สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 150 ปกปิดความผิด
กู้เจียวไม่รู้มาก่อน นางแค่ใช้วิธีเดาเอาเท่านั้น
ป้ายตราแผ่นนั้นเซวียหนิงเซียงเป็นคนเก็บได้ตอนที่เซียวลิ่วหลังเป็นลม หลวงพี่เหม่ยกับองค์หญิงสามต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตรานั้นเป็นของเซวียนผิงโหว ไม่ผิดแน่นอน
แถมคนตรงหน้ายังเรียกเขาว่าท่านชายด้วย
พอเอาเรื่องราวต่างๆ มารวมกัน ก็เป็นอันยืนยันในสิ่งที่ผู้ดูแลหลิวพูด
ครั้งนี้ที่ผู้ดูแลหลิวมาหากู้เจียว เพื่ออยากจะยืมมือนางให้ช่วยโน้มน้าวท่านชายกลับจวน เขาเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังตัวตน จึงตอบไปตามความจริง “ใช่แล้ว เขาคือท่านชายแห่งจวนเซวียนผิงโหว”
“อ้อ” กู้เจียวพยายามย่อยข้อมูลที่ได้มา
อ้อ แค่นั้นรึ
ไฉนปฏิกิริยาของนางถึงได้ดูตายด้านขนาดนี้!
กู้เจียวมิใช่คนที่ให้ความสำคัญกับยศถาบรรดาศักดิ์ ต่อให้เซียวลิ่วหลังจะเป็นท่านชายหรือเป็นบ่าว กู้เจียวไม่หยิบมาใส่ใจอยู่แล้ว
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นางไม่เข้าใจ
“ในเมื่อเขาเป็นท่านชายของจวนเซวียนผิงโหว ทำไมเขาถึงไม่ยอมกลับไปกับพวกท่านเล่า”
ไม่ใช่ว่ากู้เจียวจงใจแอบฟังหรืออะไร เพียงแต่ในเมื่อพวกเขามาตามเซียวลิ่วหลังถึงที่ตั้งหลายหน อย่างน้อยกู้เจียวก็ไม่ควรปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ
ผู้ดูแลหลิวถอนหายใจ “เรื่องมันยาวน่ะ หากคุณหนูมีเวลา แวะดื่มน้ำชาด้วยกันสักครู่สิ”
ข้างๆ มีร้านน้ำชาตั้งอยู่ กู้เจียวไม่ได้ปฏิเสธ เดินเข้าร้านน้ำชาไปพร้อมกับผู้ดูแลหลิว
เขาคิดในใจ นี่นางไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยรึ ไม่ขอดูตราอะไรหน่อยหรือ ไม่ระวังตัวเสียบ้างเลย
หากผู้ดูแลหลิวรู้สักนิดว่ากู้เจียวเป็นใคร คนที่ควรรู้สึกกลัวน่าจะต้องเป็นเขาเองมากว่า
แน่นอนว่าเขามิได้มาร้าย และไม่เคยคิดจะแยกพวกเขาทั้งสองออกจากกัน
เขาเองก็เชื่อว่า ถ้าเป็นท่านโหวคงไม่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน
ท่านโหวอยู่ในจุดที่มั่นคงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้การแต่งงานของบุตรชายเป็นเครื่องมือ
หากพูดถึงเรื่องความเหมาะสม…
แม้นางจะเติบโตในชนบท แต่อย่างน้อยก็เป็นทายาทตระกูลจวนโหวเหมือนกัน ก็ถือว่าคู่ควรกับท่านชายอยู่บ้างกระมัง!
