สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 148 สามคน
ไม่นานหลังจากที่จิ้งคงเข้าไปนั่งประจำที่ อาจารย์เจี่ยงก็พาเด็กคนนั้นเข้ามาแล้วจัดให้เขานั่งบริเวณตรงกลางห้อง จิ้งคงตัวเล็กเลยนั่งอยู่ตรงแถวหน้าสุดของห้อง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเซียวหลิวหลังช่วยไว้ หรือเพราะพวกเขานั่งห่างกัน จึงไม่มีเรื่องเกิดขึ้น
อาจารย์เจี่ยงแนะนำเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ นามว่าฉู่อวี้
ชื่อจริงของเขาคือฉินฉู่อวี้
ฉินฉู่อวี้ทรมานกับการนั่งเรียน เขาไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์เจี่ยงสอนเลยสักนิด เขาไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ พอถึงเวลาเลิกเรียน เขารีบพุ่งตัวออกไปจากห้องเรียนและกั๋วจื่อเจียนจนแทบจะลืมกระเป๋าหนังสือของตัวเอง
ด้วยความที่เข้าต้องปกปิดตัวตน ขนาดว่าคนที่มารับเขาหลังเลิกเรียนยังต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา
“ฝ่าบาท” สารถีเอ่ยต้อนรับเขา
“ฝ่าบาทอะไรกัน น่ารำคาญชะมัด!” ฉินฉู่อวี้ทำห้านิ่วคิ้วขมวดพลางบ่นอุบอิบ ก่อนจะก้าวขาขึ้นรถม้า
ในรถม้า ไท่จื่อเฟยกำลังนั่งอ่านหนังสือรอรับเขาด้วยท่วงท่าที่สง่าอันเป็นเอกลักษณ์ของนาง
เมื่อเห็นฉินฉู่อวี้ทำท่ากระฟัดกระเฟียด นางจึงขยับข้อมือเบาๆ วางหนังสือในมือลงแล้วเอ่ยถามเขาอย่างอ่อนโยน “เกิดอะไรขึ้น ใครหน้าไหนบังอาจรังแกเสี่ยวชีของข้า”
ฉินฉู่อวี้หย่อนก้นนั่งลงข้างๆ ไท่จื่อเฟย และเอ่ยอย่างโกรธเคือง “พี่สะใภ้โกหกข้า กั๋วจื่อเจียนไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย! รู้เช่นนี้ข้าไม่ไปแต่แรกดีกว่า!”
“ยังหงุดหงิดกับเรื่องเมื่อเช้าอยู่หรือ” ไท่จื่อเฟยมารอเป็นเวลานานแล้ว จึงมีคนมารายงานเรื่องของฉินฉู่อวี้กับนาง “ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นแค่เด็กอายุสามขวบ เจ้าเป็นถึงองค์ชาย พระโอรสขององค์จักรพรรดินะ เรื่องแค่นี้เจ้ากลับให้อภัยไม่ได้อย่างนั้นรึ”
“ข้าเปล่าซักหน่อย” ฉินฉู่อวี้เท้าเอว
ไท่จื่อเฟยได้แต่ยิ้มเยาะ “ข้ารู้น่าว่าเสี่ยวชีเป็นเด็กดี คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้หรอก”
“นั่น นั่นมันแน่อยู่แล้ว!” ฉินฉู่อวี้ยังไม่อยากลดอัตตาลง
แต่กระนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่อยากกลับไปเรียนอยู่ดี
เนื้อหาที่เรียนนั้นยากเกินไป แถมยังถูกห้ามไม่ให้เหม่อลอยระหว่างเรียน พักผ่อนตามอัธยาศัยก็มิได้ เขาเอาแต่นั่งเรียนจนปวดคอไปหมด!
แต่เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขาไม่เข้าใจ
ไม่อย่างนั้นคงขายขี้หน้าแย่
จู่ๆ เข้าก็นึกถึงเด็กสามขวบตัวน้อยคนนั้น
ทำไมเด็กนั่นถึงดูตั้งใจเรียนขนาดนั้น
ตัวเล็กนิดเดียวเอง หย่านมแม่แล้วหรือยังนั่น
ฮึ!
