สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 167.1 ช่วยเหลือ (1)
“ตอนนี้องครักษ์ยังไม่กล้าลงมือทำอะไร กำลังส่งคนมาที่จวนของเราเพื่อสอบสวนท่านขอรับ”
ผู้ดูแลหลิวไม่รู้จะรับมืออย่างไร
ก่อเรื่องคราวนี้ไปกระตุกหนวดเซวียนผิงโหวเข้าแล้ว บัณฑิตคนใดถึงได้สามหาวเช่นนี้ ถึงได้กล้าสาปแช่งเซวียนผิวโหวว่าถูกดินกลบหน้าเชียวหรือ
ไม่กลัวว่าเซวียนผิวโหวจะสั่งตัดหัวทั้งตระกูลหรืออย่างไร
คนก่อนกล้าใช้ป้ายชื่อของเซวียนผิวโหวแอบอ้างหลอกลวงชาวเมือง คราวนี้หญ้าหน้าหลุมศพคงงอกยาวรอเป็นสองเมตรแล้วกระมัง!
ทว่าเซียวผิวโหวกลับหลุดเสียงหัวเราะออกมา “น่าสนใจนัก น่าสนใจนัก ฉังจิ่ง!”
ชายหนุ่มในชุดพีธีเซ่นไหว้สีดำควบม้าเข้ามา “มีอะไรหรือ”
เซวียนผิงโหวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไปช่วยคนที”
ผู้ดูแลหลิวร้อนใจ “ท่านโหว ช่วยผู้ใดอีกขอรับ”
เซวียนผิวโหวเอ่ยอย่างอดขำไม่ได้ “ข้ามิได้ถูกหินทับจนเน่าเปื่อยไปแล้วหรอกหรือ ยังไม่รีบไปช่วยอีก”
ฉังจิ่งเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เซวียนผิวโหวเอ่ยต่อ “ถือโอกาสไปดูด้วยว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นใคร”
ฉังจิ่งพาองครักษ์คนสนิทสามคนมุ่งหน้าไปยังโรงมหรสพ
ผู้ดูแลหลิวไม่เข้าใจความคิดของท่านโหวของตนนัก “ท่านกังวลว่าไท่จื่อเฟยจะอดทนนานขนาดนั้นไม่ไหว จึงรีบให้พวกเขาไปช่วยใช่ไหมขอรับ”
ฉังจิ่งเป็นองครักษ์คนสนิทในปกครองท่านโหวที่วรยุทธ์สูงส่งที่สุด ท่านโหวให้เขาออกโรงเช่นนี้ ย่อมไม่ได้หมายความว่าให้ไปช่วยเพียงอย่างเดียว ท่านโหวต้องการให้ฉังจิ่งช่วยทุกคน รวมถึงบัณฑิตที่แอบอ้างชื่อของท่านโหวหลอกลวงผู้อื่นด้วย
ผู้ดูแลหลิวเอ่ย “ท่านโหว คนผู้นั้นสามหาวยิ่งนัก ถึงกับกลับพูดว่าคนที่ถูกฝังอยู่ใต้หินนั่นคือท่าน ไอ้หยา แบบนี้มันสาปแช่งให้ตายมิใช่หรือขอรับ”
เซวียนผิวโหวหัวเราะเสียงเย็น “ข้าเป็นคนที่ถูกสาปแช่งแล้วจะไม่ตอบโต้อย่างนั้นหรือ ในบรรดาตาเฒ่าราชสำนักสิบคน คงมีสิบเอ็ดคนที่อยากให้ข้าตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
ผู้ดูแลหลิว “เอ่อ…ไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอกขอรับ”
น่าจะแค่เจ็ด แปด เก้าคนหรอกกระมัง!