ผู้ดูแลหลิวขอเปิดห้องในร้านน้ำชา
เป็นห้องมีหน้าตา ติดกับถนนใหญ่ เลยเห็นภาพผู้คนบนถนนเดินขวักไขว่ไปมา
ทั้งสองนั่งลงคนละฝั่ง ผู้ดูแลหลิวเอ่ยถามกู้เจียว “ฮูหยินน้อยชอบดื่มชาปี้หลัวชุน หรือชาหลงจิ่ง”
“อะไรก็ได้” กู้เจียวตอบ
ผู้ดูแลหลิวเลือกชาจิ่งหลงให้นาง “เป็นใบชาของปีนี้ขอรับ”
กู้เจียวคว้าถ้วยชาผสมน้ำเย็นเล็กน้อย แล้วดื่มจอกใหญ่
นางกระหายน้ำจริงๆ
ผู้ดูแลหลิวได้จ้องอ้าปากค้าง
ท่านชายนี่ก็แปลก แต่งกับนางไปได้อย่างไรกัน
“เชิญเล่า” กู้เจียวเอ่ย
“อ๋อ!” ผู้ดูแลหลิวที่กำลังเหม่ออยู่จึงได้สติ ค่อยๆ เล่าเรื่องภูมิหลังขอเซียวลิ่วหลัง “ที่จริง…ท่านชายเป็นลูกนอกสมรส…”
เรื่องนี้ ต้องเริ่มเล่าจากเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ท่านโหวเคยช่วยเรื่องอุทกภัยไว้ที่เจียงหนาน เมื่อสิบแปดสิบเก้าปีที่แล้ว
ในปีนั้นเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีซึ่งทำลายทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์และผู้คนพลัดถิ่นหลายพัน ซึ่งไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติแต่ยังรวมถึงภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วย
“เงินที่ใช้สร้างเขื่อนถูกขุนนางในพื้นที่โกงกิน พวกเขาลักลอบใช้วัสดุไร้คุณภาพ ขาดบ้างเกินบ้าง ทำให้เขื่อนไม่สามารถรับน้ำไว้ได้ สร้างความเสียหายมูลค่านับไม่ถ้วน”
ตอนนั้นท่านโหวยังไม่มีอิทธิพลเหมือนกับตอนนี้ ฝ่าบาทจึงส่งเขาไปตรวจสอบเรื่องเขื่อน แต่พวกขุนนางในพื้นที่พยายามจะยุแยงไม่ให้เขารายงานความจริงกับฝ่าบาท
แต่ท่านโหวเลือกที่จะไม่เล่นด้วย เขาจึงถูกคนพวกนั้นเล่นงานโดยการส่งกลุ่มโจรมาลอบทำร้ายเขาระหว่างทางที่เขากำลังกลับเมืองหลวง
“ข้าจำได้คร่าวๆ ว่าเหตุเกิดบริเวณใกล้ๆ กับเมืองซง”
ผู้ดูแลหลิวในวัยหนุ่มเคยทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของเซวียนผิงโหว เป็นเพียงไม่กี่คนที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่เซวียนผิงโหว เพียงแต่มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาถูกส่งให้ไปประจำการที่อื่น และเพิ่งจะถูกเรียกกลับมาเมื่อปีที่แล้ว
“พื้นที่ตรงนั้นไม่มีโรงหมอ ท่านโหวจำต้องพำนักที่เรือนของหมอพื้นบ้าน”
หมอพื้นบ้านผู้นั้นไม่มีความรู้มากพอ แม้ท่านโหวจะรอดชีวิตมาได้ แต่ด้วยวิธีรักษาที่ไม่ถูกต้อง ท่านโหวจึงมีโรคเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้
ช่วงที่ท่านโหวพำนักอยู่ที่นั่น เพื่อนบ้านของหมอเป็นครอบครัวเล็กๆ อยู่ด้วยกันสามคน คนพ่อเป็นผีพนันและติดเหล้า ส่วนลูกชายเพิ่งจะอายุไม่กี่ขวบเท่านั้น
เขาได้ยินเสียงผู้ชายทุบตีและดุด่าผู้หญิงและเด็กเกือบทุกวัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องของบ้านอื่น เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ชายคนนั้นเกิดแพ้พนันจนต้องยกลูกตัวเองให้คนอื่น หญิงคนนั้นจึงกอดเข่าอ้อนวอนไม่ให้เขาเอาเด็กไป ชายคนนั้นจึงทำร้ายร่างกายจนปางตาย
ด้วยความที่เซวียนผิงโหวทนไม่ไหว รวมถึงตอนนั้นเขายังหนุ่มยังแน่น จึงบุกเข้าไปสั่งสอนชายคนนั้น
ชายคนนั้นหนีออกไปได้ แต่ระหว่างทางก็ถูกเจ้าหนี้ตามฆ่าจนถึงแก่ตาย
หญิงคนนั้นจึงกลายเป็นแม่หม้ายไปโดยปริยาย
เซวียนผิงโหวเห็นว่านางน่าสงสาร เลยให้เงินนางไป
และเผอิญว่าญาติของหมอพื้นบ้านเป็นผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งทำให้เขาสิ้นเนื้อประดาตัวและไม่มีบ้านอยู่อาศัย
หมอพื้นบ้านไม่เหลือที่ให้พักพิงแล้ว เซวียนผิงโหวยังต้องรักษาตัว ไม่อาจให้ย้ายไปที่ไกลๆ ได้
“ท่านผู้มีพระคุณ หากไม่รังเกียจ เชิญพักที่บ้านของข้าเถิด” หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้น