เมื่อเห็นว่าเขายังอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ ไท่จื่อเฟยจึงหยิบกล่องอาหารออกมาแล้วค่อยๆ เปิดฝา
กลิ่นหอมของนมลอยอวลไปทั่วรถม้า
พอได้กลิ่น ฉินฉู่อวี้ก็เริ่มน้ำลายสอ
ที่เขาเป็นเด็กอ้วนขนาดนี้ คงเป็นเพราะเขามิอาจห้ามปากตัวเองไม่ให้หยุดกินได้
เขามองดูขนมนมแพะในกล่องแล้วกลืนน้ำลาย
ไท่จื่อเฟยยิ้มให้เขาก่อนเอ่ยเสียงหวาน “ฉลองเสี่ยวชีเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนเป็นวันแรก นี่คือรางวัลของเจ้า”
“ข้า ข้ากินได้งั้นรึ” ฉินฉู่อวี้ทำตาปริบๆ
“ได้สิ” ไท่จื่อเฟยหัวเราะ
“เสด็จพ่อกับเสด็จแม่จะไม่ทำโทษข้าใช่ไหม” ฉินฉู่อวี้เอ่ยถามพลางน้ำลายสอ
เพราะเขากินมากเกินไป เขาจึงกลายเป็นคนอ้วนที่สุดในวัง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่จึงสั่งให้เขาห้ามกินขนม
ไท่จื่อเฟยเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “วางใจได้เลย ข้าขออนุญาตเสด็จแม่ของเจ้าแล้ว แต่เจ้าต้องตั้งใจเรียนให้ดีล่ะ แล้วทุกเย็นหลังเลิกเรียน ข้าจะเอาขนมอร่อยๆ มาให้เจ้ากิน”
“เช่นนั้นข้าจะมาเข้าเรียนทุกวันเลย!” ฉินฉู่อวี้พอรู้ว่าจะได้กินขนมก็รีบกระเด้งตัวนั่งหลังตรง
ไท่จื่อเฟยยื่นมือไปหยิกปลายจมูกของเด็กอ้วนตัวน้อย “ไม่เพียงแต่เข้าเรียนนะ แต่ยังต้องตั้งใจเรียน ฟังคำสอนของอาจารย์ ห้ามรังแกคนอื่น เจ้าเป็นองค์ชาย พวกเขาเป็นประชาชน เจ้าต้องรักใคร่พวกเขา ห้ามกลั่นแกล้งพวกเขาเด็ดขาด เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้ว!”
ฉินฉู่อวี้คว้ามือจะหยิบขนม
“นี่” ไท่จื่อเฟยคว้ามือเล็กๆ ของเขาขึ้นมา “ล้างมือก่อนสิ”
“เช่นนั้นพี่สะใภ้เร็วๆ หน่อยสิ” ฉินฉู่อวี้ระงับความตะกละของตัวเองไว้
ไท่จื่อเฟยหัวเราะพลางช่วยเขาเช็ดมือ
ในที่สุด ฉินฉู่อวี้ก็ได้กินขนมนมแพะเสียที
นางข้าหลวงกระซิบกับไท่จื่อเฟย “สมกับเป็นไท่จื่อเฟย แผนของพระองค์ช่างยอดเยี่ยมนัก ขนาดฮองเฮายังรับมือองค์ชายเจ็ดไม่ได้เลยเพคะ”
ไท่จื่อเฟยปรายตามองฉินฉู่อวี้ที่กำลังดื่มด่ำกับรสชาติของขนม และคงไม่ได้สนใจบทสนทนาเล็กๆ ระหว่างตนกับนางข้าหลวงแต่อย่างใด
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ฮองเฮาทรงมีจิตใจเมตตา พระองค์มิอาจทนเห็นเสี่ยวชีลำบากได้หรอก”
