สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 162 คู่แข่งได้เปรียบ
อีกฟากหนึ่ง กู้ฉังชิงกำลังควบม้าเพื่อมาส่งกู้เจียวที่ตรอกปี้สุ่ย
เขาคิดไม่ตกว่าเหตุใดพวกเฟยซวงถึงได้รู้จักกู้เจียว หรือกู้เจียวจะคิดมากไปเอง
พวกมันมักจะปล้นแต่ของที่มีมูลค่ามหาศาลเท่านั้น หรือไม่ก็พวกสมบัติล้ำค่า ไม่ก็ของลับของราชสำนัก ของที่มีค่าที่สุดในตะกร้าของนาง จะมีก็แค่กล่องยาเล็กๆ เท่านั้น
ต่อให้เป็นยาชั้นดี แต่ก็ไม่น่าดึงดูดพอให้พวกเฟยซวงมาลักขโมยไปได้
หรือว่า ที่พวกมันต้องการไม่ใช่ของ แต่เป็นคน
แล้วทำไมต้องเป็นกู้เจียวด้วยเล่า
หรือว่า…พวกเฟยซวงคิดจะเล่นงานคนของจวนติ้งอันโหวกันแน่
“ถึงแล้ว”
เสียงเรียกของกู้เจียวช่วยดึงสติเขากลับมา
กู้ฉังชิงมองเข้าไปที่เรือนของกู้เจียว เรือนแห่งนี้มีขนาดย่อมกว่าเรือนของเขามาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าเรือนแห่งนี้ให้ความรู้สึกเข้าถึงง่าย น่ามาเยือนอยู่บ่อยๆ
“เข้าไปนั่งข้างในก่อนไหม” กู้เจียวเอ่ยชวน
“ไม่ล่ะ ข้าต้องกลับจวน” กู้ฉังชิงเอ่ย
ที่จริงเขาควรต้องถึงจวนตั้งนานแล้ว ทั้งวันมัวแต่ไปรับไปส่งกู้เหยี่ยน พอส่งเสร็จระหว่างทางก็ดันได้ยินเสียงคนตบตีกัน แล้วถึงได้พากู้เจียวมาส่งที่นี่อีกครั้ง
ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
กู้เจียวหันไปมองคนตรงหน้าด้วยแววตาประกาย “ขอขอบคุณเป็นอย่างสูง”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย” ตอนที่เขาไปยังจุดเกิดเหตุ พวกเฟยซวงก็หนีไปแล้ว ต่อให้เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ก็เชื่อว่าเด็กสาวคนนี้คงไม่เป็นอะไรมาก
แน่นอนว่ากู้เจียวเอาตัวรอดได้ แต่กว่าจะได้ของคืนมาก็ทำเอาเหนื่อยใช่ย่อย
แน่นอนว่าที่กู้เจียวไม่ได้เอ่ยขอบคุณเรื่องนั้น
กู้เจียวยิ้มมุมปาก “ขอบคุณที่ท่านพากู้เหยี่ยนออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เขาดูสนุกมากเลยทีเดียว”
ระหว่างที่กู้เจียวกำลังออกตรวจนอกสถานที่ บังเอิญเห็นกู้เหยี่ยนนั่งอยู่บนอานม้ากับเขา ในมือถือไม้เสียบถังหูลู่ชิ้นโตเงาวับ ดูก็รู้ว่ากู้เหยี่ยนมีความสุขมากแค่ไหน
กู้เหยี่ยนเป็นเด็กที่โตมาโดยขาดความรักจากคนเป็นพ่อ และในวันนี้ กู้ฉังชิงทำหน้าที่นั้นให้เขาแล้ว
ตั้งแต่รู้จักกันมา กู้เจียวไม่เคยเห็นกู้เหยี่ยนทำหน้าชื่นบานขนาดนั้นมาก่อน
มีบางเรื่องที่กู้เจียวทำให้เขาได้ แต่ก็มีบางเรื่องที่เขาต้องการเติมเต็มจากคนที่เป็นพ่อหรือไม่ก็พี่ชาย
เด็กน้อยร่างบางที่ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะหาบน้ำถังเล็กๆ บัดนี้กำลังเติบโตแล้วสินะ
