา นางมาคารวะท่านเจ้าค่ะ!”
ตั้งแต่แม่นางเหยากลับจวนมาก็เอาแต่ป่วยไม่มาคารวะเหล่าฮูหยินเลย วันนี้เกิดอะไรขึ้น ตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกรึ
เหล่าฮูหยินกู้อารมณ์ไม่สุนทรีเป็นอย่างยิ่ง ประการแรกกู้เฉิงหลินยังโดนขังอยู่ในหอบรรพบุรุษ ประการที่สองเมื่อวานมีโจรน้อยมาทำให้ตกใจจนเกิดอุบัติเหตุที่ห้องบุปผาอีก แถมหลานชายคนโตก็ยังจับโจรไม่ได้อีก
นางมีชีวิตมาค่อนชีวิตแล้วยังไม่เคยโชคร้ายขนาดนี้มาก่อน
“ซี๊ด…” นางเจ็บปวดไปทั่วร่าง “ให้นางรออยู่ข้างนอก บอกว่าข้ายังไม่ตื่น”
แม่นางเหยาตากแดดเกือบครึ่งชั่วยาม ไม่พร่ำบ่นเลยแม้แต่คำเดียว
เหล่าฮูหยินกู้หัวเราะเอ่ย “เอ๊ะ นางเปลี่ยนนิสัยแล้วรึ เมื่อสิบปีก่อนนางได้ชักสีหน้าใส่ข้าสะบัดตูดหนีไปนานแล้ว!”
สุดท้ายเหล่าฮูหยินกู้ก็ยังคงเรียกนางเข้ามา
แม่นางเหยามาเองไม่พอ ยังเอาขนมที่ทำเองมาให้ด้วย
เหล่าฮูหยินกู้ยิ้มเย็น “เกิดอะไรขึ้นรึ คิดจะวางยาพิษข้าหรือไร”
“ลูกไม่กล้าเจ้าค่ะ” แม่นางเหยาเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ
แม้แต่น้ำเสียงยังเปลี่ยนไป แฝงไว้ด้วยความประจบเอาใจเอาไว้ด้วย
เหล่าฮูหยินกู้อดมองแม่นางเหยาอีกสองสามหนไม่ได้
เมื่อก่อนแม่นางเหยาเย็นชามากนัก ท่าทางไม่หือไม่อือ เหล่าฮูหยินกู้มองแล้วขัดหูขัดตา วันนี้เสื้อผ้าก็เปลี่ยน แถมยังปักปิ่นดอกไม้ไหวด้วย ในที่สุดก็มีความตระหนักของสตรีชั้นสูงแห่งจวนโหวบ้างแล้ว
สตรีน่ะ ต้องแต่งตัวให้ตัวเองงดงามฉูดฉานหรูหรา จากนั้นก็ทำตัวถ่อมตนต่อหน้าแม่สามี
ในที่สุดก็เรียกได้ว่าเหล่าฮูหยินกู้ไม่มีความรู้สึกเหมือนกำปั้นทุบปุยนุ่นแล้ว ได้มองแม่นางเหยาแล้วรื่นหูรื่นตาขึ้นมาบ้างอย่างหาได้ยากยิ่ง
“ท่านแม่ ลองชิมดูสิเจ้าคะ” แม่นางเหยายกขนมให้ด้วยสองมือ ท่าทางเคารพนอบนอบอย่างยิ่ง
เหล่าฮูหยินกู้หยิบมาชิมคำหนึ่งอย่างเรียบเฉย
จากนั้นเหล่าฮูหยินกู้ก็ตกใจ
มองไม่ออกเลยว่า ฝีมือการครัวของสะใภ้จิตตกนางนี้จะดีเยี่ยมถึงเพียงนี้ ดีเสียยิ่งกว่าครัวในจวนมากนัก!
แม่นางเหยาเอ่ยอย่างเอาใจ “ข้าก็ฝึกมานานมากเช่นกันจึงได้กล้าเอามามอบให้ท่านแม่แสดงความกตัญญู และหวังว่าท่านแม่จะไม่รังเกียจเจ้าค่ะ”
คนทั้งห้องต่างตกตะลึงจนกรามแทบร่วง พวกนางไม่ได้หูฝาดกระมัง นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากฮูหยินจริงๆ รึ
อย่ามองแค่ว่าแม่นางเหยามีชาติกำเนิดไม่สูง นางนั้นหยิ่งทระนงมาก ไม่เคยยินดีจะอ่อนน้อมด้วยเหมือนอย่างอนุหลิง
ท่าทีที่เหล่าฮูหยินกู้มีต่อแม่นางเหยาเป็นประโยชน์มาก ผนวกกับนางได้รับบาดเจ็บจึงไม่เจริญอาหาร แต่ขนมของแม่นางเหยาพอจะกินได้
แม่นางเหยาเอ่ยเสียงนุ่ม “ท่านแม่ ข้านวดให้ท่านดีกว่าเจ้าค่ะ รอยช้ำบนร่างท่านนวดให้กระจายก็หายแล้ว บนตัวเหยี่ยนเอ๋อร์ก็มักจะเจ็บปวดทรมาน ข้าเคยนวดให้เขา หมอหลวงต่างชมว่าข้านวดดี”
เหล่าฮูหยินกู้เจ็บปวดร่างกายแสนสาหัส ได้ยินนางบอกเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครึ่งหนึ่ง สุดท้ายก็ยังให้นางลองดู
หลายปีมานี้แม่นางเหยาดูแลกู้เหยี่ยนด้วยแรงกายแรงใจตัวเอง นางนวดได้ดีมากจริงๆ ชำนาญเสียยิ่งกว่าสาวใช้ในจวนมากนัก
หมอของจวนก็นวดเป็นเช่นกัน แต่อย่างไรเสียชายหญิงก็ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน
บริเวณที่แม่นางเหยานวดให้ นางรู้สึกว่าไม่ได้ปวดถึงขนาดนั้นแล้วจริงๆ
ใจนางก็สบายขึ้นเช่นกัน ท่าทางสะใภ้น้อยของแม่นางเหยานี้ เรียกได้ว่าทำให้นางเกิดความรู้สึกได้วางท่าใหญ่โตของแม่สามีขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้ว
“ท่านแม่ เรื่องของหลินเอ๋อร์ข้าคิดดูแล้วเจ้าค่ะ”
พอได้ยินแม่นางเหยายังกล้าเอ่ยถึงกู้เฉิงหลินขึ้นมาอีก สีหน้าเหล่าฮูหยินกู้พลันเคร่งขรึมทันที
กู้เฉิงหลินถูกลูกสาวนางต่อยถึงขนาดนี้แล้ว ซ้ำยังถูกเจ้าใหญ่ขังไว้ในหอบรรพบุรุษเพราะเรื่องของกู้เหยี่ยนอีก
นางกลับมีหน้ามาเอ่ยถึงอีกรึ!
