สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 155 ดูแล
พอกันที คนทั้งบ้านหกคนล้มป่วยกันครึ่งบ้าน
กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังไม่กล้าให้หญิงชราพักอยู่ที่บ้านต่อ
เสี่ยวจิ้งคงเป็นอีสุกอีกใสก็เหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา แต่ถ้าหากหญิงชราเป็นอีสุกอีใสนั่นได้ถึงแก่ชีวิตแน่
“ให้นางไปพักอยู่บ้านข้างๆ สักสองสามวันดีกว่ากระมัง” กู้เจียวเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง
กู้เจียวรู้แล้วว่าชายชราบ้านข้างๆ เป็นคุณปู่ที่นางเคยช่วยรักษาให้บนเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นสามีของหญิงชราหรือไม่ สุดท้ายเขาก็เป็นคนที่ควรค่าพอจะเชื่อถืออยู่ดี
เซียวลิ่วหลังอ้าปากพะงาบๆ อันที่จริงพวกเขาสองคน…เป็นอริเก่ากันมาก่อน ประเภทที่อีกฝ่ายต้องตายกันไปข้าง
พักบ้านข้างๆ จะไม่เป็นไรจริงๆ รึ
ทั้งสองคนคงจะไม่ฆ่าแกงอีกฝ่ายกันตายไปก่อนกระมัง
พอหญิงชราได้ยินว่าต้องไปพักกับตาเฒ่านั่นก็รังเกียจยิ่งนัก ทว่านึกถึงเด็กน้อยสามคนที่เป็นอีสุกอีใสแล้ว นางก็ยังคงเลือกรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้อยู่ดี
เมื่อจี้จิ่วอาวุโสที่กำลังรดน้ำดอกไม้อยู่เห็นหญิงชราสีหน้าทะมึนปรากฏตัวตรงหน้าตนก็ตกอกตกใจจนบัวรดน้ำร่วง “ข้าไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวแล้ว!”
หญิงชราจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วถือสัมภาระเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ
จี้จิ่วอาวุโสปากอ้าตาค้างทันที “นะ นะ นะ นี่มันบ้านข้านะ!”
หญิงชราโยนของเขาออกมาก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตั้งแต่นี้ไปก็ไม่ใช่แล้ว”
จี้จิ่วอาวุโส “…”
จี้จิ่วอาวุโสกัดฟัน เขาทน เขาต้องทนไว้!
ตลอดทั้งปีมานี้กู้เสี่ยวซุ่นกับเสี่ยวจิ้งคงไม่เคยปวดหัวตัวร้อนเลยสักครั้ง ทว่าครานี้มาเป็นอีสุกอีใส นึกไม่ถึงเลยว่าจะอาการหนักกว่ากู้เหยี่ยนเสียอีก
ทั้งสองมีไข้สูงสี่สิบองศา กินยาลดไข้ไปแล้วก็ไม่ลดลง
กู้เจียวจึงแอบให้น้ำเกลือกับทั้งสอง
กู้เหยี่ยนนั่งลงฝั่งตรงข้ามของทั้งคู่ มองทั้งสองคนโดนเข็มจิ้มด้วยสีหน้าลำพอง
คนพี่กับคนน้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ให้น้ำเกลือ อย่าให้พูดเลยว่าอยากต่อยกู้เหยี่ยนมากเพียงใด
เซียวลิ่วหลังเข้าห้องมาเห็นภาพนี้เข้า ไม่เคยพบเคยเห็นวิธีการรักษาอันแปลกประหลาดเช่นนี้ในหกแคว้นนี้และในโลกใบนี้มาก่อนเลย
ยามนี้ความลับของทั้งคู่ต่างค่อยๆ ปกปิดไว้ไม่อยู่แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของเขาและฝีมือการแพทย์ของนางล้วนผุดขึ้นมาบนผิวน้ำทีละนิด
เพียงแต่เขาไม่อยากพูดถึงชาติกำเนิดของเขาให้มากมาย แน่นอนว่าจึงไม่มีสิทธิไปถามวิชาการแพทย์ของนางเช่นกัน
