สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 146 สาแก่ใจนัก
สองแม่ลูกจ้องเขม็งไปที่ซองยาประหลาด ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“นี่คืออะไรรึ” แม่นางเหยาถาม
หญิงชราทำท่าเอี้ยวตัวก่อนจะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ “ยาเบื่อหนู”
แม่นางเหยาถึงกับสำลัก
กู้เจียวเองก็เกือบสำลักเช่นกัน เหตุใดหญิงชราถึงพกของอันตรายเช่นนี้ติดตัวมาด้วย!
“ท่านเอามาจากที่ไหน” กู้เจียวหันไปถามหญิงชรา
หญิงชราโดนจ้องจนเริ่มรู้สึกละอายใจ กระแอมในลำคอก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็ข้าแอบ อืม นั่นแหละ…ก็ยาเบื่อหนูไง!”
แม้หญิงชราจะจงใจพูดไม่ชัด แต่กู้เจียวกลับเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง
นางบอกว่า เอาไปขายต่อ
ช่วงหลายวันก่อน กู้เจียวพบว่าในบ้านมีหนูบุก จึงใช้สารหนูทำยาเบื่อหนูขึ้นมา
ต่อมาก็พบว่ายาเบื่อหนูหมดแล้ว แล้วก็ไม่มีหนูมากวนใจแล้ว
กู้เจียวก็นึกว่าที่ยาเบื่อหนูหมดเพราะถูกหนูกินไปจนหมด กลายเป็นว่าหญิงชราแอบเอายาของนางไปขายอีกแล้วสินะ
ยาห้ามเลือดที่ท่านเคยแอบเอาไปขายมันทำกำไรได้ไม่พอสินะ
ก็เลยขายยาเบื่อหนูเพิ่มด้วย
หญิงชรากระแอมอีกครั้ง “ยานั่นดีมากเลย เพื่อนบ้านแถวนั้นมีติดบ้านกันหมดเลยล่ะ”
กู้เจียวนึกในใจ ที่ท่านเอาไปกระจายเยอะขนาดนี้เชียว
กู้เจียวเริ่มกระดกมุมปากขึ้นอีกครั้ง
“ไอ้หยา! หอมกลิ่นอะไรเนี่ย! ทำกับข้าวกันอยู่หรือ ข้าขอเข้าไปดูหน่อยซิ!” หญิงชราตีหน้าซื่อเดินหนีออกไป
แม่นางเหยาเริ่มลุกขึ้นตาม “นั่นสิ หอมจังเลย ข้าขอไปดูด้วยคน!”
แม่นางเหยาลุกขึ้นไปพร้อมกับหยิบซองยาเบื่อหนูไปด้วย
กู้เจียวจ้องซองยาเขม็ง นึกในใจ เอาของแบบนั้นเข้าห้องครัวได้ที่ไหนกัน!
แม่นางเหยาหันมายิ้มแห้งๆ “ข้าจะเอาไปทิ้งน่ะ!”
“อ้อ” กู้เจียวทำทีเป็นเชื่อที่แม่นางเหยาพูด
แม่นางเหยาเดินตามหญิงชราไปยังจุดที่เงียบและไม่มีใครเดินผ่าน!
แม่นางเหยาชูซองยาขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “สิ่งนี้มันใช้อย่างไรรึ”
หญิงชราใช้วิธีทำมือโดยการทำท่าใส่ยา จากนั้นทำท่าเงยหน้าดื่มน้ำ แล้วหรี่ตามองแม่นางเหยา “เข้าใจที่ข้าทำท่าไหม พวกเจ้าต้องอยู่กันแค่สองต่อสองนะ ห้ามมีคนอื่นอยู่ด้วย!”