เรื่องต่อจากนี้คงไม่ต้องรอให้ผู้ดูแลหลิวเล่าต่อ กู้เจียวน่าจะเชื่อมโยงเองได้
“ท่านโหวพำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งปี จนกระทั่งเขาหายเป็นปกติ ท่านโหวชวนนางให้กลับไปอยู่ที่เมืองหลวง แต่นางเกิดลังเล ท่านโหวเองก็ไม่ชอบคะยั้นคะยอคน จึงมอบตราไว้กับนาง แล้วบอกกับนางว่าหากตัดสินใจได้แล้ว ก็ไปหาเขาที่เมืองหลวงได้ทุกเมื่อ”
ผู้ดูแลหลิวถอนหายใจยาว “ไอ้หยา ท่านโหวนะท่านโหว…ช่างไม่เข้าใจหัวอกผู้หญิงเอาเสียเลย”
กู้เจียวไม่เอ่ยแสดงความเห็นอะไร
“ทั้งคู่จากลากันหลายปี ถ้าเมื่อสี่ปีก่อน ท่านชายไม่นำตราและเสื้อผ้าที่ท่านโหวเคยมอบให้มาปรากฏตัวที่เมืองหลวง ชาตินี้ท่านโหวคงไม่มีทางรู้เลยว่านางตั้งท้องกับเขา”
กู้เจียวเอ่ยถาม “ท่านกำลังจะบอกว่า เซียวลิ่วหลังมาที่เมืองหลวงเมื่อสี่ปีก่อน”
ผู้ดูแลหลิวเอ่ย “ถูกต้อง”
กู้เจียวเอ่ยถาม “เขามาอยู่ที่เมืองหลวงนานไหม”
ผู้ดูแลหลิวส่ายหัวพร้อมกับทำหน้าเสียดาย “ท่านชายมาไม่ได้จังหวะ ช่วงนั้นเมืองหลวงมีคดีใหญ่ ท่านโหวทำงานในศาลอาญาและไม่ได้กลับมาพักที่จวน พอกลับมาถึงจวน…ก็ดันได้ข่าวว่าท่านชายน้อยเสียชีวิตแล้ว ท่านชายน้อยเป็นลูกชายคนเดียวของท่านโหว เขาเสียใจถึงขั้นเก็บตัวอยู่คนเดียวไปพักหนึ่ง ตอนนั้นท่านชายฝากของไว้กับบ่าวของจวนโหว เรื่องผ่านไปตั้งนาน บ่าวคนนั้นเพิ่งจะมารายงานให้ท่านโหวทราบ แต่ตอนนั้นท่านชายไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
กู้เจียวครุ่นคิดอยู่พัก “ถ้าอย่างนั้น…เขามาอยู่ที่เมืองหลวงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นรึ”
ผู้ดูแลหลิวเอ่ย “น่าจะไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ”
กู้เจียว “อ้อ”
“มารดาของท่านชายเพิ่งจะมาเฉลยให้เขารู้ก่อนจะสิ้นใจ ท่านชายจึงเดินทางมายังเมืองหลวงพร้อมกับพี่น้องต่างพ่อ ท่านชายยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าท่านโหว พี่ชายดันมาเป็นโรคเรื้อนเสียก่อน ท่านชายกลัวว่าเขาจะถูกจับไปอยู่ที่เขาหม่าเฟิง เลยรีบออกไปจากเมืองหลวงก่อน”
กู้เจียวพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
“ว่าอย่างไรนะ” ผู้ดูแลหลิวไม่เข้าใจว่ากู้เจียวหมายถึงอะไร
“ท่านเล่าต่อเถิด” กู้เจียวเอ่ย
“หลังจากนั้น ท่านโหวจึงสั่งให้คนตามสืบเรื่องของท่านชาย จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ถึงได้รู้ว่าท่านชายเป็นบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเทียนเซียง ท่านโหววานให้ข้ามาพาท่านชายกลับไปที่จวน แต่จนแล้วจนเล่า ท่านชายก็ไม่ยอมสักที เดาว่าท่านชายคงรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตก็เลยไม่ยอมกลับไป”
กู้เจียวเชื่อว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ ยังมีเรื่องที่เขาไม่ได้เล่าอีกหรือไม่นี่สิ
บางครั้ง การบิดเบือนความจริงไม่จำเป็นต้องพูดโกหก แค่พูดออกมาไม่หมดก็เท่ากับเป็นการบิดเบือนแล้ว
นอกจากนี้ ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
กู้เจียวเชื่อเรื่องที่เซียวลิ่วหลังออกตามหาพ่อเมื่อสี่ปีก่อน
แต่เซียวลิ่วหลังเมื่อสี่ปี่ก่อนกับเซียวลิ่วหลังคนปัจจุบัน คือคนเดียวกันหรือไม่
กู้เจียวยกชาขึ้นดื่มหนึ่งจอก ก่อนทำท่าแบมือ “น่าเสียดาย หากเขาไม่ยอมกลับไป ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้”
เดี๋ยวก่อนสิ เจ้านั่งฟังมาตั้งนาน แต่กลับให้คำตอบแบบนี้รึ
เวลานี้เจ้าควรจะร้องไห้ฟูมฟายเพราะรู้สึกสงสารชีวิตของสามีและเศร้าโศกที่พ่อลูกจำกันไม่ได้สิ
นี่นางยังมีต่อมความรู้สึกอยู่ไหมเนี่ย!