กู้เจียวก็เช่นกัน
ทุกคนต่างเป็นคนฉลาดรู้ความ
“มีอะไรให้ช่วยหรือไม่” เซียวลิ่วหลังถามขึ้น
กู้เจียว “น้ำร้อนหมดแล้ว”
“ข้าไปต้มให้” เซียวลิ่วหลังหันหลังไปทางครัว
กู้เจียวรออยู่เพื่อสังเกตอาการของทั้งสามคน
เสี่ยวจิ้งคงอายุน้อยที่สุด ยอมรับกับเรื่องราวกับสิ่งแปลกใหม่ต่างๆ ได้มากที่สุด เพียงไม่นานเขาก็ปรับตัวกับเข็มบนหลังมือได้
ทว่ากู้เสี่ยวซุ่นกลับหวาดกลัวจนตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง
“ไม่เป็นไรหรอก” กู้เจียวปลอบเขาเสียงแผ่วเบา
ให้น้ำเกลือได้ไม่นาน เสี่ยวจิ้งคงก็ง่วงขึ้นมา
กู้เจียวจึงอุ้มเขามาวางไว้บนตัก ให้นั่งอยู่ข้างกู้เสี่ยวซุ่น อยู่เป็นเพื่อนพวกเขาสองคนเงียบๆ
กู้เจียวเดิมทีคิดว่าเสี่ยวจิ้งคงที่อายุน้อยที่สุดจะป่วยไม่หนักที่สุด ผลสุดท้ายคืนนั้นมือและเท้าของเสี่ยวจิ้งคงกลับเริ่มเย็นเฉียบขึ้นมา
กู้เจียวเจาะตุ่มน้ำบนขาให้เขา
เด็กน้อยนั่งยุกยิกอยู่ไม่สุก
“เจ้ากอดเขาไว้หน่อย” เซียวลิ่วหลังบอก
กู้เจียวนั่งอยู่บนเก้าอี้กอดเสี่ยวจิ้งคงเอาไว้ เซียวลิ่วหลังนั่งย่อตัวลงกับพื้นยกกะละมังไม้ให้เขาแช่เท้า
การกระทำแบบนี้ อย่าว่าแต่คนปกติทั่วไปทำแล้วเหนื่อยมาก นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาเลย
กู้เจียวจึงเอ่ย “ข้าทำเอง”
“ไม่ต้องหรอก” เซียวลิ่วหลังเหงื่อผุดซึมหน้าผาก เอ่ยเสียงเรียบ “เขาไม่อยากให้ข้ากอดหรอก”
เสี่ยวจิ้งคงนอนหลับสนิทไปแล้ว ยังจะรู้ได้อีกรึว่าใครเป็นคนกอด
กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เขา
หลังจากแช่เท้าแล้ว เสี่ยวจิ้งคงก็เหงื่อออกทั่วตัว ไข้ก็ลดลงไปบ้างแล้ว มือเท้าก็ไม่เย็นเฉียบเหมือนก่อนหน้านี้แล้วด้วย
พูดตรงๆ ว่าชาติก่อนกู้เจียวไม่ได้คลุกคลีกับคนไข้เด็กเท่าใดนัก นางจึงไม่กล้าชะล่าใจ
“ข้าจะไปดูทางเสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนหน่อย” เซียวลิ่วหลังบอกพลางเอาน้ำร้อนที่ใช้แล้วออกไปด้วย
กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นก็มีไข้ขึ้นค่อนข้างสูงเช่นกัน ทว่าไม่ได้หนักเท่าเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงหลับไปค่อนคืนจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมานั่ง ลืมตาสีดำสนิทเบิกโตขึ้นทั้งสองข้าง กะพริบปริบๆ ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่
กู้เจียวจึงถามขึ้น “เป็นอะไรไปรึ”
“เจียวเจียว” เขาเอ่ยขึ้น
“ข้าอยู่นี่” กู้เจียวกอดเขาสู่อ้อมอกแล้วพานอนลง
เสี่ยวจิ้งคงจึงหลับตาลง
เพียงไม่นานเขาก็ลุกขึ้นนั่งอีก เบิกตาโตราวกับระฆังสำริด
“พี่เขย” เขาเอ่ยขึ้น
“ก็อยู่นี่เหมือนกัน” กู้เจียวเรียกเซียวลิ่วหลังให้เข้ามา “นอนเสียเถิด”
