สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 157 โดนใส่ร้าย
“เกิดเรื่องอะไรรึ” แม่นางเหยาถาม
สาวใช้เอ่ยตอบอย่างร้อนรน “คุณหนูรองบุกเข้าไปในห้องหนังสือของซื่อจื่อ จากนั้นทำลายข้าวของของฮูหยินคนก่อนจนแหลกเลยเจ้าค่ะ! ตอนนี้ท่านชายรองกับท่านชายสามเข้าไปแล้ว ท่านชายสามยืนกรานว่าจะทำโทษคุณหนูรองให้ได้เจ้าค่ะ!”
ทำลายสมบัติของฮูหยินคนก่อนขนาดนั้น ไม่แปลกที่ท่านชายทั้งสามจะเอาเรื่องจนถึงที่สุด
“แล้วเหล่าฮูหยินรู้เรื่องหรือยัง”
สาวใช้ส่ายหัว “เหล่าฮูหยินกำลังพักผ่อนอยู่ น่าจะยังไม่ทราบเรื่องเจ้าค่ะ”
แม่นางเหยาตัดสินใจไปดูที่เกิดเหตุ
“เดี๋ยวข้าไปด้วย” กู้เจียวเอ่ย
“ไม่ต้อง เจ้ารออยู่นี่แหละ ไม่สิ เจ้ากลับไปก่อนดีกว่า” แม่นางเหยาไม่อยากให้ลูกสาวของตนต้องมาพัวพันกับเรื่องวุ่นวายในจวน
“ไม่เป็นไรหรอก” กู้เจียวเอ่ย
น่าสนุกดีออก ต้องไปเห็นกับตาเสียหน่อย
ถ้ากู้เจียวยืนกรานว่าจะไป ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ขวางมิได้ แม่นางเหยาเลยจำต้องพากู้เจียวไปยังเรือนของกู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงกำลังฝึกดาบที่หลังเขา เลยยังไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่เรือนมีแค่กู้เฉิงเฟิงกับกู้เฉิงหลินอยู่ตรงนั้น
แม่นางเหยาและกู้เจียวได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังลอยมาแต่ไกล “ยังจะมาปากแข็งอีก! เจ้าจงใจทำลายข้าวของของแม่ข้าใช่ไหม!”
“ข้าไม่ได้ทำนะ! พี่สาม ข้าไม่ได้ทำจริงๆ ! พี่ต้องเชื่อข้าสิ! ข้าไม่ได้ทำแจกันดอกไม้นี่แตกนะ!”
ตามมาด้วยเสียงกู้จิ่นอวี๋ที่กำลังเถียงกลับ
กู้เฉิงหลินแค่นหัวเราะ “ในห้องมีแค่เจ้ากับสุ่ยเซียน ถ้าเจ้าไม่ได้ทำ เช่นนั้นสุ่ยเซียนเป็นคนทำรึ”
เดิมกู้เฉิงหลินไม่ได้รังเกียจน้องคนละแม่อย่างนางหรอก แต่เขารู้สึกถูกชะตากับสุ่ยเซียนมากกว่าต่างหาก
ถ้าให้เลือกระหว่างสองคนนี้ แน่นอนว่าเขาต้องเลือกสุ่ยเซียนอยู่แล้ว!
หลังจากที่ยืนฟังมาสักพัก แม่นางเหยาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางไม่ใช่คนอ่อนไหวใจเสาะแบบเมื่อก่อนแล้ว แม่นางเหยาตั้งสติ ทำใจสู้แล้วเดินเข้าไปในเรือน
พอกู้จิ่นอวี๋เห็นแม่นางเหยาเดินเข้ามาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปพลางทำหน้าหงอย “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำแจกันของฮูหยินแตกนะ! ข้าไม่ได้ทำ! พอข้าเดินเข้ามาก็เห็นมันแตกอยู่แล้ว!”
หลิงสุ่ยเซียนเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “ที่เจ้าบอกว่าเดินมาก็เห็นมันแตกอยู่แล้ว หมายความว่าอย่างไรกัน! หรือเจ้าจะบอกว่า…ข้าเป็นคนทำเช่นนั้นสินะ ข้าก็บอกแต่แรกแล้วว่าเจ้าอย่าเดินตามข้ามา อย่าเข้าไปในห้องหนังสือของพี่ใหญ่ แต่เจ้าดันไม่เชื่อฟัง! แล้วเป็นอย่างไรเล่า ดันเกิดเรื่องจนได้!”