“อ๋อ เจ้าเห็นแล้วสินะ” กู้ฉังชิงกระแอมในลำคอ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปหลายที่ขนาดนั้น เลยลืมขออนุญาตคนที่เรือนเจ้า ไม่รู้ว่าพวกเขาจะกังวลไหม”
กู้เจียวเอ่ย “ท่านย่าไม่ว่าอะไรหรอก”
เห็นหญิงชราวันๆ ไม่ทำอะไรอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วดวงตาทั้งสองของนางคอยสอดส่องเด็กๆ อยู่ตลอด
ซ้ำยังมีลูกเจี๊ยบอ้วนท้วนเจ็ดตัวของจิ้งคง ลูกนกอินทรี และสุนัขตัวน้อยของกู้เหยี่ยนที่คอยเป็นหูเป็นตาให้
หากกู้เหยี่ยนไปกับคนแปลกหน้า พวกมันจะร้องเรียกทันที
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” กู้ฉังชิงวางใจไปเปราะ
“เช่นนั้นข้าเข้าไปด้านในก่อนล่ะ” กู้เจียวเอ่ย
“อืม” กู้ฉังชิงพยักหน้า จู่ๆ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบเอ่ยเรียกนาง “ยาห้ามเลือดที่ครั้งก่อนเจ้าเคยให้ข้าไว้ ยังมีเหลืออยู่อีกไหม”
…
“ว่าอย่างไรนะ ยาห้ามเลือดรึ”
วันถัดมา เถ้าแก่รองทำหน้าเหวอหลังจากฟังกู้เจียวพูดจบ “เมื่อครู่ เจ้าบอกว่า พวกเขาต้องการจำนวนเท่าใดนะ”
“หนึ่งพันขวด ประมาณนั้น” กู้เจียวเอ่ย
เถ้าแก่รองถึงกับทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้ เอามือกดจุดหนักๆ
ในที่สุด เขาก็กดจุดจนปลุกตัวเองให้ฟื้นได้
ยาห้ามเลือดหนึ่งพันขวด ขายได้เท่าไหร่ล่ะนั่น
เถ้าแก่รองถูมือไปมา “ต่อราคาเยอะไหม”
กู้เจียวร้องอ้อก่อนตอบ “เขาไม่ได้ต่อราคา ขายให้คนอื่นเท่าไหร่ก็เอาตามราคานั้น”
เถ้าแก่รองไม่เข้าใจ “ไม่สิ ที่เราขายให้คนอื่นคือราคาปลีก พวกเขาจะซื้อหนึ่งพันขวด ก็จะขายในราคาปลีกรึ ใครกัน กระเป๋าหนักขนาดนี้”
“ค่ายทหารน่ะ”
เถ้าแก่รองเอามือกดจุดอีกครั้ง
โรงหมอเล็กๆ ของพวกเขาถึงขั้นผันตัวมาทำค้าขายกับค่ายทหารแล้วหรือเนี่ย นี่มันลาภลอยชัดๆ
ค่ายทหารมีหมอข้าหลวงประจำอยู่แล้ว มีราชสำนักดูแลในการแจกแจงอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ พวกเขาไม่เคยต้องมาซื้อขายกับข้างนอก ต่อให้มีอะไรขาดเหลือ พวกเขาจะนึกถึงโรงหมอใหญ่ๆ ของเมืองหลวงเป็นอันดับแรก
ยกตัวอย่างเช่น โรงหมอหุยชุนถังของตระกูลหู
พวกเขาให้เวลาถึงช่วงหลังปีใหม่จึงจะส่งมอบตัวยา ช่วงนี้กู้เจียวเลยให้เถ้าแก่รองไปหาวัตถุดิบยามาก่อน
พอเริ่มค้าขายดีขึ้น คนของโรงหมอก็เริ่มจะไม่พอ หลังจากที่เถ้าแก่รองฟื้นแล้ว ก็รีบวานให้คนไปตามหมอที่ทำงานในเมืองหลวง ดูว่ามีใครยินยอมมาทำงานที่เมี่ยวโส่วถังบ้าง
ทั้งกู้เจียวและเถ้าแก่รองต่างก็ยุ่งกับงานของตัวเอง พอถึงช่วงเที่ยงวัน ตู้เสี่ยวอวิ๋นก็แวะมาเยี่ยมที่โรงหมอ
