สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 174 ชนะใสๆ
ณ ห้องหนังสือกู้ฉังชิง เต็มไปด้วยแสงเทียนที่ส่องสว่าง
องครักษ์ลับนายหนึ่งปรากฏตัวขึ้น พลางยื่นมือคารวะคนตรงหน้า “ชื่อจื่ซื่อจื่อขอรับ!”
ใบหน้าของกู้ฉังชิงที่ถูกบดบังด้วยเงามืด ยิ่งทำให้เขาแลดูเย็นชา
“เรื่องที่ข้าให้สืบ ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
องครักษ์ลับกุมกำปั้นแน่น แล้วเอ่ยตอบ “เรียนชื่อจื่อ ซื่อจื่อ ไม่พบเลยขอรับ”
กู้ฉังชิงย่นคิ้วลง “ไม่พบเลยสักคนรึ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นมีทั้งสาวใช้ตั้งเจ็ดแปดคน รวมถึงแม่นมอีกตั้งสี่ห้าคน เป็นไปได้อย่างไรที่จะตามหาไม่เจอเลยแม้แต่คนเดียว”
คนพวกนี้หายสาบสูญเหมือนกับคนรับใช้ที่ดูแลแม่นางเหยาในตอนนั้นเช่นกัน
คนที่อยู่กับแม่นางเหยาตอนคลอดบุตรก็มีแค่สาวใช้สองคน และแม่นมเฒ่าอีกหนึ่งคนซึ่งตายไปแล้ว ส่วนสาวใช้ก็หนีไปแต่งงานต่างเมืองและหายตัวไป
แม่นางเหยาไม่ใช่คนที่มียศสูง พวกสาวใช้ที่ถูกคัดมาดูแลจึงไม่ได้พิธีรีตองนัก ขณะที่คนใช้ของแม่นางหลิงต้องผ่านการคัดสรรอย่างเข้มงวดถึงจะได้เข้ามา ถึงขั้นที่สามารถสืบประวัติย้อนหลังสามชั่วอายุคน มิอาจเลือกสุ่มสี่สุ่มห้าได้
องครักษ์ลับเอ่ยต่อ “สาวใช้พวกนั้นแต่ก่อนเคยทำงานรับใช้ที่เรือนของฮูหยินคนเก่ามาก่อน หากต้องการจะหาเบาะแส คงต้องเริ่มจากตระกูลหลิงขอรับ”
ตระกูลหลิงก็คือตระกูลของท่านยายที่เขาไว้วางใจมาโดยตลอด
หากจะต้องสืบกันจริงๆ เขาต้องยอมปิดตาข้างหนึ่ง
“ไปสืบมา” กู้ฉังชิงลั่นวาจา
องครักษ์ลับทำท่าตกใจ “ชื่อจื่อซื่อจื่อ”
“ข้าต้องการความจริง” กู้ฉังชิงเอ่ยอย่างแน่วแน่
องครักษ์ลับเงยหน้ามองชื่อจื่อหนึ่งที ก่อนจะน้อมรับบัญชา “…ขอรับ!”