ฉินฉู่อวี้เป็นลูกชายคนเล็กของฮองเฮา และเป็นน้องชายของไท่จื่อ ตั้งแต่แรกเกิด เขาได้ครอบครองตำแหน่งสืบทอดบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิโดยตรง หากไม่นับรวมไท่จื่อ ก็ถือว่าเขาเป็นองค์ชายผู้มีเกียรติและยศสูงที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมด
ไม่มีใครกล้ายุ่มย่ามกับเขา ที่แย่กว่านั้นคือไม่มีใครกล้าพูดตักเตือนสั่งสอนเขา ฉินฉู่อวี้จึงถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจและเติบโตมาเป็นเด็กที่ก้าวร้าวและเอาแต่ใจ
มีช่วงหนึ่งที่ฝ่าบาททรงงานอย่างหนัก จึงมิได้มีเวลามารับรู้เรื่องในวังหลัง คราวก่อนทรงพาองค์ชายคนโตไปที่เจียงหนานเป็นเวลานับเดือน กลับมาวังอีกทีก็พบว่าฉินฉู่อวี้กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไปแล้ว จึงตัดสินใจส่งเขาเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนเพื่อหวังจะดัดนิสัยของเขา
เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้คนที่กั๋วจื่อเจียนปฏิบัติตนต่อเขาเฉกเช่นคนในวัง จึงออกคำสั่งมิให้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฉินฉู่อวี้
หากกระทำผิด ก็จะต้องถูกเข้าห้องดำ
ไม่อย่างนั้นตอนที่เซียวลิ่วหลังบังคับให้ฉินฉู่อวี้เปิดเผยตัวตน เขาถึงได้ทำหน้าตกใจขนาดนั้น
ด้วยความที่ฉินฉู่อวี้มีนิสัยแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไว้รอวันไหนที่เสด็จพ่อเลิกจัดระเบียบให้เขาแล้ว เขาค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้าเด็กสามขวบนั่นทีหลังก็ได้!
ฉินฉู่อวี้หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องกิน จนค่อยๆ ลืมเรื่องอื่นไป
“กลับวัง” ไท่จื่อเฟยออกคำสั่ง
พอถึงอายุครบกำหนด องค์ชายจะได้ย้ายไปอยู่จวนด้านนอกที่สร้างขึ้นใหม่
แต่ตอนนี้องค์ชายยังอายุน้อยอยู่ เลยต้องพำนักอยู่ที่วังหลวงไปก่อน
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนผ่านกั๋วจื่อเจียนนั้นเอง ไท่จื่อเฟยเบนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนั้นเอง เซียวลิ่วหลังกำลังจูงมือจิ้งคงเดินออกมาจากกั๋วจื่อเจียนพอดี
รูม่านตาของไท่จื่อเฟยพลันหดเล็กลง เมื่อได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยนี้อีกครั้ง!
นางรีบเปิดผ้าม่านรถออก สายตาของนางจับจ้องไปที่ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบสีขาวคนนั้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…” ไท่จื่อเฟยพึมพำเบาๆ
“เจียวเจียว!”