นางมิได้แต่งกายเป็นเด็กผู้ชายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คราวนี้ตู้เสี่ยวอวิ๋นสวมชุดเครื่องแบบสำนักบัณฑิตหญิงสีฟ้าอ่อน หากเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ที่ดูสวยน่าดึงดูดในชุดเครื่องแบบ ตู้เสี่ยวอวิ๋นดูจะออกไปทางมีสง่าราศีเสียมากกว่า
“แม่นางกู้ จำข้าได้หรือไม่” ตู้เสี่ยวอวิ๋นเดินเข้ามาในโรงหมอ หยุดยืนตรงหน้ากู้เจียว
ใช่แล้ว นางรู้แล้วว่ากู้เจียวนามสกุลอะไร
กู้เจียวกำลังจำแนกประเภทยาที่เพิ่งจะซื้อมา จึงเอ่ยตอบออกไปขณะที่มือยังไม่ว่าง “วันนี้เป็นเวรตรวจของหมอซ่งนะ”
“ข้าไม่ได้มารักษา! แต่ข้าจะมาหาท่านต่างหาก” ตู้เสี่ยวอวิ๋นเอ่ย “ข้าน่ะ อยากมาหาท่านตั้งนานแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้การบ้านเยอะมากเลย!”
เดิมทีการบ้านของนางไม่เยอะเท่านี้ แต่ไม่รู้ช่วงนี้เป็นเพราะอะไร จู่ๆ คนในชั้นเรียนคนอื่นๆ เริ่มก้าวกระโดดกันไปไกลมาก ทำการบ้านกันถูกหมดทุกข้อ
แม้บางคนจะใช้วิธีลอกการบ้าน แต่ก็มีบางส่วนที่พัฒนาขึ้นด้วยความสามารถของตนเอง พออาจารย์ให้พวกเขาอธิบายโจทย์ ก็พูดออกมาถูกต้องทั้งหมด!
อาจารย์คงนึกว่าตนสอนดีแล้ว จึงเพิ่มระดับความยากเข้าไปอีก
ตู้เสี่ยวอวิ๋นเป็นเด็กเรียนเก่งก็จริง แต่ยังไม่ถึงขั้นอันดับต้นๆ ของชั้นเรียน
นางเป็นเด็กประเภทที่ยอมโดนอาจารย์ด่าเพราะไม่เข้าใจโจทย์แต่ค้านหัวชนฟ้าหากให้ไปลอกการบ้านคนอื่น ช่วงนี้เลยต้องขยันเรียนเป็นพิเศษ
นางไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าพี่สาวของตนบังคับให้ออกมาซื้อยา นางก็คงนั่งเขียนการบ้านอยู่ที่ห้อง
“พี่สาวของข้าบอกว่าท่านมียาลบรอยแผลเป็น ช่วงนี้นางมีเรื่องติดพันเยอะ มาเองไม่ได้ เลยวานให้ข้ามาแทน”
กู้เจียวเคยพูดถึงยานั้นกับแค่คนคนเดียว นั่นก็คือองค์หญิงสาม
องค์หญิงสามเคยบอกกับกู้เจียวว่านางมาจากตระกูลตู้
กู้เจียวหยิบยาลดรอยแผลเป็นกับที่ปิดแผลออกมา จากนั้นบีบยาบรรจุลงในขวดอย่างดี ส่วนที่ปิดแผลก็ดึงกระดาษห่อออกไป
กู้เจียวอธิบายวิธีการใช้งานก่อนจะคิดเป็นเงินทั้งหมดสามตำลึง
ตู้เสี่ยวอวิ๋นพอรู้ราคาถึงกับอ้าปากค้าง “แพงขนาดนี้เชียว พวกเจ้าทำธุรกิจมืดหรือไรกัน”
นี่เป็นยาลดรอยแผลเป็นที่ดีที่สุดของสถาบันวิจัย หลอดนึงราคาสองพันกว่าหยวน คิดเป็นเงินสมัยนี้ก็ราวๆ สองตำลึง ที่ปิดแผลเองก็ราคาแพงเช่นกัน กู้เจียวแทบจะไม่ได้กำไรเลย
“ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร” กู้เจียวทำท่าจะเก็บยาเข้ากล่อง
ของในนี้มูลค่าตั้งมากมาย กู้เจียวเองก็ขายไม่ลง
แต่ตู้เสี่ยวอวิ๋นกำขวดยาไว้แน่น ก่อนจะวางเงินลงบนโต๊ะ “ซื้อสิ ซื้อสิ ถ้าไม่ซื้อมีหวังได้โดนพี่สาวตัวดีฟันหัวแบะแน่ๆ ! ในวังมีหมอหลวงตั้งมากมายก่ายกอง ไม่รู้นางคิดอะไรถึงได้ถูกอกถูกใจยาของท่านนัก!”
