สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 149 เบื้องหลัง
เซียวลิ่วหลังมองค้อนอย่างเย็นชา “คำพูดพวกนี้ ใครเป็นคนพูด เจ้าหรือเขา”
‘เขา’ งั้นรึ
ลูกที่ไหนเรียกพ่อแท้ๆ ของตัวเองแบบนี้
นี่เขารู้หรือไม่ว่าพ่อแท้ๆ ของตัวเองคือใคร
เขาคือท่านอู่โหว นักรบชั้นหนึ่ง ผู้นำขุนพลอีกนับหมื่น
ตำแหน่งกิตติมศักดิ์ที่นับแต่สมัยโบราณมาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยมีมาก่อน มีแค่เซวียนผิงโหวผู้แรกและผู้เดียวในบนแผ่นดินนี้
ท่านสามารถปกครองตระกูลจวงทั้งโคตรด้วยตัวคนเดียว ผู้ที่ฝ่าบาทให้ความไว้วางใจมากที่สุด
ท่านได้แต่งงานกับองค์หญิง ส่วนน้องสาวของท่านได้เป็นฮองเฮา นอกจากนี้ เขายังสามารถบงการองค์ชายใหญ่ และส่งหลานชายของตนขึ้นตำแหน่งไท่จื่อได้สำเร็จ
เชื่อหรือไม่หากประกาศออกไปว่าเซวียนผิงโหวต้องการบุตรชาย คงมีคนมารอจนหางแถวยาวไปถึงแคว้นเหลียงเลยเชียวล่ะ
แล้วดูท่านชายเข้าสิ
นี่เขาต้องมานั่งพร่ำบอกอีกรึว่าเขาหรือท่านโหวที่เป็นคนพูด
กลับไปใช้ชีวิตในจวนดีๆ ไม่ชอบหรืออย่างไรกัน
ผู้ดูแลหลิวหัวเราะ “หากท่านโหวไม่เห็นด้วยที่จะให้ท่านกลับไป คิดหรือว่าข้าจะมายืนอยู่ตรงนี้น่ะ”
เขาพูดความจริง
ส่วนท่านโหวเห็นด้วยอย่างไรนั้น เรื่องนี้ผู้ดูแลหลิวขออุบไว้ก่อน
คนส่วนใหญ่คิดไม่ถึงระดับนี้ แต่ผู้ดูแลหลิวรู้สึกเสมอว่าทุกคำที่เขาพูดนั้นมีทั้งจริงเท็จปะปนกันไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชายหนุ่มตรงหน้าเขากลับมองทะลุทุกคำ
และนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย
ผู้ดูแลหลิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วยิ้มมุมปาก “ท่านชาย นี่ก็เดือนสิบสองแล้ว ไม่คิดจะกลับไปฉลองปีใหม่ที่จวนโหวหรือ”
เซียวลิ่วหลังไม่สนใจคำพูดเขา แล้วเดินดุ่มไปทางตรอกปี้สุ่ยอย่างไม่เหลียวหน้าเหลียวหลัง
วันนี้จิ้งคงหยุดเรียน เซียวลิ่วหลังจึงเดินกลับเรือนคนเดียว
เขาได้ไม้เท้าคืนมาแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แทบไม่เหลือร่องรอยจากการโดนกลั่นแกล้ง
“ผู้ดูแลหลิว พวกเราจะไม่ช่วยท่านชายหน่อยหรือขอรับ พวกเราจะนิ่งดูดายให้คนพวกนั้นมารังแกท่านชายหรือขอรับ” บ่าวเหม่อมองเงาของท่านชายที่เดินออกไป
ผู้ดูแลหลิวแอบลังเลอยู่นิด ทั้งๆ ที่มองไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องพากลับไปได้สำเร็จ แต่ท่านชายมักหนีเขาไปได้ทุกครั้ง
“ผู้ดูแลหลิว หรือว่าพวกเราจะ…”
“ช้าก่อน ข้าจะรอดูว่าท่านชายจะทนได้สักกี่น้ำกันเชียว” ผู้ดูแลหลิวเอ่ยพร้อมกับยกมือห้ามบ่าว
ที่แห่งนี้คือเมืองหลวง มิใช่เมืองเล็กๆ คนอย่างรองเจิ้งมีอยู่ถมเถไป อย่างไรต้องมีสักวันหนึ่งที่ท่านชายทนไม่ไหว