กู้จิ้นอวี๋ส่ายศีรษะทั้งน้ำตา “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ …”
แม่นางเหยาเริ่มหัวตื้อ “แม่เคยเตือนเจ้าว่าอย่างไร เหตุใดเจ้าถึงไม่เชื่อฟัง”
กู้จิ่นอวี๋ปล่อยโฮ “ข้าผิดไปแล้ว แต่ว่า…ข้าไม่ได้ทำจริงๆ …”
กู้จิ่นอวี๋ไม่ได้ทำแจกันแตกจริงๆ
ณ จุดนี้ เจียวเหนียงไม่ได้แคลงใจแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เคยเกิดในฝันของนางมาก่อน
จะต่างกันก็ตรงที่คนที่รับกรรมเป็นกู้จิ่นอวี๋แทน ขณะที่ในฝันนั้น กู้เจียวเป็นคนประสบเอง
เรื่องราวในฝันมีอยู่ว่า หลังจากที่กู้เจียวกลับมาอยู่ที่จวนโหวแล้ว ด้วยความที่ไม่มีแม่และน้องชายอยู่ข้างๆ เพื่อจะได้คุ้นชินกับจวนโหว เลยต้องทำดีกับลูกพี่ลูกน้องอย่างหลิงสุ่ยเซียน
หลิงสุ่ยเซียนเห็นว่ากู้เจียวดูเป็นคนใจดี จะไม่เข้าหาเลยก็กะไรอยู่ จึงพากู้เจียวไปที่เรือนของกู้ฉังชิง
เดิมกู้เจียวคิดว่าตัวเองจะได้ผูกมิตรกับพี่ใหญ่แล้ว แต่พอเข้าไปที่เรือน ไม่เจอพี่ใหญ่ กลับหลงกลลวงของหลิงสุ่ยเซียน
หลิงสุ่ยเซียนเดิมทีไม่ได้ตั้งใจจะใส่ร้ายกู้เจียว แต่นางดันเผลอทำแจกันในห้องแตก ทั้งกลัวว่าจะถูกพี่ใหญ่ทำโทษ เลยโยนความผิดให้กู้เจียว
ภาพในฝันกับเหตุการณ์ตรงหน้าเหมือนกันตรงที่ ไม่มีใครยอมเชื่อนาง!
ยังดีที่ว่า ของที่ทำแตกในฝันเป็นโถใส่เถ้ากระดูกของฮูหยินคนก่อน แต่ที่เกิดขึ้นเป็นแค่แจกันดอกไม้เท่านั้น
แน่นอนว่าในฝัน คนทั้งจวนโหวไม่มีใครคิดดีกับนางเลยสักคน
แม้แต่ท่านโหวกู้ที่มักทำตัวห่างเหินกับฮูหยินคนก่อนเองยังรู้สึกว่ากู้เจียวทำเกินไปด้วยซ้ำ
ตอนที่กู้เจียวเดินทางมาถึงจวนโหว แล้วได้เจอกับหลิงสุ่ยเซียน ทำให้ย้อนนึกถึงภาพฝันครั้งนั้น
นางเคยให้โอกาสกู้จิ่นอวี๋ได้หลบเลี่ยงเหตุการณ์แบบนี้แล้ว
แต่กู้จิ่นอวี๋เลือกไม่รับไว้เอง
แล้วจะโทษใครได้เล่า
กู้จิ่นอวี๋รู้สึกเสียใจมาก ไม่น่าเลยจริงๆ !
รู้เช่นนี้ นางตอบตกลงกู้เจียวแล้วไปหาท่านแม่แต่แรกก็จบ!
เป็นอย่างไรเล่า นอกจากจะอดผูกมิตรกับพี่ใหญ่แล้ว ยังสร้างเรื่องให้พี่ๆ ทั้งสามจนได้!
แม่นางสุ่ยเซียนคนนี้ ดูภายนอกไม่มีพิษสงอะไร แต่ดันกล้าทำเรื่องหน้าไม่อายแบบนี้ขึ้นมาได้!