แม่นางเหยาเอ่ย “รอให้คืนนี้ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ข้าจะไปหาซื่อจื่อ ให้เขาปล่อยหลินเอ๋อร์ออกมา ข้าจะพูดกับเขาเองเจ้าค่ะ เหยี่ยนเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”
ความจริงคือกระโดดโลดเต้นได้ตั้งนานแล้ว ตรงกันข้ามกู้เฉิงหลินกลับถูกกู้เจียวต่อยเสียจนช้ำไปหมด จวบจนยามนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้เลย
สีหน้าโกรธขึ้งของเหล่าฮูหยินกู้จึงค่อยๆ คลายลง ตัวเองรังเกียจลูกแม่นางเหยาจริง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปล่อยหลานชายสุดที่รักออกมา
คำพูดของคนอื่นกู้ฉังชิงไม่มีทางฟัง เจ้าของเรื่องไม่ไต่ถามแล้ว กู้ฉังชิงก็ไม่อาจจับกู้เฉิงหลินเอาไว้ไม่ปล่อยหรอก
เหล่าฮูหยินกู้เอ่ยอย่างระแวดระวัง “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงมาประจบเอาใจข้าล่ะ”
แม่นางเหยาหลุบตาลงพร้อมกับทอดถอนใจ “ลูกคิดได้แล้วเจ้าค่ะ หลายปีมานี้ลูกไม่ได้ทำหน้าที่ของลูกสะใภ้เลย ทำให้ท่านแม่รำคาญใจ ต่อไปเหยี่ยนเอ๋อร์กับเจียวเจียวโตแล้ว อย่างไรเสียก็หวังว่าท่านจะปกป้องคุ้มครอง”
ขอโทษนะ เจียวเจียว แม่เอาเจ้ามาร้องขอความสงสารเสียแล้ว
คำเยินยอสรรเสริญใครๆ ก็ชอบฟัง
เหล่าฮูหยินกู้หันหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยกลับมา “เจ้าตระหนักรู้ได้ก็ดี”
ทว่าอนุหลิงมาคารวะเหล่าฮูหยินกู้ พอเข้าห้องมาก็เห็นภาพแปลกตาอย่างเหล่าฮูหยินกู้กับแม่นางเหยาปรองดองกลมเกลียวกัน
สีหน้าอนุหลิงพลันตกตะลึง แทบจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ในขณะที่นางกำลังจะคำนับนั้น แม่นางเหยาก็หันมาทำสัญญาณมือให้เบาเสียงกับนาง
แม่นางเหยาค่อยๆ ลุกขึ้น ดึงผ้าห่มคลุมให้เหล่าฮูหยินกู้ แล้วปล่อยม่านลงเบาๆ
อนุหลิงอ้าปากค้าง อยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ เหล่าฮูหยินกู้หลับไปแล้ว นางจะเสียงดังให้อีกฝ่ายตื่นไม่ได้
“ข้าค่อยมาปรนนิบัติท่านแม่ใหม่” แม่นางเหยาบอกคนรับใช้ในห้องจบก็หันหลังจากไป ในขณะที่เดินเฉียดไหล่อนุหลิงนั้น นางก็เอ่ยเสียงเรียบ “อนุก็กลับก่อนดีกว่ากระมัง อย่ารบกวนท่านแม่พักผ่อนเลย”
นางพูดถึงขนาดนี้แล้ว อนุหลิงยังจะละล้าละลังไม่กลับได้อีกรึ
อนุหลิงรู้สึกแปลกใจยิ่ง วันนี้แม่นางเหยาคล้ายจะต่างจากเมื่อก่อนมากทีเดียว
แต่ตรงไหนที่เปลี่ยนไปกันนะ
ดูเหมือนจะเป็นการแต่งตัว แถมคล้ายยังมีสง่าราศีขึ้นด้วย
อนุหลิงเดินออกจากเรือนซงเฮ่อตามหลังแม่นางเหยามา
เพิ่งจะออกจากเรือนมา จู่ๆ แม่นางเหยาก็หันมาหา แล้วยกมือสะบัดตบหน้าอนุหลิงฉาดหนึ่ง!
ได้ยินเพียงเสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังกังวาน อนุหลิงถูกตบจนนิ่งชะงักไป