“ผู้ดูแลหลิว ท่านชายเป็นคนหัวแข็ง หรือว่าเราควรจะหาวิธีอื่นดีขอรับ ท่านสัญญากับท่านโหวแล้วว่าจะพาท่านชายกลับจวนตอนปีใหม่ นี่ก็เหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวเท่านั้นแล้วขอรับ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ ผู้ดูแลก็เริ่มทำขมวดคิ้วไม่พอใจ
ในตอนแรก เขาเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะยากเย็นขนาดนี้ เลยตบปากรับคำท่านโหว
ตอนที่เขาไปหาท่านชายที่โยวโจว เป็นช่วงก่อนฤดูร้อน เลยมองว่าเขายังมีเวลาเพียงพอ ก็เลยไม่รีบเร่ง ใครจะไปคิดว่าเวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้
แต่ว่า จะมีวิธีไหนอีกล่ะ
“คือว่า…” บ่าวค่อยๆ เกริ่น “ในเมื่อท่านชายแต่งงานแล้ว จะให้นางมาเป็นสะใภ้จวนโหวดีไหมขอรับ”
“เจ้าหมายถึง…บุตรสาวของจวนติ้งอันโหวนะหรือ” ผู้ดูแลหลิวหรี่ตา
แน่นอนว่าผู้ดูแลหลิวต้องสืบเรื่องราวของนางมาเป็นอย่างดี
อีกทั้งจวนติ้งอันโหวเองก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้ไว้หนาแน่น เขาเลยสืบมาได้ว่ากู้เจียวเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตระกูล ส่วนกู้จิ่นอวี๋คือเด็กอีกคนที่อุ้มผิดตั้งแต่แรก
เดิมเขาไม่ได้สนใจใยดีอะไรเด็กสาวคนนี้อยู่แล้ว
เลยไม่ได้มองว่าจะใช้นางเป็นหมากในการพาท่านชายกลับจวน
“ข้าน้อยได้ยินมาว่า ฮูหยินของท่านชายเติบโตขึ้นมาในชนบท แต่ด้วยความที่นางเป็นคนใจเสาะ เลยไม่กล้ากลับไปอยู่ที่จวนโหว อย่างไรก็ตาม นางใจดีกับท่านชายมาก บ่าวมาสอดแนมท่านชายที่กั๋วจื่อเจียนอยู่บ่อยๆ ก็มักจะเห็นนางยืนรอท่านชายอยู่ข้างนอก”
“ก็น่าจะพอใช้วิธีนี้ได้นะ” ผู้ดูแลหลิวทำท่าครุ่นคิด
แต่เรื่องที่เขาไม่รู้ก็คือ กู้เจียวหุ้นกับเถ้าแก่รองเปิดโรงหมอ ดังนั้น บ่าวเลยเลือกพุ่งตรงไปที่ตรอกปี้สุ่ย
พอไปถึง ก็เจอกับหญิงชราและเพื่อนบ้านคนอื่นๆ บอกกับเขาว่า “อยากหาหมอ ก็ไปที่เมี่ยวโส่วถังนู่น!”
“นางว่าอย่างไรนะ” ผู้ดูแลหลิวที่นั่งรออยู่ในรถม้าเอ่ยถาม
บ่าวเกาหัวแกร่กๆ “เหมือนว่า…ให้พวกเราไปที่เมี่ยวโส่วถังนะขอรับ”
“อะไรคือเมี่ยวโส่วถัง” ผู้ดูแลหลิวไม่เคยได้ยินมาก่อน
บ่าวยืนนึกอยู่พัก ก่อนตอบออกไปอย่างไม่มั่นใจ “ดูเหมือนจะเป็นโรงหมอที่เปิดอยู่ข้างๆ สำนักบัณฑิตสตรีขอรับ”
กู้เจียวที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกพูดถึงอยู่ ก็กำลังง่วนกับการรักษาคนไข้ซึ่งเป็นนักเรียนของสำนักบัณฑิตสตรี เด็กหญิงคนนี้เข้าเรียนวิชายิงธนู ระหว่างเรียนดันเกิดพลัดตกจากหลังม้าจนแขนกระแทก เพิ่งถูกหามมาที่โรงหมอกู้เจียวสดๆ ร้อนๆ
เด็กหญิงร้องไห้จนหมดสภาพ
“เจ้ามีนามว่าอะไร” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ข้า…ข้าชื่อ…โอ๊ย!”
กู้เจียวพยายามดูอาการที่แขนของนาง แต่ด้วยความกลัวเจ็บ เด็กหญิงจึงเผลอร้องออกมา “อย่ามาแตะข้า!”