สิ้นเสียงเรียกของเด็กน้อย ก็ปรากฏเด็กสาวในอาภรณ์สีเขียวสะพายตะกร้าใบเล็กไว้ด้านหลัง
นางมิได้สวมผ้าคลุมหน้า แต่งกายเรียบง่าย แม้จะไม่ได้ดูโทรม แต่กระนั้นก็มิได้ดูหรูหราเสียทีเดียว
ผมของนางดำขลับและยาวถึงเอว พร้อมทั้งประดับด้วยปิ่นปักผมหยกขาว
ให้ความรู้สึกสบายตาแต่ก็ดูเย็นชาในคราวเดียวกัน
บริเวณใบหน้าฝั่งซ้ายของนางมีรอยปานแดงประทับอยู่ และดูเหมือนนางมองข้ามการมีอยู่ของมัน
หญิงสาวเดินมาหยุดที่ตรงหน้าชายหนุ่มและเด็กน้อย จากนั้นเข้าไปหยิกเข้าที่แก้มของเด็กน้อย
ไท่จื่อเฟยเพิ่งสังเกตว่าเด็กน้อยคนนั้นหน้าตาน่ารักไม่เบาเลยทีเดียว
นางยังไม่รู้ว่าเด็กน้อยที่เห็นอยู่นั้น คือคนเดียวกันกับเด็กที่วันนี้ฉินฉู่อวี้มีเรื่องด้วย
“เจียวเจียว เจียวเจียว!” จิ้งคงพอเจอหน้ากู้เจียวก็ออกอาการดีใจ
กู้เจียวเอามือหยุมหัวเจ้าตัวเล็ก
ระหว่างทางเกิดหิมะตก ทั้งที่ตอนนี้หยุดแล้ว แต่ยังมีเกล็ดหิมะประปรายติดอยู่ที่ผมของกู้เจียว
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เซียวลิ่วหลังก็ยื่นปลายนิ้วที่เรียวยาวราวกับหยกออกมา และค่อยๆ ดึงเกล็ดหิมะออกจากผมของนาง
กู้เจียวยืนนิ่งๆ ปล่อยให้เขาจัดการผมของตน
ภาพที่ออกมาช่างดูน่ารักและอบอุ่น
ช่างเป็นภาพครอบครัวสามคนที่ดูแล้วบาดตาและบาดใจยิ่งนัก
ไท่จื่อเฟยเริ่มจิกนิ้วตัวเอง จากนั้นก็เห็นว่าหญิงสาวคว้าถุงเกาลัดออกมาจากตระกร้าด้านหลังของนาง แล้วยื่นให้เขา
ชายหนุ่มหยิบเกาลัดขึ้นมากินอย่างไม่ลังเล
“อร่อยไหม” กู้เจียวถาม
“อืม หวานดี” เซียวลิ่วหลังตอบ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหมายถึงเกาลัดหรืออะไร
จากนั้นกู้เจียวยื่นถุงเกาลัดให้จิ้งคงกอดไว้
เจ้าตัวเล็กไม่รอช้า คว้าเกาลัดขึ้นมาแทะกินแทะกินราวกับกระรอก
แล้วทั้งสามคนก็เดินจากไปด้วยกัน
ไท่จื่อเฟยปิดม่านลง
เขาตายไปแล้ว
เขาเป็นคนไม่กินเกาลัด
ต่อให้หน้าตาเหมือนกันแค่ไหน แต่นั่น ก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี
“เป็นอะไรไปหรือเพคะ” นางข้าหลวงเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าใบหน้านางเริ่มซีดเซียว
“รีบกลับวังเถอะ ข้าหนาว”
…
เรื่องที่เซียวลิ่วหลังเข้าไปต่อว่ารองเจิ้งในวันนั้น ทำให้รองเจิ้งโกรธแค้นและฝังใจเจ็บมาก
เขาสามารถไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงได้ จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนที่เพรียบพร้อมและมีพรสวรรค์ เรียงความของเขานั้นยอดเยี่ยม แม้แต่ฝ่าบาทที่ไม่โปรดปากู่เหวินเองก็ยังอดพูดถึงผลงานของเขามิได้ เพียงแต่ เรื่องความสามารถก็เรื่องหนึ่ง ส่วนด้านคุณธรรม ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
รองเจิ้งคับแค้นใจที่เซียวลิ่วหลังทำเขาอับอายขายหน้าต่อหน้าองค์ชายเจ็ดและคนอื่นๆ เขาจึงคิดวางแผนจะแก้แค้นเซียวลิ่วหลัง
โดยเริ่มจากการสอบประจำเดือน เซียวลิ่วหลังได้คะแนนต่ำสุดของห้อง ที่กั๋วจื่อเจียนมีกฎว่า หากบัณฑิตสอบไม่ผ่านสองครั้ง จะต้องถูกลดระดับชั้นลงมา
ซึ่งก็หมายความว่า หากครั้งหน้าเขายังสอบได้ที่โหล่ของห้อง เขาจะต้องออกจากห้องไชว่ซิ่งไปโดยปริยาย
พวกอาจารย์ต่างพากันสงสัยว่าเหตุใดคะแนนของเซียวลิ่วหลังถึงได้ตกต่ำเช่นนี้ แต่ในเมื่อจี้จิ่วไต้เป็นผู้ตรวจข้อสอบเอง ยังไงก็คงไม่มีทางผิดพลาดอยู่แล้ว
เรื่องสอบนั้นเป็นแค่น้ำจิ้ม สักพักเซียวลิ่วหลังเริ่มสังเกตแล้วว่าอาหารในจานของตัวเองมีปริมาณน้อยกว่าจานของคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
“เอ๋ ทำไมอาหารของเจ้าถึงได้น้อยขนาดนี้ล่ะ” เฝิงหลินเริ่มเอะใจ
อาหารกลางวันของเซียวลิ่วหลังน่าเกลียดถึงขั้นที่ว่ามีแค่ผักหนึ่งใบและน้ำแกงหนึ่งถ้วยเท่านั้น!