“แล้วข้าจะไล่พวกบ่าวออกไปอย่างไร” แม่นางเหยาเอ่ยถามอย่างงุนงง
อนุหลิงมักมีบ่าวรับใช้อยู่ข้างกายตลอด
“เจ้าสลัดพวกบ่าวออกไปไม่ได้หรอก เจ้าต้องหาวิธีทำให้นางไล่บ่าวของนางออกไปเอง” หญิงชราเอ่ยจบ ก็เข้าไปกระซิบเบาๆ ข้างหูแม่นางเหยา “เข้าใจรึยัง”
“ล้ำลึกนัก ช่างล้ำลึกเหลือเกิน!” แม่นางเหยาอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ
หลังจากที่แม่นางเหยาได้แผนการมาแล้ว ก็รีบกลับเรือนทันควัน
พอเห็นแม่นางเหยาเนื้อเต้นเดินออกไป หญิงชราจู่ๆ เกิดนึกสงสัยตัวเอง “เมื่อก่อนข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่ ถึงมีความคิดเจ้าเล่ห์เพทุบายเกิดขึ้นในหัวได้ตลอด”
แม่นางเหยากลับจวนพร้อมกับยาเบื่อหนู
นางรู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน
แต่พอนึกถึงตอนที่ตัวเองได้รับความอัปยศอดสูมานักต่อนัก ความรู้สึกกลัวก็พลันหายไป
แผนการที่หนึ่ง แม่นางเหยาต้องล่องูออกจากถ้ำเสียก่อน
อนุหลิงเป็นคนระแวดระวัง เรียกให้นางออกมาเพียงลำพังคงทำได้ยาก นอกเสียจากว่า อนุหลิงกำลังจะทำเรื่องที่มิอาจให้ใครมาเห็นได้ อย่างเช่น เกี้ยวพานท่านโหวกู้
แม่นางเหยากุเรื่องขึ้นมาว่าท่านโหวกู้อยู่ที่ด้านหลังเขา และเพื่อให้ดูสมจริง แม่นางเหยาต้องหลอกให้ท่านโหวกู้ไปที่หลังเขาจริงๆ
พออนุหลิงรู้ข่าวว่าท่านโหวกู้อยู่หลังเขา ก็รีบแต่งตัว แล้วมุ่งหน้าไปยังหลังเขาเพียงผู้เดียว และพยายามสร้างสถานการณ์ให้ดูมีความชวนฝันน่าหลงไหล “แหม บังเอิญจริงเชียว”
คนที่อนุหลิงเจอ มิใช่ท่านโหวกู้แต่อย่างใด แต่เป็นแม่นางเหยาที่มารออยู่บริเวณหลังเขาอยู่นานแล้ว
“ฮู ฮูหยินรึ” อนุหลิงทำหน้าตาตกตะลึง พลางรีบดึงแขนเสื้อที่ตกอยู่ขึ้นมา
แม่นางเหยาชายตามองอนุหลิงที่แต่งตัววับๆ แวมๆ ก่อนจะหัวเราะ “อนุหลิงแต่งตัวออกมาแบบนี้ จะมาหาใครรึ”
อนุหลิงรีบดึงเสื้อคลุมมาคลุมจนมิดชิด พยายามข่มอารมณ์ตัวเองก่อนเอ่ยตอบ “ข้าก็แค่ออกมาเดินเล่น ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวก่อนล่ะ”
แม่นางเหยาคลี่ยิ้มให้ “ไหนๆ ก็มาแล้ว มานั่งด้วยกันก่อนสิ ท่านโหวเก็บผลไม้เสร็จแล้วเดี๋ยวก็คงตามมา”
อนุหลิงไม่กล้าทำอะไรเกินเลยหากแม่นางเหยาอยู่ด้วย แต่จะให้กลับไปทั้งอย่างนี้ก็เกรงว่าจะเสียเที่ยว ไหนๆ ก็อุตส่าห์แต่งสวยออกมาแล้ว อย่างน้อยก็รอให้ท่านโหวมายลโฉมเสียหน่อยก็ยังดี
ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในเรือนไม้เล็กๆ
ท่านโหวกู้มักจะมาซ้อมดาบที่นี่ ส่วนกู้เฉิงหลินและกู้เฉิงเฟิงมาเก็บผลไม้เป็นครั้งคราว เรือนไม้แห่งนี้ถูกสร้างไว้เพื่อให้พวกเขาได้พักพิง
แม้จะมีขนาดย่อมกว่า แต่ข้าวของทุกอย่างล้วนครบครัน
ทั้งสองคนนั่งคนละฝั่ง
แม่นางเหยาเริ่มจัดแจงชงชา และระหว่างที่อนุหลิงเผลอ แม่นางเหยาก็คว้าถุงยาเบื่อหนูออกมา
แผนการของหญิงชราคือให้แม่นางเหยารับเคราะห์ไปก่อน โดยให้วางยาไว้ในแก้วของแม่นางเหยาเอง แล้วแกล้งทำเป็นดื่มและเล่นละครตบตา ทำท่าทุรนทุรายราวกับโดนยาพิษ แล้วโยนความผิดให้อนุหลิงว่าเป็นคนวางยา
ในเมื่อห้องนั้นไม่มีใครอื่นอีก อนุหลิงหนีไม่พ้นแน่นอน
ทว่าแม่นางเหยากลับเข้าใจหญิงชราผิด เลยวางยาลงในแก้วของอนุหลิง
อนุหลิงไว้ใจแม่นางเหยา เลยยกถ้วยชาขึ้นดื่มจอกใหญ่อย่างไม่ลังเล
และแล้วโศกนาฏกรรมก็เริ่มขึ้น
ยาที่หญิงชราเอามาขายต่อมิใช่ยาบริสุทธิ์ นางผสมแป้งลงไปเพื่อทำกำไร หรือจะเรียกว่าเป็นยาเบื่อหนูปลอมก็ได้ แม้จะกินแล้วไม่ตาย แต่อาการทุรนทุรายน่าจะพอมีให้เห็นอยู่บ้าง
อนุหลิงล้มลงไปกับพื้น จมูกและปากเบี้ยวกระตุก และมีฟองสีขาวไหลออกมาทางปาก…
อาการของนาง อาจมองว่าถูกยาพิษ หรืออาจมองว่าเป็นโรคลมชักก็ได้
ความซวยของอนุหลิงก็คือท่านโหวกู้โผล่เข้ามาตอนที่นางอยู่ในสภาพไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว
อนุหลิงแทบอยากจะขอลาโลกในตอนนั้นเลย!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น นางเป็นอะไรไป” ท่านโหวกู้เอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้!” แม่นางเหยาตีหน้าเศร้า
ท่านโหวกู้รีบไปตามคนมาหามร่างของอนุหลิงกลับไปที่เรือน จากนั้นก็ตามหมอจวนเข้าไปช่วยดูอาการ
ผลออกมาว่าอนุหลิงกินยาพิษเข้าไปจริงๆ และรีบให้นางอาเจียนออกมาเพื่อถอนพิษ
นี่แหละ คือความทรมานแบบที่แม่นางเหยาเคยเป็นมาก่อน
หมอที่จวนไม่เก่งเท่ากู้เจียว แถมอุปกรณ์และยาก็เพียบพร้อมสู้กู้เจียวไม่ได้ อนุหลิงจึงลำบากกว่าแม่นางเหยาหลายเท่า
ผ่านไปสองชั่วยาม ในที่สุดอนุหลิงก็อาการดีขึ้น จนสามารถส่งเสียงได้แล้ว
ประโยคแรกที่นางโพล่งขึ้นมาก็คือ “นางเป็นคนวางยาพิษข้า!”