เรื่องที่องค์หญิงสามเข้าผ่าตัดถูกเก็บเป็นความลับขั้นสุด แม้แต่ตู้เสี่ยวอวิ๋นเองก็ยังไม่รู้ ที่นางรับรู้ก็คือว่าพี่สาวของตนไปประสบอุบัติเหตุจากที่อื่นมาก็เท่านั้น
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเรียนการสอนของชั้นเรียนปฐมวัยกั๋วจื่อเจียนและสำนักศึกษาสตรี ก่อนจะปิดภาคเรียน
ที่สำนักศึกษาสตรีมีการสอบเกิดขึ้น ซึ่งเหลือแค่วิชาดนตรีเป็นวิชาสุดท้าย
ณ ห้องดนตรี หลังจากที่จวงเยว่ซีบรรเลงเพลงที่ได้เรียนในเดือนนี้จนจบ รอบทิศก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือ
นางบรรเลงออกมาได้น่าประทับใจยิ่งนัก
จวงเยว่ซีสอบวิชากลอนได้ที่หนึ่ง ส่วนวิชาคำนวณนางกับกู้จิ่นอวี๋สลับกันได้ที่หนึ่ง แม้วิชาดนตรีจะเป็นจุดอ่อนของนาง ทุกคนล้วนคาดเดากันไปล่วงหน้าว่านางคงทำออกมาได้ไม่ดี แต่เปล่าเลย ไม่มีใครคาดคิดว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นางจะพัฒนาได้เร็วขนาดนี้
การสอบครั้งนี้ ไท่จื่อเฟยได้เชิญนักดนตรีของวังและคณาจารย์ต่างๆ มาเป็นกรรมการสอบ
นักดนตรีของวัง เป็นคนจากตระกูลเซี่ย
อาจารย์เซี่ยผู้นี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ฝีมือของแม่นางจวงมีพัฒนาการที่ดีขึ้น”
อาจารย์คนอื่นๆ ให้นางคะแนนเต็ม
ส่วนอาจารย์เซี่ยให้แค่เกือบเต็ม ด้วยความที่เขาเป็นคนเข้มงวด
แต่ก็นับว่าคะแนนของจวงเยว่ซีนั้นโดดเด่นและเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
คนต่อไปที่เข้าสอบคือกู้จิ่นอวี๋
กู้จิ่นอวี๋เดินเข้ามาพร้อมกับกู่ฉินฝูซี จากนั้นทำความเคารพอาจารย์ทุกท่านที่อยู่ตรงนั้น
อาจารย์ทุกคนลุกขึ้นแล้วโน้มตัวให้นาง
ด้วยความที่ตอนนี้กู้จิ่นอวี๋ได้ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงแล้ว จึงต้องทำไปตามมารยาทและธรรมเนียม
อาจารย์เซี่ยเป็นถึงนักดนตรีของวัง ยศตำแหน่งสูงกว่าจิ่นอวี๋ เขาจึงตอบรับจิ่นอวี๋อย่างพองาม
ในด้านเนื้อเสียง กู่ฉินฝูซีของกู้จิ่นอวี๋มีเนื้อเสียงที่ไพเราะกว่าของเยว่ซี ส่วนด้านการฝึกฝน แน่นอนว่ากู้จิ่นอวี๋นั้นทุ่มเทน้ำพักน้ำแรงในการฝึกมากกว่าจวงเยว่ซี ไม่เหมือนกับที่นางเคยพูดไว้ว่าไม่ได้ฝึกนานแล้ว แต่ที่จริงแล้ว นางตั้งใจฝึกฝนมันอยู่ทุกวัน
ผลสุดท้าย อาจารย์เซี่ยให้คะแนนเต็มแก่กู้จิ่นอวี๋
“ที่ข้าให้เจ้าคะแนนเต็ม ไม่เพียงเพราะเจ้าเล่นได้ดี แต่เจ้ายังปรับทำนองช่วงหลังออกมาดีมากอีกด้วย”
ใช่แล้ว กู้จิ่นอวี๋ปรับทำนองเพลงที่เล่น