ประเด็นสำคัญคือยามเซวียนผิวโหวอยู่ในราชสำนักนั้นช่างหยิ่งผยองนัก ซ้ำยังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อีก เขาจึงไม่เคยเก็บคมปากของตัวเองเลย
เซวียนผิวโหวเป็นถึงขุนนางผู้มีความดีความชอบใหญ่หลวงแห่งแคว้นเจา สงครามกับแคว้นเฉินเมื่อหลายปีก่อนก็เป็นเขาที่คว้าชัยชนะมา เขาคือผู้พลิกกระดานให้แก่แคว้นเจา พริบตาเดียวแคว้นเฉินก็กลายเป็นเบี้ยล่าง
จวบจนวันนี้ในวังหลวงยังมีองค์ชายแคว้นเฉินอาศัยเป็นเชลยอยู่เลย
“แม้พวกเขาหวังให้ข้าตาย แต่ก็ทำได้เพียงแสร้งนอบน้อมต่อหน้าข้า” เซวียนผิวโหวทอดสายตามองผู้คนที่เดินขวักไขว่ “ยามนี้คนที่กล้าท้าทายข้าอย่างเปิดเผยมีไม่มากแล้ว ข้ารู้สึกเหงาไม่น้อย…”
ผู้ดูแลหลิว “…”
“แต่เรื่องที่ท่านกับไท่จื่อเฟยพบกัน หากแพร่งพรายออกไป…” นี่ต่างหากที่ผู้ดูแลหลิวกังวลที่สุด
เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างจองหอง “ที่ข้ากลัวคือความไม่แน่นอน มิใช่ความแน่นอน”
ฉังจิ่งนำองครักษ์มาถึงโรงมหรสพ
ยามที่คุ้มกันอยู่ไม่รู้จักพวกเขา แต่กลับก็ไม่อาจต้านกำลังพวกเขาไหว
ทุกคนไม่ทันมีสติรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉังจิ่งรวมพรรคพวกสี่คน ร่ายมนต์เสกโซ่เหล็กแวววับขึ้นมาคนละเส้น ก่อนจะพันคล้องรัดสองฝั่งของป้ายหินไว้ วินาทีนั้นทั้งสี่คนลอยตัวขึ้นกลางอากาศ รวมพลังกันเพื่อยกแผ่นหินที่หนักกว่าห้าร้อยกิโลขึ้นมา!
เหล่าขุนนางตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า
แม่เจ้า นี่มันยอดฝีมือจากที่ใดกัน
ฉังจิ่งและพวกพ้องสี่คนนำหินวางลงบนพื้นที่ว่างที่ปลอดภัย หลังจากนั้นก็เริ่มเก็บกวาดซากปรักหักพังในจุดเกิดเหตุ
ที่นี่อาจจะถล่มลงมาเป็นครั้งที่สองได้ง่ายๆ ฉังจิ่งและพวกล้วนต่างระมัดระวัง
อีกฟากหนึ่ง เซียวหลิวหลังก็ฝ่าดงสิ่งกีดขวางมากมาย ตะเกียกตะกายมาจนถึงข้างกายกู้เจียว
สถานการณ์ทางกู้เจียวไม่สู้ดีนัก หินแผ่นด้านบนนั้นหนักเหลือเกิน แผ่นหินรูปทรงเขาสัตว์สองอันยิ่งกดทับลงมาเรื่อยๆ หน้าอกของนางถูกทับจนแทบหายใจไม่ออก
เมื่อเซียวลิ่วหลังได้ยินเสียงลมหายใจอันคุ้นเคยนั้น หัวใจก็กระตุกวูบขึ้นมา “เจียวเจียว ใช่เจ้าหรือไม่”
เจียวเจียว
ช่างเพราะเหลือเกิน
กู้เจียวพูดไม่ออก
เซียวลิ่วหลังไม่กล้าวู่วามเคลื่อนหินออก เขาคลำเจอแขนเสื้อของนางท่ามกลางความมืด แล้วคว้ามือนางเอาไว้ “ไม่ต้องกลัวนะ”
อืม
ข้าไม่กลัว
กู้เจียวจับมือเขาตอบ
นางนอนอยู่ใต้แผ่นหิน เขาคุกเข่าอยู่ข้างแผ่นหินนั้น กุมมือของนางไว้ตลอด
ท่ามกลางความมืดมิด พอมีคนจับมือไว้แบบนี้ก็รู้สึกดีไม่เลวเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ก้อนหินเหนือศีรษะก็ถูกเคลื่อนออกไป แสงสว่างแสบตาก็สาดส่องลงมา