“ข้าไม่แตะเจ้าหรอก ที่หลังมีเจ้ามีบาดแผลอยู่ ข้าจะทำความสะอาดแผลก่อน และจะไม่แตะต้องแขนของเจ้า”
“จริง จริงหรือ” เด็กหญิงมองกู้เจียวด้วยสายตาระแวง
“จริงสิ” กู้เจียวค่อยๆ วางมือของเด็กหญิงลงบนฝ่ามือของตัวเอง หลีกเลี่ยงบริเวณข้อแขน “มือเจ้าเนียนนุ่มดีจัง ปกติเจ้าดูแลอย่างไรหรือ”
ไม่มีใครปฏิเสธคำชมได้หรอก เด็กหญิงจึงค่อยๆ สาธยายวิธีดูแลมือของตัวเอง “ข้าใช้น้ำกุหลาบ…โอ๊ย! ล้างเสร็จก็…โอ๊ย! ใช้ขี้ผึ้งขาว…โอ๊ย!”
“ข้าเห็นคนอื่นๆ ก็ใช้วิธีเดียวกับเจ้า แต่ไม่เห็นจะผิวดีเหมือนเจ้าเลย”
“เช่นนั้นคงเป็นเพราะความงามตั้งแต่เกิด…โอ๊ย”
เด็กสาวยังไม่ทันจะพูดจบ กู้เจียวก็จัดกระดูกแขนของนางให้กลับเข้าที่เหมือนเดิม
พอเด็กสาวมองดูตัวเองในกระจก ก็ผงะร่างออกมาจนแทบจะหงายหลังล้มลงไป
นี่มันนางป้าที่ไหนกันเนี่ย! สภาพดูไม่ได้เลย!
พลางนึกในใจ หมอใจดีเกินไปแล้วนะ ขนาดนางสภาพโทรมเช่นนี้ ยังกล้าชมนางออกปากขนาดนั้น
โรงหมอเปิดทำการมาหลายวันก็จริง แต่แทบไม่มีใครเข้ามาใช้บริการเลย แต่เป็นเพราะคนไข้นักเรียนหญิงรายนี้ ที่ช่วยกอบกู้รายได้ของโรงหมอเป็นเวลาถึงหนึ่งเดือน
พอต่อมา ก็มีคนไข้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งอาการเบาไปจนถึงอาการหนักจนน่าตกใจ
กู้เจียวยุ่งจนหัวหมุน
หลังเสร็จงานจากคนไข้อีกคนไปแค่ครู่เดียว ประตูห้องตรวจก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
“เป็นอะไรมารึ” กู้เจียวเอ่ยโดยไม่มองคนที่เข้ามา เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับหยูกยาบนโต๊ะ
อีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม
กู้เจียวจึงเงยหน้าขึ้น ก็ปรากฏสตรีสวมผ้าคลุมสามสี มีทั้งสีน้ำเงินทะเลสาบ สีชมพูและสีขาว ยืนอยู่ที่ประตูด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของนางแลดูมีชีวิตชีวาขึ้น ไม่เหมือนครั้งที่แล้วที่ดูอ่อนแอและซีดเซียว
“ยังจำข้าได้หรือไม่ แม่นางกู้”
“องค์หญิงสาม” กู้เจียวพยักหน้าให้นาง
กู้เจียวไม่ได้ทำความเคารพนาง องค์หญิงสามเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร
นางเดินเข้าไปหากู้เจียวพร้อมกับเอ่ยเชิงหยอก “ข้ารอพบเจ้านานมาก”
“นั่งก่อนสิองค์หญิง” กู้เจียวไม่ได้แสดงท่าทีกันเองกับนาง และทำเหมือนทุกๆ ครั้งที่จะต้องวินิจฉัยคนไข้
องค์หญิงสามได้แต่เบะปาก แล้วนั่งลง
“ข้าขอดูแผลก่อน” กู้เจียวเอ่ย
“เอ่อ…ไม่เอาที่นี่ได้ไหม” องค์หญิงสามเอ่ยถาม
“ได้สิ” กู้เจียวจึงพาองค์หญิงสามไปที่เรือนพักชั่วคราวของตน
เรือนนี้เป็นเรือนที่เถ้าแก่รองทำไว้ให้กู้เจียว นอกจากกู้เจียวและคนอื่นๆ ในครอบครัวแล้ว ยังไม่เคยมีใครเข้ามา
ดูเหมือนรอยแผลขององค์หญิงสามสมานกันดีแล้ว
จากนั้นกู้เจียววัดชีพจรให้นาง ซึ่งก็ปกติดี
“ทุกอย่างปกติดี องค์หญิงสามวางใจเถิด”