บทเพลงที่พวกเขาได้เรียนมีชื่อว่า “เพลงฤดูใบไม้ร่วง” เป็นเพลงที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคก่อน เพลงดั้งเดิมมีเพียงแค่ท่อนแรก ส่วนท่อนหลังเป็นท่อนที่มีการแต่งเพิ่มในภายหลัง เพลงนี้จึงถูกถ่ายทอดออกไปในหลายๆ รูปแบบ รูปแบบที่ได้รับการกล่าวขานมากที่สุดคือฉบับของท่านชายเยว่อิ่ง
ซึ่งเป็นฉบับที่สำนักศึกษาสตรีนำมาสอน
กู้จิ่นอวี๋ทำการปรับทำนองเล็กน้อยในช่วงครึ่งท่อนหลังของเพลง โดยปรับให้มีความอ่อนนุ่มละมุนมากขึ้น เพื่อให้เหมาะกับสตรี
เพราะท่านชายเยว่อิ่งเป็นบุรุษ ทำให้บรรยากาศของเพลงมีความเป็นชายสูง ซึ่งอาจไม่เหมาะให้เด็กผู้หญิงได้บรรเลง
กู้จิ่นอวี๋ทั้งดีใจและรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
พอผ่านกู้จิ่นอวี๋ไป นักเรียนคนหลังๆ ที่เข้าสอบต่อให้ทำดีแค่ไหน ก็มิอาจเข้าตากรรมการได้เลย
เด็กนักเรียนที่เข้าสอบคนสุดท้าย เป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยแก้มยุ้ย อายุราวสิบสี่ขวบ ทุกคนได้รับชุดเครื่องแบบเหมือนๆ กัน แต่สตรีร่างเล็กผู้นี้กลับไม่ติดเครื่องประดับอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว มีเพียงแค่หนังยางสีแดงที่เอาไว้รวบผมเท่านั้น
“เป็นเด็กที่ผ่านการสอบเข้ามาขอรับ” อาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยกับอาจารย์เซี่ย
หญิงร่างเล็กผู้นี้เป็นเด็กที่มาจากบ้านฐานะยากจน บิดาเคยสอบถึงระดับซิ่วไฉ และเพราะเคยไปเข้าฟังชั้นเรียนที่พี่ชายและน้องชายเข้าเรียน นางจึงพอมีความรู้ติดตัวมาบ้าง
นางเป็นเด็กขยันหมั่นเพียร วิชาการด้านอื่นยังพอไปวัดไปวาได้ แต่ด้านดนตรีถือว่ายังต้องฝึกอีกเยอะ
ด้วยความที่นางไม่มั่นใจในตัวเอง เลยไม่กล้าจะเล่นดนตรีในห้องดนตรี ต้องแอบออกไปเล่นข้างนอกเงียบๆ คนเดียว บางวันก็โดนลมหนาวพัดจนเจ็บทรมานไปทั้งตัว
กู่ฉินที่นางใช้เป็นของธรรมดาราคาย่อมเยา เนื้อเสียงจึงไม่ได้มีความเพราะขนาดนั้น
นางเริ่มบรรเลงเพลง
ว่ากันตามตรงแล้ว ฝีมือของนางพัฒนาขึ้นมาก หากจวงเยว่ซีและกู้จิ่นอวี๋ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ พวกอาจารย์คงให้ความสนใจนางมากกว่านี้
ครึ่งท่อนแรก เด็กสาวบรรเลงไปอย่างเนิบๆ
อาจารย์เซี่ยเริ่มเอามือป้องปากหาววอด
ด้วยความที่เป็นนักเรียนคนสุดท้าย เขาเตรียมจะให้คะแนนน้อยสุดกับนาง
อาจารย์คนอื่นๆ ก็เริ่มล้าเริ่มเพลียกันแล้ว
แต่ทันใดนั้นเอง เด็กสาวก็เริ่มดึงทำนองขึ้น!