บัดนี้ กู้จิ่นอวี๋ถูกแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงแล้ว ต่อให้กู้เฉิงเฟิงกับกู้เฉิงหลินจะโกรธเคืองนางแค่ไหน ก็มิอาจลงโทษนางได้ตามอำเภอใจ
แต่ถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ก็จะเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของนาง
แน่นอนว่ากู้จิ่นอวี๋มิอาจทนเป็นแพะให้ใครมาเข้าใจผิดได้
“ใครเป็นคนทำแตก รอให้ท่านโหวมาตรวจให้แน่ชัดก่อนจะดีกว่า จิ่นอวี๋ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นางเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหว อีกทั้งฝ่าบาทยังทรงแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิง พวกเจ้ากล่าวหานางลอยๆ แบบนี้มิได้” แม่นางเหยาดึงตัวกู้จิ่นอวี๋มาหลบด้านหลัง พลางร่ายยาวตอกกลับท่านชายกู้ทั้งสอง
กู้เฉิงหลินได้ยินดังนั้นก็มองตาขวาง ใครสนเล่าว่านางเป็นหรือไม่เป็นท่านหญิง เขาพยายามลุกขึ้นจากรถเข็นและพุ่งตัวไปทางแม่นางเหยา
แม่นางเหยากอดร่างของกู้จิ่นอวี๋ไว้แน่น
กู้เจียวพอเห็นเข้าก็เดินเข้าไปขวางที่ด้านหน้าแม่นางเหยาด้วยท่าทีเรียบเฉย
เมื่อกู้เฉิงหลินได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยของกู้เจียว ความรู้สึกตอนถูกขังในห้องมืดครั้งนั้นก็กลับมาอีกครั้ง
กู้เฉิงหลินยืนนิ่งไม่กล้าขยับต่อ!
กู้เฉิงเฟิงไม่รอช้า หันไปสบตาน้องชายตัวเองหนึ่งที ก่อนจะใช้นัยน์ตาดำขลับมองไปทางกู้เจียว
“ไปเถอะ” กู้เจียวเอ่ย
กู้จิ่นอวี๋จึงเดินออกไปจากตรงนั้น โดยอยู่ในความดูแลของแม่นางเหยา
“ที่จวนโหวไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย! แถมข้ายังโดนลูกพี่ลูกน้องใส่ร้ายอีก! วันหลังข้าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก!” หลิงสุ่ยเซียนละอายใจจนแทบอยากมุดแผ่นดินหนี พะวงว่าหากกู้ฉังชิงกลับมามีหวังได้ถูกเค้นความจริงจนหมดหนทางหาข้ออ้างเป็นแน่แท้
ครึ่งชั่วยามต่อมา กู้ฉังชิงก็กลับมาที่เรือนจนได้
เขามีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ทั้งร่างเต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าซีดเซียวดูไร้เรี่ยวแรง
กระนั้นแล้ว ความน่ายำเกรงของเขาแทบไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เขาหันไปถามน้องชายทั้งสองที่เอาแต่อ้ำอึ้ง
กู้เฉิงหลินจึงเล่าเรื่องไปอย่างใส่ไข่ใส่สีว่ากู้จิ่นอวี๋ทำแจกันของมารดาแตกและโยนความผิดให้หลิงสุ่ยเซียน กู้เฉิงหลินรู้สึกเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพราะแจกันนั้นเป็นสมบัติชิ้นโปรดยามมารดายังมีชีวิตอยู่ แถมมีคนเคยเล่าให้เขาฟังว่าตอนเด็กๆ เขาชอบถ่ายเบาลงในแจกันใบนั้นด้วย
พอท่านแม่รู้เรื่องเข้าก็หัวเราะยกใหญ่ แล้วอุ้มเขาขึ้นมาหอมกอดฟัดด้วยความมันเขี้ยว
ที่จริงกู้เฉิงหลินจำภาพเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้แต่อย่างใด
แต่พอได้ยินคนพูดบ่อยๆ หัวสมองก็เริ่มปะติดปะต่อภาพขึ้นได้เอง
เขามองว่าท่านแม่เป็นคนอ่อนโยน เป็นห่วงเป็นใยเขา และเป็นมารดาที่ดีที่สุดในโลกหล้า
กู้เฉิงหลินเริ่มน้ำตาซึม
ขนาดตอนโดนกู้เจียวเล่นงานจนปางตาย ไม่ยักกะเห็นเขาร้องไห้หนักเท่า ณ ตอนนี้
“นั่นไม่ใช่ของท่านแม่หรอก” กู้ฉังชิงเอ่ยขึ้น
“ว่าอย่างไรนะ” กู้เฉิงหลินประหลาดใจ
กู้เฉิงเฟิงเองก็มองพี่ชายด้วยสีหน้าประหลาด
กู้ฉังชิงถอนหายใจแรง ก่อนอธิบายกับพวกเขา “แจกันที่เจ้าเคยถ่ายเบาใส่น่ะถูกฝังไปพร้อมกับเสื้อผ้าของท่านแม่แล้ว ใครจะไปคิดล่ะว่าพอหลังจากงานศพท่านแม่ เจ้าจะร้องไห้หาแจกันใบนั้นอีก ข้าก็เลยวานให้คนทำขึ้นใหม่อีกใบน่ะ”
กู้เฉิงหลิน “…”
บ้าจริง!