“อย่าพูดจาซี้ซั้ว ฮูหยินไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นหรอก” ท่านโหวกู้เอ่ยแย้ง
อย่าว่าแต่ท่านโหวกู้เลย แม้แต่เหล่าฮูหยินรวมถึงกู้เฉิงเฟิงเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน
แม้พวกเขาจะไม่ชอบหน้าแม่นางเหยา แต่พวกเขามองว่าคนอย่างแม่นางเหยาไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้แน่นอน
ถ้าแม่นางเหยาทำจริง คงไม่ยอมให้พวกเขาไล่นางออกไปจากจวนแต่แรกหรอก
กู้เฉิงหลินเข็นรถเข็นมาดูอาการอนุหลิง ไล่พวกบ่าวออกไปแล้วกระซิบถาม “ท่านน้า นี่ท่านใช้แผนทรมานตัวเองงั้นรึ”
“ข้าเปล่านะ!” อนุหลิงกลายเป็นแพะรับบาปไป
เหล่าฮูหยินเองก็เดินเข้ามาถามนาง “เจ้าคิดยังไงของเจ้า ทำไมถึงทำเรื่องเลอะเลือนเช่นนี้ นางแค่มาอยู่ในจวนชั่วคราวเอง ต่อให้เจ้าอยากไล่ตะเพิดนางออกไปแค่ไหน ก็ควรหาวิธีที่ฉลาดกว่านี้สิ!”
“ท่านป้า!” อนุหลิงได้กลายเป็นแพะรับบาปเต็มตัวแล้ว นางโมโหจนหลุดตะโกนเรียกเหล่าฮูหยินว่าป้า
นางยอมรับ ว่านางเคยกลั่นแกล้งแม่นางเหยา แต่ครั้งนี้นางไม่ได้ทำจริงๆ !
“นางเป็นคนวางยาข้าจริงๆ !”
เหล่าฮูหยินถลึงตาใส่ “นางน่ะหรือวางยาเจ้าด้วยยาเบื่อหนูผสมกับแป้งน่ะ”
หมอจวนให้คำตอบมาแล้วว่า ปริมาณยาเท่านั้นไม่ทำให้ถึงตาย แค่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็ช่วยชีวิตได้แล้ว
“ข้าเข้าใจหัวอกของเจ้านะ แต่ก็ไม่เห็นต้องมาโกหกกันแบบนี้เลย! คิดว่าข้าโง่รึไง คิดว่าข้ามองไม่ออกงั้นสิ” เหล่าฮูหยินไม่ได้โกรธที่นางทำอะไรไม่คิด แต่โกรธที่นางนอกจากทำเรื่องโง่ๆ แล้วยังโกหกหน้าตาย ไม่ยอมรับผิดอยู่อย่างนี้!
เดิมเหล่าฮูหยินจะช่วยพูดให้อนุหลิง แต่พอเห็นสภาพนี้ ก็ชักอยากจะเปลี่ยนใจแล้ว!
“เจ้าทบทวนตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน!” เหล่าฮูหยินเอ่ยจบก็เดินสะบัดสะบิ้งออกไปจากห้อง!
“ท่านน้า แม้แต่ข้าเองก็ยังดูออก วันหน้าหากท่านจะเล่นงานนาง ข้าขอร้องล่ะว่าอย่าใช้วิธีสกปรกๆ แบบนี้เลย” กู้เฉิงหลินเอ่ยจบก็กลับไปที่เรือนตนเช่นกัน
อนุหลิงได้แต่คับเคียดคับแค้นใจ ตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางจ้องแต่จะเอาชนะแม่นางเหยามาโดยตลอด ทว่าครั้งนี้!
เวลานางกลั่นแกล้งอะไรแม่นางเหยา ไม่เคยมีใครสงสัยเลยสักนิด แต่พอมาครั้งนี้ นางยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย กลับกลายเป็นว่าคนทั้งจวนไม่ยอมเชื่อนางเสียอย่างงั้น!
อนุหลิงโมโหจัดจนเริ่มปวดหัว!