เซียวลิ่วหลังหามุมที่เหมาะเจาะ มือข้างหนึ่งค้ำยันหินแผ่นน้อยด้านซ้าย มืออีกข้างหนึ่งยันก่อนด้านขวาขึ้น
ในที่สุดกู้เจียวก็หายใจได้สะดวก หัวใจที่แทบจะระเบิดออกมาของเซียวลิ่วหลังก็คลายกังวลเสียที
ฉังจิ่งและพรรคพวกเก็บกวาดซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว
เซียวลิ่วหลังพยุงกู้เจียวขึ้นมา ตั้งใจว่าจะพานางออกไปจากที่นี่ ทว่าจู่ๆ นางกลับเหลียวกลับไปมองกำแพงที่ถูกทับจนทลายลงมา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงหอบกระชั้น “ช้าก่อน ยังมีอีกหนึ่งคน”
…
เพราะฉังจิ่งและพวกพ้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ คนที่ได้รับบาดเจ็บจึงถูกช่วยออกมาได้อย่างรวดเร็ว มีหญิงสาวสองนาง และชายหนุ่มอีกสองคน
ชายหนุ่มหนึ่งคนในนั้นคือบัณฑิตที่ร้องตะโกนออกมาว่า “เซวียนผิงโหวถูกทับ” ส่วนอีกคนหนึ่งเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปหมดจนกลายเป็นมนุษย์โคลนไปแล้ว เหล่าองครักษ์และเวรยามจึงไม่แน่ใจว่าเขาใช่เซวียนผิวโหวหรือไม่
เอาเป็นว่าโกลาหลพอสมควร
องครักษ์ต้องการบันทึกปากคำของพวกเขา กลับกลายเป็นว่าผู้อยู่ในเหตุการณ์แยกย้ายกันไปหมดแล้ว
ยอดฝีมือผู้น่าสะพรึงกลัวผู้นั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้วเช่นกัน
องครักษ์ “…”
นี่มันวันอะไรกันนี่
…
เมื่อเฟยซวงตื่นขึ้นก็นอนอยู่บนฟูกอ่อนนุ่มหลังสะอาดแล้ว ภายในห้องแสงสลัว กลิ่นยาอ่อนๆ ลอยคลุ้ง
สลบไปพักใหญ่ เมื่อมั่นใจแล้วว่าตนเองไม่ได้ฝันไป แววตาของเฟยซวงก็ตื่นตระหนกขึ้นมา
เขารีบคลำหาดาวกระจายของตนเอง แต่กลับพบว่าไม่มีอาวุธเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว
ร่างกายของเขาว่างเปล่า แม้แต่เสื้อผ้าก็ถูกตัดจนขาดวิ่น
เขาขยับร่างกาย ความเจ็บปวดแล่นริ้วมาจากหน้าท้องด้านซ้าย จนลมหายใจเขาเย็นยะเยือกไปหมด
เมื่อก้มหน้ามอง ก็พบว่าหน้าท้องของตนเองมีผ้าพันแผลพันอยู่ ที่แผลมียาพอกอยู่ กลิ่นยาโชยมาจากบริเวณนั้นนี่เอง
เขาลูบใบหน้าของตนเอง
หน้ากากยังอยู่
แครก…
ประตูถูกเปิดออก
เขาขมวดคิ้วด้วยความหวาดระแวง เตรียมตั้งรับ
เถ้าแก่รองเดินเข้ามา พลางก้าวเข้ามาดูที่เตียง ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย “ไอ้หยา เจ้าตื่นแล้วหรือ ฟื้นเร็วใช้ได้นี่ พอดีเลย ดื่มยาเสียหน่อย เสี่ยวซานจื่อ ไปเอายามา!”
คนงานที่เดิมทีชื่อเสี่ยวลิ่วจื่อ แต่ถูกกู้เจียวบังคับให้เปลี่ยนเป็นเสี่ยวซานจื่อวิ่งตึงตังออกไปยกยา
ยาเคี่ยวเสร็จตั้งนานแล้ว ตั้งอุ่นอยู่บนเตาตลอด
“เถ้าแก่รอง นี่ขอรับ!” เสี่ยวซานจื่อยกถ้วยยาร้อนกรุ่นเข้ามาในห้อง
เถ้าแก่รองชี้ไปที่ตู้ข้างหัวเตียง “วางไว้ตรงนั้นก็พอ เจ้าออกไปได้”
“ขอรับ!” เสี่ยวซานจื่นวางถ้วยยาลง ก่อนจะออกไปอย่างรู้งานพร้อมทั้งปิดประตูลง