ที่ร้องไห้ไปเมื่อครู่นี้ ก็ร้องไห้เสียเปล่าน่ะสิ
กู้ฉังชิงเริ่มขมวดคิ้ว พลางนึก แจกันใบนี้ควรจะต้องวางอยู่ที่ด้านบนสุดสิ แล้วหลิงสุ่ยเซียนกับกู้จิ่นอวี๋จะเอื้อมถึงได้อย่างไรกัน
เขาจึงเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ป้ายชื่อของมารดาที่วางอยู่หน้าอัฐิของมารดาหายไปแล้ว
จากนั้นหันกลับไปดูอีกรอบ ก็พบว่าที่ที่เคยวางแจกันดอกไม้ บัดนี้กลายเป็นที่วางอัฐิของมารดาแทน
หมายความได้อย่างเดียว มีคนเข้ามาในห้องนี้
แล้วทำการสลับที่วางอัฐิกับแจกัน
ถ้าไม่อย่างนั้น ของที่แตกอาจไม่ใช่แจกัน แต่เป็นอัฐิของมารดา
“มีใครเข้ามาในห้องหนังสือของข้าบ้าง” กู้ฉังชิงเรียกบ่าวเข้ามาถาม
“มีแค่ท่านชายสองท่านและคุณหนูสองท่านขอรับ”
ไม่ใช่พวกเขาแน่นอน
พวกเขาไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่าโกศถูกเคลื่อนย้ายตำแหน่ง
จะเป็นไปได้หรือที่จะมีคนรู้ล่วงหน้าว่าจะมีคนมาทำโกศแตกเลยช่วยย้ายที่ให้
กู้เจียวและคนอื่นๆ กลับมาที่เรือนของแม่นางเหยา
กู้จิ่นอวี๋เอาแต่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงร้องไห้ไม่หยุด “ท่านแม่ต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ ข้าไม่เคยคิดแตะต้องของของพี่ใหญ่เลย ข้ารู้ว่าไม่ควรเข้าห้องหนังสือของพี่ใหญ่โดยพลการ ข้าแค่ได้ยินเสียงแปลกๆ ข้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสุ่ยเซียนเลยเข้าไปดู แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่านางจะใส่ร้ายข้าได้…”
“จะเจ้าหรือใครทำแตกแล้วอย่างไรเล่า แม่เคยบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปเข้าใกล้สามคนนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ต้องเจอแต่เรื่องวุ่นวายแบบนี้ไปตลอด เป็นอย่างไรเล่า ได้บทเรียนแล้วหรือยัง”
กู้เจียวมองดูกู้จิ่นอวี๋ที่กำลังร่ำไห้ไม่หยุดหย่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แม่นางเหยาเอ่ยถาม “ถ้าไม่ได้พี่สาวเจ้า ป่านนี้เจ้าคงโดนกู้เฉิงหลินเล่นงานแล้ว! รู้ทั้งรู้ว่าควรอยู่ห่างพวกเขา ก็ยังกล้าเสนอหน้าเข้าไปหาอีก”
“ก็พวกเขาเป็นพี่ชายของข้านี่…” กู้จิ่นอวี๋เอ่ย
แม่นางเหยาพยายามย้ำกับนาง “เจ้าไม่มีพี่ชาย เจ้ามีแต่น้องชายกับพี่สาวเท่านั้น”
แม้จะฟังดูโหดร้ายไปนิด แต่มันก็เป็นความจริงมิใช่หรือ
แม่นางเหยาเอ่ยต่อ “ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องไปสุงสิงกับพวกตระกูลหลิงแล้วนะ”
ตระกูลหลิงคือตระกูลของฮูหยินคนก่อน แน่นอนว่าพวกเขามีท่าทีไม่พอใจต่อฝั่งของแม่นางเหยาอยู่แล้ว
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยทั้งน้ำตา “ท่านย่าขอให้ข้าช่วยสอนสุ่ยเซียน…วันนี้…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็หันไปจ้องเขม็งที่กู้เจียว แล้วเอ่ยต่อ “ถ้าท่านพี่มาด้วยแต่แรก ข้าก็คงไม่ต้องมาโดนสุ่ยเซียนกลั่นแกล้ง!”