เอาละ ในเมื่อวิธีเรียกคะแนนสงสารไม่ได้ผล คงต้องงัดไม้ตายออกมาแล้วล่ะ!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ท่านชายถูกคนที่กั๋วจื่อเจียนกลั่นแกล้ง กั๋วจื่อเจียนเป็นสถานที่แบบไหน คนที่มาเข้าเรียนที่นี่ล้วนแต่เป็นคนยศใหญ่โตทั้งสิ้น ท่านชายไม่มีทางจะเอาชนะคนพวกนั้นได้ด้วยลำแข้งของตัวเองอย่างแน่นอน! ถึงฮูหยินจะไม่ทำเพื่อตัวเอง แต่อย่างน้อยก็ควรทำเพื่อท่านชายมิใช่รึ! ถ้าเขายอมกลับมาทำหน้าที่ท่านชายแห่งเซวียนผิงโหว อย่าว่าแต่กั๋วจื่อเจียนเลย แม้แต่คนทั้งเมืองหลวงแห่งนี้จะต้องยอมก้มหัวให้เขา!”
ในที่สุดแววตาของกู้เจียวเริ่มมีความเปลี่ยนแปลง มิใช่แววตาแห่งความซาบซึ้งแต่อย่างใด แต่เป็นสายตาเย็นเยือกแฝงไปด้วยความอาฆาต
นางลุกขึ้นยืน แล้วจ้องเข้าไปที่ลูกตาของผู้ดูแลหลิวที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะ “ท่านกลับไปเรียนท่านโหวด้วยว่า สามีของข้า ข้าจะเป็นคนปกป้องเอง!”
บังอาจมาทำร้ายสามีของนางงั้นรึ
ดี ดีมาก!
กู้เจียวกลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย
เซียวลิ่วหลังซักเสื้อที่เปื้อนแล้วเรียบร้อย
กู้เจียวมองดูเสื้อที่ถูกแขวนตากที่กำลังลอยพลิ้วไหวท่ามกลางลมหนาวด้วยแววตาสงบนิ่ง
วันต่อมา กู้เจียวเรียกหาเฝิงหลิน
“จิ้งคงบอกว่าเจ้าอยากพบข้า มีเรื่องอันใดรึ” เฝิงหลินเอ่ยถาม
กู้เจียวจึงเล่าเจตนาของนางออกไป
“คือว่า…ลิ่วหลังไม่ยอมให้ข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจ้าฟัง” เฝิงหลินเอ่ยพร้อมกับทำตัวหด
กู้เจียวไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนจ้องเขาไม่ขยับไปไหน
เฝิงหลินเคยไม่ชอบขี้หน้ากู้เจียว แต่ต่อมากลายเป็นว่าเขาชอบนางมาก เป็นความชอบแบบพี่น้อง ไม่ใช่แบบคนรักแต่อย่างใด
สุดท้ายเฝิงหลินจำต้องยอมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้นางฟัง “เอาละ เรื่องมีอยู่ว่า ลิ่วหลัง…ไปฉีกหน้าท่านรองเจิ้ง…”
ฉีกหน้าอย่างไรนั้น เฝิงหลินเองก็ไม่แน่ใจ น้อยคนที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างจิ้งคงกับฉินฉู่อวี้
เซียวลิ่วหลังเป็นบัณฑิตเรียนดี ได้อยู่ในห้องไชว่ซิ่ง
แต่ไม่รู้ทำไม การสอบประจำเดือนครั้งนี้ เขากลับสอบได้ที่สุดท้าย ได้ยินมาว่ารองเจิ้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่รู้ดีว่าระดับเซียวลิ่วหลังไม่มีทางตกอันดับขนาดนั้นแน่นอน