หลังจากอยู่ในค่ายทหารเป็นเวลาหลายวัน พอตกกลางคืน กู้ฉังชิงก็แบกร่างอันอ่อนล้ากลับมายังจวนโหว
พอกลับมาถึง บ่าวคนสนิทของเขาก็รีบรุดมารายงานเรื่องที่อนุหลิงโดนยาพิษ “…ข้าน้อยไม่คิดเลยว่าอนุหลิงจะเล่นไม้โหดเพียงนี้ ถึงขั้นวางยาตัวเองเพื่อใส่ร้ายฮูหยิน ไม่กลัวเลยรึว่าตัวเองจะโดนพิษของยาเล่นงานจนถึงแก่ความตายนะขอรับ”
กู้ฉังชิงได้แต่ฟังและครุ่นคิด ไม่เอ่ยอะไร
บ่าวของเขายังคงพูดต่อไม่หยุด ใจความประมาณว่าคาดไม่ถึงที่อนุหลิงใช้วิธีอันน่ากลัวโจมตีฮูหยิน
ว่ากันตามตรง ภาพลักษณ์ของอนุหลิงจัดอยู่ในหมวดหมู่คนดีและเก่ง เพราะนางอยู่เบื้องหลังงานครัวเรือนในจวนมาตั้งหลายปี น้อยครั้งนักที่จะมีปากเสียงกับพวกบ่าว เพียงแต่ในสายตาของบ่าว แม่นางเหยาแลดูจะไร้พิษสงกว่าอนุหลิง
“แล้วอาการของอนุหลิงเป็นอย่างไรบ้าง” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม
บ่าวสังเกตว่าซื่อจื่อไม่ได้เรียกอนุหลิงว่าท่านน้าแบบที่เขาเคยเรียกมาตลอด จึงเริ่มเอะใจว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาน่าจะเริ่มเปลี่ยนแล้ว
บ่าวไม่กล้าถามซื่อจื่อเรื่องนี้ เลยได้แต่ตอบไปตามความจริง “หมอประจำจวนบอกว่า ยาพิษนั้นมีส่วนผสมของแป้งอยู่ เลยออกฤทธิ์ได้เบา ไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ส่วนอนุหลิงตอนนี้พ้นอันตรายแล้ว เหลือแค่พักฟื้นร่างกายให้หายดีขอรับ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ให้อนุหลิงพักฟื้นร่างกายไปเถอะ เรื่องงานที่จวนก็ไม่ต้องไปรบกวนนางแล้ว” กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
บ่าวเริ่มเหงื่อตก พลางนึกในใจ ท่านพูดเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร
กู้ฉังชิงมุ่งหน้าไปที่เรือนซ่งเฮ่อ จากนั้นลงโทษโดยการยกเลิกหน้าที่งานครัวเรือนของอนุหลิงด้วยเรื่องรักษาอาการป่วยแล้วเก็บข้าวของออกไป
ที่จริงแล้ว การยกหน้าที่นี้ให้กับอนุหลิงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำตั้งแต่แรก เพียงแต่ตอนนั้นแม่นางเหยาไม่อยู่ที่จวน อนุหลิงจึงได้ทำงานตรงนี้มาเป็นเวลาสิบปี
เหล่าฮูหยินยังคงโมโหที่อนุหลิงโกหกหน้าตายต่อหน้านาง เลยพยักหน้าตกลงกับกู้ฉังชิง
สภาพของอนุหลิงในตอนนี้ นอกจากจะโดนวางยาและถูกคนทั้งจวนเข้าใจผิดแล้ว ยังโดนยึดหน้าที่การงานไปอีกด้วย
…
หลังจากที่โรงหมอเปิดกิจการได้ไม่นาน เมืองหลวงก็เกิดหิมะตกสามวันติด ถนนหนทางเต็มไปด้วยกองหิมะ รถม้าเคลื่อนตัวยาก ผู้คนเดินเท้าเองก็ลำบากเช่นกัน
เสี่ยวจิ้งคงที่เพิ่งก้าวเท้าออกมาจากห้องก็เกิดลื่นล้มหน้าคว่ำ
ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะตัวเขาเอง แต่เป็นเพราะพื้นลื่นเกินไปต่างหาก!