แม่นางเหยาเอ่ยตอบ “พี่เจ้าเพิ่งจะเข้ามาที่จวนโหวเป็นครั้งแรก แถมนางไม่รู้จักหลิงสุ่ยเซียนด้วยซ้ำ จะให้ไปอยู่กับเจ้าได้อย่างไร”
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยอย่างสะบัดสะบิ้ง “ก็สุ่ยเซียนเรียกท่านพี่ให้ไปนั่งด้วยกันที่ศาลา แต่ท่านพี่ไม่ขานรับ…”
กู้เจียวหมดคำจะพูด รำไม่ดีโทษปี่โทษขลุ่ยกันชัดๆ
แล้วตอนที่เรียกให้มาทักทายแม่นางเหยา ทำไมถึงไม่มาด้วยกันเล่า
แล้วไหนจะหลิงสุ่ยเซียนอะไรนั่นอีก คิดหรือว่านางจะมาเรียกโดยไม่มีอะไรแอบแฝงน่ะ
กู้เจียวคร้านจะต่อปากต่อคำ อีกทั้งนางเดิมทีก็เป็นคนที่ไม่สนใจอยู่แล้วว่าคนอื่นจะมองอย่างไร จึงคว้าตะกร้าสานขึ้นมาสะพายแล้วเอ่ยลา “ข้าไปก่อนนะ”
แม่นางเหยาไม่กล้ารั้งกู้เจียวไว้ เพราะรู้ว่ามีตัวปัญหาอยู่ในจวน
พอกู้เจียวเดินออกไป แม่นางเหยาก็หันไปพูดเสียงแข็งกับจินอวี๋ “เรื่องวันนี้เจ้าไปโทษพี่เจ้าได้อย่างไร พี่เจ้าผิดตรงไหนรึ”
“ข้า…ข้าเปล่านะ…” กู้จิ่นอวี๋ทำหน้าตกใจ
แม่นางเหยาเอ่ยต่อ “พี่ของเจ้าไม่เคยได้รับเงินจากจวนโหวสักแดง ไม่เคยได้กินข้าวของจวนโหวสักมื้อ ญาติโยมในจวนโหวนางก็แทบไม่รู้จักเลย ก็ไม่แปลกที่กู้เจียวเขาจะไม่ตอบรับแม่นางหลิงเขาน่ะ!”