ตามความหมายของเพลง เพลงนี้เป็นเพลงเศร้า ที่เล่าถึงเหตุการณ์ในคืนวิวาห์ คู่รักถูกจับแยกเพราะฝ่ายชายจะต้องไปรบในสมรภูมิ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเป็นสิบปี บทเพลงนี้สื่อถึงความเศร้าโศกของหญิงสาวที่มีต่อคู่รักอย่างถึงสุดซึ้ง
ครึ่งท่อนแรกของเพลงเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ความทรงจำและการไว้ทุกข์ของหญิงสาว แต่พอถึงครึ่งหลัง บรรยากาศของเพลงกลับเปลี่ยนไปทันควัน
ราวกับเด็กสาวคนนี้ได้ไปอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ
นางปรับบรรยากาศเพลงให้มีความเป็นสนามรบมากขึ้น
ท่วงทำนองนี้ไม่ใช่การไว้ทุกข์สำหรับคู่รักอีกต่อไป แต่เป็นการไว้ทุกข์ในสนามรบ การไว้ทุกข์สำหรับกระดูกที่ตายไปหลายพันชิ้น ทรายสีเหลืองจำนวนหนึ่งที่ฝังวิญญาณผู้กล้าหาญหลายพันคนไว้ใต้ม้าเหล็กสีทอง!
ในท้ายที่สุด ทุกคนดูเหมือนจะเห็นพระอาทิตย์ตกดิน ทรายสีเหลืองของทะเลทราย และดาบยาวที่ยืนอยู่พร้อมผ้าคลุมของหญิงสาวที่โบยบินไปในสายลมรอบๆ อาวุธในสงคราม
ดวงตาของทุกคนเป็นสีแดงและตกตะลึงอย่างมาก อารมณ์ค้างอยู่อย่างนั้นไปพักใหญ่เลยทีเดียว
อาจารย์เซี่ยเป็นคนแรกที่เรียกสติตัวเองกลับมาได้ แล้วพบว่าตัวเองน้ำตาไหลพราก
นานแค่ไหนแล้ว ที่เขาไม่ได้สดับฟังท่วงทำนองที่ทั้งเร้าใจทั้งหน่วงหัวใจเช่นนี้
แม้ทักษะการบรรเลงเพลงของหญิงสาวไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ และในบางจุดอาจกล่าวได้ว่ายังต้องฝึกฝนอีกเยอะ
แต่ก็เพราะจุดด้อยตรงนี้ ที่ทำให้เพลงนี้มีความสมจริงมากขึ้น
เด็กคนนี้สามารถดึงจุดอ่อนให้กลายมาเป็นจุดแข็งของตัวเองได้
เรียกได้ว่าเด็กสาวคนนี้พลิกบรรยากาศของเพลงอย่างโดยสิ้นเชิง ซึ่งต่างจากของกู้จิ่นอวี๋ที่บรรยากาศของเพลงไปในทางอบอุ่นและละมุนมากกว่า
อาจารย์เซี่ยได้แต่ครุ่นคิด เกรงว่าแม้แต่นักดนตรีอันดับหนึ่งของทั้งหกแคว้นอย่างท่านเยว่อิ่งก็มิอาจปรับท่วงทำนองให้ออกมาสมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้
“เจ้ามีนามว่าอันใด” อาจารย์เซี่ยเอ่ยถามเด็กสาว พยายามข่มความรู้สึกตื้นตันใจไว้
“หลี่หวานหว่านเจ้าค่ะ” หญิงสาวโค้งคำนับก่อนจะเอ่ยตอบ
อาจารย์เซี่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ข้าขอชมว่าเจ้าเปลี่ยนรูปแบบเพลงได้ดีมากเลยทีเดียว”
หลี่หวานหว่านอ้าปากค้าง
เพลงนี้…
นางไม่ได้เป็นคนปรับแต่อย่างใด