“หลินเฉิงเย่ยังถามเลยว่า รองเจิ้งกำลังเล่นงานเซียวลิ่วหลังอยู่หรือไม่ ไหนจะหวังฉี เฉินตั๋ว หลัวตู้ จ้าวไห่…”
รายชื่อพวกนั้นคือคนที่ช่วงนี้เข้ามาทำตัวแปลกๆ กับเซียวลิ่วหลัง
กู้เจียวจดชื่อพวกเขาลงสมุดเล่มเล็กของนางทีละคน
มีบางคนที่พวกเขารู้ว่าถูกบังคับมา กู้เจียวเลยขีดฆ่าชื่อคนเหล่านั้นออก เหลือไว้แค่สี่ชื่อ ได้แก่ หลัวตู้ จ้าวรุ่ย โจวเฟิ่งผิง และรองเจิ้ง
หลัวตู้กับจ้าวรุ่ยเป็นบัณฑิต ส่วนโจวเฟิ่งผิงเป็นกรรมการบัณฑิต
ห้องไชว่ซิ่งคือห้องที่รวมบัณฑิตระดับหัวกะทิของกั๋วจื่อเจียน ว่ากันตามตรง คงไม่มีใครจู่ๆ อยากเข้าไปกลั่นแกล้งบัณฑิตที่มาจากห้องนั้นอย่างแน่นอน
โจวเฟิ่งผิงเป็นลิ่วล้อของรองเจิ้ง หากรองเจิ้งได้เป็นจี้จิ่ว เขาก็มีโอกาสจะได้เป็นรองผู้อำนวยการคนต่อไป
ส่วนหลัวตู้นั้น เป็นท่านชายของจวนหลัวกั๋วกง ส่วนจ้าวรุ่ยเป็นบุตรชายของเสมียนกรมโยธาซึ่งเป็นหัวหน้าของท่านโหวกู้
แน่นอนว่าสำหรับกู้เจียวแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจมารังแกสามีของนางได้!
ช่วงวัดผลประจำปี ท่านโหวกู้มักจะขบคิดหาวิธีเอาใจหัวหน้าของเขาให้ได้
หลังจากที่ท่านโหวกู้มอบของขวัญชุดใหญ่ให้เขา บุตรสาวของเขาดันเล่นงานบุตรชายของหัวหน้าตัวเองจนแทบไม่เหลือชิ้นดี! และแน่นอนว่า ท่านโหวกู้ยังไม่รู้เรื่องนี้!
สภาพของเขาเละถึงขั้นที่ว่าพ่อแม่แท้ๆ ยังจำหน้าไม่ได้!
พอมอบของขวัญเสร็จ ระหว่างทางกลับจวน จู่ๆ ท่านโหวกู้มีลางสังหรณ์ไม่ดี พลางนึกในใจ ส่งของขวัญไปตั้งมากมาย แต่ทำไมกลับรู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ลากสังหรณ์ประหลาดนี้ยิ่งทวีคูณขึ้นหลังจากที่กู้เจียวเสร็จสิ้นจากการเล่นงานท่านชายของจวนหลัวกั๋วกง
ท่านโหวกู้รู้สึกเย็นสันหลังวาบ
เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนี่นา แต่ไฉนจู่ๆ กลับรู้สึกลางร้ายกำลังเข้ามาล่ะ
หลังจากกู้เจียวจัดการกับโจวเฟิ่งผิงเสร็จ ตัดภาพมาที่ท่านโหวกู้ที่กำลังดื่มน้ำก็สำลักขึ้นมา!
เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงรู้สึกโหวงๆ ขึ้นมาล่ะ
กู้เจียวหยิบหนังสือเล่มเล็กที่จดรายชื่อบัญชีดำขึ้นมาแล้วขีดข่าชื่อของโจวเฟิ่งผิง
สายตาของนางจับจ้องไปที่ชื่อสุดท้าย แล้วยิ้มมุมปาก