หลังจากนั้น จู่ๆ ก็เริ่มมีคนเดินเข้ามาชนเขามากขึ้น
ขณะที่ทั้งสามกำลังเดินอยู่ตรงบริเวณทางเดิน จู่ๆ ก็มีบัณฑิตเดินเข้ามาชนแล้วทำน้ำหมึกหกใส่ร่างของเซียวลิ่วหลัง
“เดินยังไงของเจ้า” เฝิงหลินตะโกนใส่
“ข้าขอโทษ! ขอโทษจริงๆ !” คนที่เดินเข้ามาชนได้แต่เอ่ยขอโทษ
นี่เป็นครั้งที่สามของวันแล้ว ที่มีคนมาเดินชนเขาแบบนี้
เห็นได้ชัดว่าคนที่เดินเข้ามาชนล้วนแต่ถูกบังคับมาให้กระทำเช่นนี้
เซียวลิ่วหลังหรี่ตามอง แต่ไม่เอ่ยอะไร จากนั้นเข้าไปที่ห้องพักของเฝิงหลินและหลินเฉิงเย่เพื่อเปลี่ยนชุด
พอออกมาจากห้อง ก็พบว่าไม้เท้าของเขาหายไปแล้ว
ด้วยความที่พื้นลื่นมาก อีกทั้งไม่มีไม้เท้าคอย ระยะทางจากหอพักมาถึงห้องไชว่ซิ่งห่างแค่ร้อยก้าวเท่านั้น แต่เซียวลิ่วหลังลื่นล้มไปแล้วไม่รู้กี่รอบ
รอบๆ ตัวมีแต่คนคอยหัวเราะเยาะเขา
เวลานี้ ท้องฟ้าที่กั๋วจื่อเจียนเริ่มมืดลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับพายุหิมะกำลังจะมาเยือน
เซียวลิ่วหลังค่อยๆ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นหิมะ แม้สภาพของเขาจะดูไม่ค่อยสู้ดี แต่เขาก็ยังยืนตัวตรงได้
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองที่หมิงฮุยถังที่ตั้งอยู่บนชั้นสามของกั๋วจื่อเจียน
ตรงทางเดินด้านหน้าหมิงฮุยถัง ปรากฏร่างของรองเจิ้ง กำลังถือไม้เท้าและมองเซียวลิ่วหลังด้วยสายตาท้าทาย
ขอขมาเร็วสิ
เจ้าเด็กเมื่อวานซืน
ก้มหัวขอขมากับข้า
เผื่อข้าจะใจอ่อน ยอมปล่อยเจ้าไป
เซียวลิ่วหลังเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาของเขาไร้ซึ่งความโกรธแค้น ขุ่นเคือง หรือแม้แต่ความกลัวใดๆ ซึ่งผิดจากที่รองเจิ้งคาดไว้ แต่ดวงตาของเขากลับไร้ซึ่งความรู้สึก ราบเรียบ นิ่งเฉย ราวกับธารน้ำที่ถูกแช่แข็งมาเป็นเวลาหมื่นๆ ปี
จู่ๆ รองเจิ้งก็เกิดรู้สึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
สักพักเขาก็ส่ายหัว
ก็แค่เด็กบ้านนอกขาพิการคนนึงเท่านั้น
โทษฐานที่ทำให้เขาอับอายต่อหน้าผู้คน
ที่กั๋วจื่อเจียนแห่งนี้ เขาใหญ่สุด
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจล่วงล้ำอำนาจของเขาได้!