“ท่านแม่…”
แม่นางเหยาไม่เคยใช้น้ำเสียงดุดันขนาดนี้พูดกับกู้จิ่นอวี๋มาก่อน ในสายตาของกู้จิ่นอวี๋ แม่นางเหยาคือคนอ่อนโยน มีจิตใจเมตตา และอ่อนไหวง่าย
แต่คนตรงหน้า กลับดูหนักแน่นและใจแข็งเสียอย่างนั้น
แม่นางเหยาเอ่ยต่อ “ต่อไปอย่าพูดเรื่องนี้ให้ข้าได้ยินอีก ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าพูดให้ร้ายพี่สาวตัวเองเด็ดขาด”
กู้จิ่นอวี๋โดนสุ่ยเซียนใส่ร้าย ยังไม่เสียใจเท่ากับโดนแม่นางเหยาสั่งสอนแบบนี้เลย
นอกจากน้องชายแล้ว ก็นางมิใช่หรือที่แม่นางเหยารักมากที่สุด
แต่บัดนี้ กลายเป็นว่า แม่นางเหยารักพี่สาวตัวเองเสียแล้ว
“เจ้าว่านางทำจริงๆ ใช่ไหม” พอกู้จิ่นอวี๋ออกไปจากห้อง แม่นางเหยาก็ถามแม่นมฝางทันที
แม่นมฝางสอบถามเหตุการณ์ทุกอย่างจนได้ความ และรู้ว่าแม่นางหลิงแอบหนีออกไปแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่านางรู้สึกผิดแน่ๆ
“เฮ้อ บ่าวเองก็ไม่อยากตัดสินใครมั่วซั่ว ต่อให้คุณหนูรองเป็นคนทำจริงๆ ก็คงไม่ได้มีเจตนาหรอกเจ้าค่ะ แน่นอนว่านางอยากทำดีกับซื่อจื่ออยู่แล้ว”
แม่นางเหยารู้สึกผิดหวังกับบุตรสาวของตัวเองเหลือเกิน
…
ในที่สุด จิ้งคงน้อยก็รู้ตัวแล้วว่าตัวเองถูกโกนผมจนเกลี้ยง
เขาจึงร้องไห้เสียงดังยกใหญ่!
ผมที่เขาอุตส่าห์ไว้ยาวมาครึ่งปี…อีกนิดก็ยาวพอจะมัดมวยได้แล้ว…จู่ๆ ดันมาถูกตัดเสียได้!
เขากลับมาเป็นเณรน้อยเหมือนเดิมอีกครั้ง!
เขาเอามือลูบที่หัวกลมๆ เงามันของตน นั่งทรุดเข่าร้องไห้ฟูมฟายตรงหน้าประตูเรือน “ผมของข้าหายไปแล้ว พี่เขยตัวแสบ คืนเส้นผมให้ข้าเดี๋ยวนี้! พี่เขยตัวแสบ! พี่เขยตัวแสบ! เอาเส้นผมคืนข้ามานะ”
“เจ้าให้ข้าโกนผมให้เองมิใช่หรือ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
“ข้าเปล่านะ! ข้าเปล่า! เจ้าอย่ามาพูดมั่วซั่ว!” จิ้งคงนั่งเหยียดขากระทืบๆ
คืนนั้นเขาไม่ได้สติ แทบจะจำไม่ได้เลยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เลยไม่เชื่อคำของเซียวลิ่วหลัง พลางคิด เขาไม่มีทางตัดผมของตัวเองทิ้งหรอก ต้องเป็นเพราะพี่เขยตัวแสบอิจฉาเขาแน่ๆ เลยโกนผมเขาทิ้งจนหมดไม่เหลือ!
“ไม่เชื่อก็ถามเจียวเจียวสิ” เซียวลิ่วหลังโบกมือปัด
กู้เจียวกลับมาแล้ว
ทุกคนมายืนรอกู้เจียวที่หน้าเรือน
เซียวลิ่วหลังยืนพิงขอบประตู ส่วนจิ้งคงนั่งงอแงอยู่ตรงนั้น
กู้เจียวรู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากล
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ”
“เจียวเจียว” จิ้งคงมองกู้เจียวด้วยสีหน้าเจ็บปวด “พี่เขยตัวแสบบอกว่า…คืนนั้นข้าไม่ได้สติ…แล้วให้พี่เขยตัวแสบช่วยโกนผมให้…แถมยังบอกอีกว่าเจียวเจียวก็อยู่ในเหตุการณ์…เจียวเจียวเห็นด้วย…แถมยังเป็นคนยื่นมีดโกนให้เขา…”
จิ้งคงรู้สึกเศร้าใจมาก ใบหน้าของเขาเหมือนกำลังบอกว่าทำไมเจียวเจียวถึงได้มองพี่เขยตัวแสบโกนเส้นผมสุดที่รักของเขาอย่างนิ่งดูดาย แถมยังเป็นคนยื่นมีดโกนให้เองด้วย นี่เจียวเจียวยังเป็นที่หนึ่งในใจของเขาอยู่หรือเปล่า
กู้เจียวสูดหายใจลึก ยื่นมือลูบหัวจิ้งคง แล้วหันขวับไปหาเซียวลิ่วหลัง “เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร โกนผมก็โกนแล้ว ยังจะโยนความผิดให้เด็กอีกรึ”
เซียวลิ่วหลัง “…!!”