“คือว่า…” องค์หญิงลักเลอยู่พัก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยลองเชิง “เจ้ามียาแก้รอยแผลเป็นไหม”
การลบรอยแผล สามารถใช้ขี้ผึ้งทาแผล และแผ่นแปะแผลได้ เพียงแต่กู้เจียวไม่มีของพวกนี้ติดตัวเลย
ต่อให้มี แต่ก็ยังให้ใช้ไม่ได้ เพราะต้องรอให้แผลแห้งกว่านี้ก่อน
กู้เจียวนิ่งอยู่พัก ก่อนจะตอบ “ตอนนี้ข้าไม่มีหรอก อีกสามวันเจ้าค่อยกลับมาแล้วกัน”
“ตกลง” องค์หญิงสามตอบรับ
กู้เจียวสังเกตเห็นคนตรงหน้าเริ่มสั่น เลยรินช้าร้อนๆ ให้นาง
“ขอบใจ” องค์หญิงสามรับแก้วมาแล้วจิบเบาๆ หนึ่งคำ ร่างกายเริ่มอุ่นขึ้น
นางกวาดตามองรอบๆ เรือนแห่งนี้ จากนั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย “เจ้าพักที่โรงหมอรึ”
“เปล่า ข้าพักแถวนี้น่ะ”
แม้องค์หญิงสามเพิ่งจะรู้จักกู้เจียว เจอหน้ากันแค่สองครั้ง แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยกับกู้เจียวอย่างบอกไม่ถูก
“สำเนียงของเจ้าไม่เหมือนคนในเมืองเลย” องค์หญิงสามเอ่ยทัก
“ข้ามาจากชนบทน่ะ”
องค์หญิงสามพยักหน้า แล้วซักถามต่อ “เจ้าอายุเท่าไหร่”
“สิบห้า”
องค์หญิงสามหัวเราะ “ข้าโตกว่าเจ้าไม่กี่ปีเอง ข้ามาจากตระกูลตู้”
กู้เจียวไม่ใช่คนที่ถนัดเจรจาพาที มาแต่ไหนแต่ไร องค์หญิงสามถามอะไรมา นางก็แค่ตอบไปตามนั้น
ที่กู้เจียวยอมตอบนาง อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่านางไม่รังเกียจองค์หญิงสาม
“เอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ” องค์หญิงสามชอบเครื่องดนตรี ดังนั้นพอเห็นอะไรเกี่ยวกับเครื่องดนตรี ก็มักจะแสดงท่าทีสนอกสนใจ
“กู่ฉินน่ะ” กู้เจียวตอบ
เป็นกู่ฉินที่จิ้งคงมอบให้กู้เจียวเป็นของขวัญ กู้เจียวเลยทำกล่องสำหรับเก็บกู่ฉินโดยเฉพาะ
เนื่องจากหน้าตาของกล่องไม่เหมือนกับกล่องทั่วๆ ไปตามตลาด องค์หญิงสามเลยเดาไม่ออกว่ามันคืออะไร
“ข้าขอดูได้ไหม” องค์หญิงสามเอ่ยถาม
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
นางวางถ้วยชาลง เดินไปที่โต๊ะยาว ค่อยๆ เปิดกล่องด้วยความระมัดระวัง
พอเปิดออกมา ก็ปรากฏเครื่องกู่ฉินที่มีรอยไหม้ดำราวกับถูกเผา
มองเผินๆ ดูเหมือนจะเป็นกู่ฉินทรงฝูซีธรรมดาๆ เท่านั้น
คงเป็นของที่ทำเลียนแบบอีกแน่ๆ เลย
องค์หญิงสามทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย
คนทั่วไปมักจะชอบพอกับการที่ได้กู่ฉินเลียนแบบทรงฝูซีมาครอบครอง แต่องค์หญิงสามไม่ใช่คนแบบนั้น นางยอมใช้กู่ฉินธรรมดาดีกว่าไปใช้ของเลียนแบบ
ครั้งก่อนที่แคว้นเฉินมอบกู่ฉินเยว่อิ่งฝูซีมาให้ ซึ่งเป็นกู่ฉินทำเลียนแบบอย่างดี เดิมฝ่าบาทจะมอบให้องค์หญิงสามเป็นของขวัญ แต่นางปฏิเสธ ก็เลยยกให้บุตรสาวของติ้งอันโหวไป
เดิมนางจะหยิบขึ้นมาเล่นเพลงเสียหน่อย แต่ความอยากก็พลันหายไป นางยืนลูบๆ กู่ฉินอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยชมสองสามประโยคตามมารยาท แล้วเก็บมันลงกล่องดังเดิม