เสี่ยวจิ้งคงมองกู้เจียวแล้วมองเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะหลับไปอย่างสบายใจ
ทว่านอนไปเรื่อยๆ เขาก็คลานขึ้นมาอีก
เขามีไข้จนสติเลอะเลือนแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะลืมตาเบิกโพรง ท่าทางตาค้างตาโต แต่ความจริงแล้วเหมือนกับไปดื่มจนเมามายมาอย่างไรอย่างนั้น
เขาเริ่มท่องบทกวีในราชวงศ์ถังขึ้นมาก่อนทีละบท จากนั้นก็เริ่มพูดภาษาแคว้นเฉิน งึมงำเป็นชุดใหญ่ สีหน้าท่าทางเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
พอพูดภาษาแคว้นเฉินจบก็เริ่มเปลี่ยนเป็นภาษาแคว้นเหลียงต่อ
ประโยคเหล่านี้เซียวลิ่วหลังเพียงแค่เอ่ยขึ้นครั้งเดียวไปตามอำเภอใจเท่านั้น ไม่ได้บอกให้เขาจำเป็นจุดสำคัญ คิดว่าเขายังพูดไม่เป็นเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะพูดออกมาได้แล้ว
จากนั้นก็เป็นภาษาของแคว้นจิ้นอีกหลายประโยค
ภาษาแคว้นเยี่ยนกับภาษาทูเจวี๋ยนั้นเซียวลิ่วหลังยังไม่ได้สอน
เซียวลิ่วหลังต่อสนทนากับเขาด้วยท่าทีสนใจใคร่รู้
ยามปกติเซียวลิ่วหลังก็ทดสอบเขาเช่นนี้ วันเวลาที่เขาเรียนนั้นสั้น ต้องคิดเสียก่อนจึงจะเอ่ยตอบบทสนทนาออกมาได้
อีกทั้งเพราะภาษาที่เรียนมีมากนัก บางครั้งก็จะตอบผสมปนกันมั่วซั่ว
ทว่าคืนนี้เซียวลิ่วหลังเปลี่ยนภาษาไปสี่แคว้นอย่างรื่นไหลไร้รอยต่อ เขากลับตอบไม่ผิดเลยแม้แต่ประโยคเดียว
…เลอะเลือนไม่น้อย
เขาปิดท้ายด้วยการสวดพระไตรปิฎกออกมา แถมยังใช้ภาษาบาลีด้วย
ไม่เพียงเท่านี้เขายังโวยวายว่าจะใส่ชุดเณรน้อย และงอแงจะเคาะปลาไม้ของเขาด้วย
กู้เจียวไปเอาของของเขามาให้
เวลาหนึ่งเค่อต่อมา
ทั้งสองคนเห็นเสี่ยวจิ้งคงตั้งอกตั้งใจเคาะปลาไม้อยู่บนที่นอน พร้อมกับบีบลูกประคำ สวดพระไตรปิฎก ทันใดนั้นก็พลันพากันพูดอะไรไม่ออก
นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
เสี่ยวจิ้งคงเคาะปลาไม้ เคาะไปเคาะมาก็คันหัว เขายกมือขึ้นเกา เกาเจอผมกระจุกหนึ่ง
ทันใดนั้นเขาก็มึนงงทันที “ท่านอาจารย์ เหตุใดผมข้าขึ้นแล้วเล่า ข้าเป็นพระไม่ได้แล้ว! ท่านโกนให้ข้าเร็วเข้า! ข้าจะโกนหัว!”
เขาร้องไห้หนักขึ้นชนิดที่ว่าปลอบยากเลยทีเดียว
ดังนั้นกู้เจียวจึงต้องให้เขา ‘อาจารย์จำเป็น’ ของเขาทำ เซียวลิ่วหลังถือมีดโกนมาโกนผมของเขาที่กว่าจะขึ้นมาสักครึ่งปีอย่างยากลำบากทิ้ง
วันรุ่งขึ้นเสี่ยวจิ้งคงตื่นขึ้นมาก็จำไม่ได้ว่าเมื่อคืนตัวเองทำอะไรไปบ้าง
และไม่ได้สังเกตเลยว่าผมของเขาหายเกลี้ยงไปหมดแล้ว
เมื่อวานกู้เหยี่ยนไม่ต้องฉีดยาจึงลำพองใจอยู่เลย มาวันนี้เขาลำพองไม่ไหวแล้ว
เขาอาการหนักขึ้นกว่าเสี่ยวจิ้งคงเสียอีก ซ้ำยังมีอาการไอที่ยากจะควบคุมได้อีก ยาที่ป้อนไปก็อาเจียนออกมาหมด
เด็กทั้งสามคนพากันล้มป่วย ในที่สุดกู้เจียวก็ได้สัมผัสแล้วว่ายุ่งไฟท่วมหัวว่ามันเป็นอย่างไร
“คันน่ะ คัน!”