ผู้ดูแลหลิวแอบติดตามชีวิตของเซียวลิ่วหลังในกั๋วจื่อเจียนมาโดยตลอด สักพักบ่าวก็เข้ามารายงานถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น
ผู้ดูแลหลิวฟังจบก็พลันหัวเราะ “ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเมืองหลวงไม่ได้อยู่กันง่ายๆ หรอก เอาละ ออกไปหาท่านชายหน่อยดีกว่า”
วันนี้จิ้งคงไม่มีเรียน
เซียวลิ่วหลังจึงต้องกลับเรือนคนเดียว
พอเขาเดินออกมาจากกั๋วจื่อเจียน รถม้าของผู้ดูแลหลิวก็มาดักรออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านหลิวขอรับ ท่านชายออกมาแล้วขอรับ”
ผู้ดูแลหลิวลงจากรถม้า เดินเข้าไปหาเซียวลิ่วหลัง แล้วคลี่ยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ท่านชาย เจอกันอีกแล้วนะขอรับ”
เซียวลิ่วหลังหรี่ตามองเขา “จะมาทำอะไรอีกล่ะ”
ผู้ดูแลหลิวหัวเราะ “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ข้ารู้หมดแล้ว ท่านชายลำบากแย่นะขอรับ”
“ถ้าจะมาเยาะเย้ยกัน ก็ไม่ต้องมาหรอก” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
“เป็นแค่รองผู้อำนวยการ ให้ท่านโหวดีดนิ้วเดียวก็กำจัดได้แล้ว ขอแค่ท่านชายยอมกลับไปที่จวน ข้ารับประกันว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กั๋วจื่อเจียนจะไม่มีคนที่ชื่อรองผู้อำนวยการเจิ้งปรากฏตัวอีก”
เซียวลิ่วหลังไม่สนใจเขา ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินกลับไปที่เรือน
ผู้ดูแลหลิวยิ้มเยาะ “เหตุใดท่านชายต้องมาทรมานตัวเองด้วยเล่า แต่ก็นะ เป็นเพราะท่านโหวทำเรื่องไม่ดีกับมารดาของพวกท่าน ไม่ได้รับพวกท่านกลับเข้ามาอยู่ในจวนได้ทันเวลา แต่เรื่องทั้งหมดนี้ ท่านจะโทษท่านโหวคนเดียวก็ไม่ได้ ยิ่งเรื่องสี่ปีที่แล้วยิ่งแล้วใหญ่ ท่านโหวเองก็เพิ่งมารู้เรื่องในภายหลัง จากนั้นก็ตามหาเบาะแสร่องรอยของท่านชายทุกวัน การตายของมารดาท่าน ท่านโหวรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องพี่ใหญ่ของท่านเองก็เช่นกัน ท่านโหวทราบข่าวแล้ว และโชคช่วยที่ท่านไม่เป็นอะไร”
เซียวลิ่วหลังกำหมัดแน่น
ผู้ดูแลหลิวยังคงพูดโน้มน้าวต่อ “เมืองหลวงอยู่ยากกว่าที่ท่านคิดอีกนะขอรับ หากไม่มีเส้นสายที่แข็งแกร่ง คงยากที่จะประสบความสำเร็จ และจะพบว่าทางเดินชีวิตนับวันยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ และทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านจะกลายเป็นปลาเล็กที่ถูกปลาใหญ่กลืนกินเอาได้ ดังนั้นแล้ว เชิญท่านชายกลับไปที่จวนกับข้าเถิด ได้เป็นบุตรของเซวียนผิงโหวไม่ดีตรงไหน ใยถึงต้องมาทนทุกข์ระกำลำบากเช่นนี้ด้วย”