สักพัก องค์หญิงสามเหลือบไปเห็นตราที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นฝีมือของจิ้งคงที่หยิบมันมาเล่นแล้วไม่ยอมเก็บให้เข้าที่
องค์หญิงสามเคยเห็นตรานี้มาก่อนจึงเอ่ยถามกู้เจียว “แม่นางกู้ เจ้าได้ตรานี้มาจากไหนกัน”
“ข้าเก็บได้น่ะ” กู้เจียวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
องค์หญิงสามถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยทัก “นี่เป็นตราเก่าแก่ประจำตระกูลเซวียนผิงโหว เจ้าอย่าให้ใครมาเห็นเชียวล่ะ ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนเอ่ยเตือนเรื่องเซวียนผิงโหว
“ตราเก่าแก่หมายความว่าอย่างไรรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
องค์หญิงสามชี้นิ้วไปที่ลวดลายที่สลักบนตรา “นี่เป็นตราที่ทำขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ภายหลังพวกเขามองว่ามันไม่จำเป็นต้องมี ก็เลยเอาออกไป”
ลายนั่นมีขนาดเล็กนิดเดียว คนทั่วไปดูไม่ออกแน่นอน นางเป็นถึงองค์หญิง จึงมีความรู้เรื่องสัญลักษณ์ต่างๆ เกี่ยวกับวังมากกว่าใคร
ตรานี้ดูเก่าแล้วก็จริง แต่กู้เจียวก็ไม่ได้นึกว่าจะมีอายุมากถึงเพียงนี้
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่องค์หญิงสามขอตัวกลับ
สำนักบัณฑิตสตรีเองก็เลิกเรียนแล้ว ถึงเวลาปิดของโรงหมอแล้วเช่นกัน
เถ้าแก่รองมอบหมายให้ซ่งเหออยู่เฝ้าประจำโรงหมอ กู้เจียวแบกตะกร้าเดินกลับเรือน
พอเดินพ้นเลี้ยวแรก ก็เจอกับรถม้าคันหนึ่งจอดขวางอยู่
จากนั้นประตูรถม้าถูกเปิดออก ปรากฏร่างของบุรุษวัยกลางคนร่างท้วม แม้ภายนอกดูเป็นมิตร แต่สายตาของเขากลับเหมือนมีนัยแฝง
“ท่านคือคุณหนูกู้แห่งจวนติ้งอันโหวใช่หรือไม่” บุรุษคนนั้นโบกมือพลางเอ่ยทัก
แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของเขาฟังดูมั่นใจยิ่งนัก
“ท่านเป็นใคร” กู้เจียวเอ่ยถาม
ผู้ดูแลหลิวยิ้มสรวล “ข้ามาจากตระกูลหลิว มิทราบว่าท่านชายเคยพูดถึงข้าให้ท่านฟังหรือไม่”
“ท่านชายไหน” กู้เจียวเอ่ยถาม
ผู้ดูแลหลิวนึกในใจ สรุปแล้วเด็กสองคนนี้เป็นสามีภรรยากันจริงๆ ใช่ไหม ท่านชายไม่เคยเล่าเรื่องเขาให้นางฟังเลยรึ
“ข้าเคยให้คนมาส่งของขวัญให้ แต่น่าเสียดายที่ท่านชายไม่ยอมรับของขวัญ”
“อ้อ” พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ กู้เจียวเลยนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้มีคนแปลกหน้าส่งถ่านเงินมาให้หนึ่งคันรถ แต่เซียวลิ่วหลังดันบอกปฏิเสธไป
“ท่านชายของท่าน หมายถึง สามีของข้ารึ” กู้เจียวถาม
ผู้ดูแลหลิวฉีกยิ้มให้นาง “ขอรับ”
กู้เจียวชะงักไป แล้วถามต่อ “ท่านชายของจวนเซวียนผิงโหวรึ”
ผู้ดูแลหลิวผงะ
นี่ท่านชายไม่เคยเปิดเผยตัวตนให้นางรู้เลยหรือนี่ แล้วนี่นางจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าท่านชายเป็นคนของเซวียนผิงโหว