เสี่ยวจิ้งคงร้องขึ้นอีกแล้ว
กู้เจียวเดินเข้ามาในห้อง “อย่าเกานะ เกาแล้วจะเป็นแผลเป็น”
เสี่ยวจิ้งคงข่วนเกาอย่างบ้าคลั่ง “แต่ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
กู้เจียวจึงจำต้องทายาเย็นๆ ระงับคันให้เขา
…
หลายวันมานี้กู้ฉังชิงไม่ได้ผ่านมาทางละแวกกั๋วจื่อเจียนเลย ตั้งแต่รู้ชาติกำเนิดของกู้เจียวกับกู้เหยี่ยนแล้วเขาก็จงใจหลบเลี่ยงที่นี่ ยอมอ้อมถนนอีกเส้นดีกว่า
ทว่าวันนี้กลับไม่ใช่ เขามาที่ตรอกปี้สุ่ยอย่างกับผีเข้าหรือกินยาผิดมา
เสียงเกือกม้าแผ่วเบามากเพื่อไม่ให้ส่งเสียงให้ใครรู้
เขาบอกตัวเองว่าก็แค่ผ่านมาเท่านั้น เหมือนกันคราวที่แล้วๆ มานั่นแหละ
เขาดึงบังเหียนแน่น เปิดประตูเดินไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่ากลับได้ยินเสียงไอโขลกดังขึ้นแว่วๆ
แววตาเขาพลันเปลี่ยน ดึงบังเหียนแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณทันที
ม้าเดินช้าๆ ดึงบังเหียนเบาๆ ก็หยุดลงแล้ว
เสียงไอนั้นกระชั้นและดูเจ็บปวด คิ้วเขาพลันขมวดมุ่นทันที
เขาลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พลิกตัวลงจากหลังม้ามา
เขาเดินมาหน้าประตู กำลังจะยกมือขึ้นเคาะก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสม
บุญคุณความแค้นสิบกว่าปีคลุกคลีกันแค่ครั้งสองครั้งแล้วจะหายกันได้อย่างไร เดิมทีระหว่างพวกเขาก็ควรเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยที่สุดเท่านั้น
เขาหันหลังหมายจะกลับ ทว่าประตูเรือนกลับเปิดออกเสียงดังแอ๊ด
คนที่เปิดประตูคือเสี่ยวจิ้งคง
วันนี้เสี่ยวจิ้งคงดีขึ้นมากแล้ว แค่ยังคันตัวอย่างแสนสาหัสก็เท่านั้น แต่ว่าเจียวเจียวไม่อนุญาตให้เขาเกา เขาจึงกะว่าจะหนีออกไปเกาสักหน่อย
ผลสุดท้ายมาถูกพี่ใหญ่จับได้เสียแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงเอามือไพล่หลังไว้ด้วยอาการร้อนตัว
เขาสวมหมวกพี่เสือไว้ กู้ฉังชิงจึงไม่ได้สังเกตเห็นผมน้อยๆ ของเขา
กู้ฉังชิงมองเขาอย่างลังเล “เจ้าจะไปไหนรึ”
“ข้า…” เสี่ยวจิ้งคงดวงตาล่อกแล่กไปมา “ออกมาสูดอากาศเสียหน่อยน่ะ”
กู้ฉังชิงสายตาตกลงบนตุ่มแผลตรงใบหน้าเขา “เป็นไข้ออกตุ่มยังจะออกไปโดนลมได้อีกหรือ พี่สาวเจ้ารู้หรือไม่น่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงไขว้นิ้วไว้
กู้ฉังชิงไม่สงสัยเลยสักนิดหากเขากลับไป เจ้าหนูน้อยคงได้วิ่งออกมาทันทีแน่
กู้ฉังชิงจูงมือเสี่ยวจิ้งคงพาเขาเข้าไปในเรือน
กู้เจียวกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว
“เขาจะวิ่งออกไปข้างนอกแหนะ” กู้ฉังชิงหิ้วเสี่ยวจิ้งคงเข้ามาในห้องครัว
เสี่ยวจิ้งคงที่เอาแต่ฟ้องเรื่องคนอื่นมาตลอดทั้งปี ในที่สุดก็โดนคนอื่นเขาฟ้องเสียบ้างแล้ว
ทำอะไรเอาไว้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องได้รับอยู่ดี
เสี่ยวจิ้งหูลู่หางตกก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
กู้เจียวมองเสี่ยวจิ้งคงแวบหนึ่งแล้วมองไปยังกู้ฉังชิง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ขอบคุณมาก”
ไม่มีบทสนทนาใดต่อ
ทั้งสามคนภายในห้องครัวไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกผิด ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคนเป็นอะไรกันขึ้นมา
“ใครกำลังไอรึ” กู้ฉังชิงได้ยินเสียงไออีกครั้ง
“กู้เหยี่ยนน่ะ” กู้เจียวบอก “เขาก็เป็นอีสุกใสเช่นกัน”
เดิมทีอีสุกอีใสก็ไม่ใช่โรคเบาๆ นับประสาอะไรกับกู้เหยี่ยนที่เป็นโรคหัวใจด้วย กู้ฉังชิงขมวดคิ้วขึ้น กำลังจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิพูด
“เจ้าเคยเป็นหรือยัง” กู้เจียวถาม
“เป็นแล้ว” กู้ฉังชิงบอก
กู้เจียวมองไปยังเสี่ยวจิ้งคง “จิ้งคงพาพี่ใหญ่เจ้าไปดูพี่เหยี่ยนที”
ดียิ่งนัก ไม่ต้องเผชิญหน้ากับลมแรงแล้ว!
เสี่ยวจิ้งคงจับมือกู้ฉังชิงแล้วพาเขาไปห้องกู้เหยี่ยน
กู้เหยี่ยนไม่ตั้งใจกินยาให้ดีๆ กินคำหนึ่งก็บ้วนออกมาคำหนึ่ง กระเด็นเต็มตัวไปหมด
เซียวลิ่วหลังไม่เคยเลี้ยงน้องชายที่โตขนาดนี้ บอกตรงๆ ว่าค่อนข้างขาดประสบการณ์
อีกทั้งกู้เหยี่ยนยังไม่แข็งแรงถึกทนเหมือนเสี่ยวจิ้งคง จัดการไปลวกๆ ก็ไม่เป็นไร หากชะล่าใจไปเล็กน้อยเซียวลิ่วหลังกลัวว่าตัวเองจะดูแลกู้เหยี่ยนได้ไม่ดี…
“เอามาให้ข้าดีกว่า”
กู้ฉังชิงที่อยู่หน้าประตูพลันเอ่ยโพล่งขึ้น
เซียวลิ่วหลังหันหน้ามามองกู้ฉังชิงอย่างระแวดระวังแวบหนึ่ง เห็นเสี่ยวจิ้งคงจูงมือเขาอยู่ ความระแวดระวังในแววตาเขาจึงหายไป
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “เจียวเจียวให้ข้าพาพี่ใหญ่มาหา!”
เซียวลิ่วหลังได้ยินเสี่ยวจิ้งคงว่ามาเช่นนี้ก็ไม่ได้ลังเลอีกต่อไป เขาลุกขึ้นถือไม้เท้าเดินออกจากห้องมาพร้อมเสี่ยวจิ้งคง
กู้ฉังชิงหันกลับมามองเซียวลิ่วหลังแวบหนึ่ง
เขาไม่เคยเจอเซียวลิ่วหลังมาก่อน แต่เขารู้สึกคุ้นหน้านัก
อีกอย่างความระแวดระวังที่อีกฝ่ายแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ไม่เหมือนบัณฑิตธรรมดาๆ ควรจะมี
น้องสาวนางนี้ไปแต่งงานกับบุรุษประเภทไหนกันแน่นะ
ไม่สิ นางไม่ใช่น้องสาวเขาเสียหน่อย!