จิ้งคงพยายามลุกเท่าไหร่ก็ลุกไม่ขึ้น เลยเลือกที่จะยอมแพ้นอนคว่ำบนพื้นแล้วแลบลิ้นออกมา
ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นกับลิ้นของเขา
เอ๋
ลิ้นของเขาติดอยู่กับพื้นเสียอย่างงั้น!
ในตอนนั้นเอง กู้เจียวเดินออกมาจากห้องครัวผ่านห้องโถง ก็เห็นร่างน้อยๆ นอนกองอยู่บนพื้นพอดี
กู้เจียวเดินเข้าไปใกล้ๆ “พื้นมันเย็นนะ รีบลุกขึ้นเร็ว”
เขาลุกไม่ได้
กู้เจียวนั่งยองลงไปดู ถึงได้รู้ว่าลิ้นของจิ้งคงติดอยู่ที่พื้นน้ำแข็ง
กู้เจียวอยากถามใจจะขาดว่าเขาทำอิท่าไหน
จิ้งคงรู้สึกอับอายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนี เขาไม่อยากให้เจียวเจียวมาเห็นเข้าในสภาพแบบนี้ หมดกันภาพลักษณ์ของเขา!
จิ้งคงพยายามดึงลิ้นของตัวเองขึ้นมา
กู้เจียวรีบตะโกนห้ามไว้ “อย่าขยับ”
กู้เจียวรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัวเพื่อจะไปเอาน้ำอุ่นมาช่วย
ในตอนนั้นเอง เซียวลิ่วหลังเดินออกมาจากห้องหนังสือ
ทันทีที่เขาเห็นเสี่ยวจิ้งคงนอนกองอยู่บนพื้น เขาก็นั่งยอง ยิ้มกรุ้มกริ่ม มองดูอาการเขินอายของจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงเริ่มคลั่งแล้ว
อ๊าก!
เข้าไม่ยอมให้พี่เขยตัวแสบมาเห็นเขาสภาพนี้เด็ดขาด!
สักพัก กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นเดินออกมา
ทั้งสองเข้าไปมุงดูจิ้งคง
กู้เหยี่ยนหัวเราะร่วนจนหงายหลัง!
ปกติกู้เสี่ยวซุ่นไม่ใช่คนหัวเราะอะไรง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่า เขาจะเก็บอาการไม่อยู่
อย่างเช่นในตอนนี้
จิ้งคงทั้งโกรธทั้งอายในคราวเดียวกัน
เฮงซวย เฮงซวย เฮงซวย พวกคนตัวโตล้วนมีแต่เฮงซวย!
ในที่สุด หลังจากที่รอมานาน น้ำอุ่นก็มาถึง มากอบกู้ลิ้นของเขาไว้ได้
ความรู้สึกชาถาโถมมาที่ลิ้นของจิ้งคง
กู้เจียวอุ้มร่างเล็กขึ้นมา
เขารู้สึกทั้งละอายทั้งโกรธ รู้สึกว่าเขาไม่เหลือหน้าแล้ว เขาเอามือเล็กๆ ปิดหน้าตัวเอง ก้มศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของกู้เจียว แล้วสะบัดสะบิ้งใส่คนที่เหลือ
จิ้งคงนั่งกินข้าวคนเดียวในห้อง ไม่อยากจะเสวนากับคนที่หัวเราะหยอกเขาแม้แต่นิด!
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เห็นว่าเสี่ยวจิ้งคงโกรธจัดขนาดนี้
พูดแบบนี้อาจดูใจร้ายไปหน่อย แต่เจ้าตัวเล็กก็ดูน่ารักเวลาเขินอาย
“ถึงเวลาไปเรียนแล้ว” เซียวลิ่วหลังพยายามกลั้นขำแล้วเอ่ยเรียกเขา
“ข้าไม่เดินไปกับเจ้าหรอก ข้าจะไปกับเจียวเจียว!” จิ้งคงกระชากผ้าห่มแล้วคลุมโปง