พอองรักษ์ออกไปแล้ว กู้ฉังชิงพลันหยิบจดหมายที่แม่นางเหยาเขียนถึงท่านโหวกู้ในตอนนั้นขึ้นมา
ใจความบนจดหมายเขียนไว้ว่า อาการป่วยของแม่นางหลิงเริ่มรุนแรงขึ้นและอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วัน เมื่อไหร่ท่านโหวจะมาสู่ขอเสียที ตนมิได้มียศใหญ่ หากไม่รีบตกลงปลงใจ เกรงว่าจะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ใจความในจดหมายนี้สื่อว่าทั้งชายหญิงต่างมีใจให้กันแล้ว แถมแม่นางเหยาฉวยโอกาสช่วงที่แม่นางหลิงป่วยเข้ามาดูแลและเขียนจดหมายนี้ถึงท่านโหวกู้
หากว่านี่เป็นเรื่องจริง แปลว่าแม่นางผู้นี้ต้องเป็นคนใจดำอำมหิตแค่ไหนเชียว
แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นเท็จ เช่นนั้นแล้ว คนที่ร่างจดหมายนี้ขึ้นมาคงน่ากลัวยิ่งกว่า
ไม่เพียงแต่จดหมายนี้เท่านั้นที่เป็นหลักฐาน ซ้ำยังมีคนเคยเห็นแม่นางเหยาเข้าไปในห้องหนังสือของท่านโหวกู้ในตอนนั้น
แล้วคนที่บอกว่าเคยเห็น แท้จริงแล้ว เขามองผิดไป หรือถูกใครบังคับมา
ใครกันที่มีอำนาจพอที่จะสั่งการคนรับใช้ของแม่นางหลิงได้
จิตใจของกู้ฉังชิงเต็มไปด้วยความว้าวุ่น จากนั้นลุกขึ้นแล้วเอาจดหมายใส่ไว้ในลิ้นชัก ปิดประตูห้องหนังสือ แล้วเดินออกไป
ด้านนอกหิมะเริ่มตกปรอยๆ
เขาขึ้นนั่งบนอานม้า เดินทางออกจากจวนโหวท่ามกลางลมหนาว
ในหัวของเขาไม่ได้มีจุดหมายที่อยากไปเสียทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เจ้าม้าคู่ใจของเขาถึงได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าตรอกปี้สุ่ย
ประตูเรือนถูกเปิดกว่าง แสงจากโคมไฟส่องสว่างทั้งจากด้านนอกเรือนและในเรือน
มองเข้าไปด้านใน ก็เห็นกลุ่มเด็กน้อยกำลังนั่งเล่นไพ่ใบไม้บนพื้นเย็นเฉียบ ที่เต็มไปด้วยปุยหิมะอย่างไม่กลัวหนาว
บนใบหน้าของกู้เหยี่ยนถูกแปะด้วยเศษกระดาษ และร่องรอยการวาดตัวเต่ากับตะพาบน้ำ
ขณะที่ใบหน้าของเสี่ยวจิ้งคงสะอาดสะอ้าน ไม่มีอะไรแปะบนนั้น
พร้อมกับเด็กอีกคนที่อายุราวๆ สิบสามสิบสี่ปีนั่งอยู่ในวงด้วย
แม้กู้ฉังชิงจะเคยมาที่นี่และคอยดูแลกู้เหยี่ยนอยู่ทุกครั้ง แต่ไม่เคยได้เจอกับกู้เสี่ยวชุ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยความที่ช่วงนั้นกู้เสี่ยวชุ่นต้องรักษาโรคผื่นผิวหนัง
ถึงกระนั้น กู้ฉังชิงก็เดาออกว่าเด็กอีกคนนั้นคือใคร
กู้เสี่ยวชุ่นเองก็แพ้อยู่หลายหน บนหน้าของเขาเองก็มีเศษกระดาษและรอยวาดเต่ากับตะพาบน้ำเช่นเดียวกัน
ส่วนหญิงชรากำลังถือขวดโหลผลไม้อบแห้ง เดินไปกินไป สักพักก็เดินไปลูบหัวเด็กๆ ทั้งสามคนเพื่อดูว่าไข้ขึ้นกันไหม ลูบเสร็จ พอรู้ว่าไม่เป็นอะไร ก็หยิบผลไม้อบแห้งกินต่อ
ที่จริงแล้ว กู้ฉังชิงไม่ค่อยเข้าใจภาพที่เห็นตรงหน้านี้เท่าใดนัก
กู้เสี่ยวชุ่นเป็นลูกของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงของกู้เจียว ส่วนจิ้งคงเป็นเด็กที่อุปถัมภ์จากวัด ทั้งสองคนมิได้มีเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับกู้เจียวแม้แต่นิด
แต่พวกเขากลับมีสถานะเท่ากันกับกู้เจียวและกู้เหยี่ยน
ถึงจะไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน แต่ก็สนิทกันได้ด้วยอย่างนั้นรึ
“ไอ้หยา พี่เหยี่ยนโกงอีกแล้วนะ!”
กู้เหยี่ยนซ่อนไพ่ไว้ แต่มิวายก็โดนจิ้งคงจับได้
“ข้าเปล่านะ!” กู้เหยี่ยนปฏิเสธเสียงแข็ง
“แล้วนี่อะไร” จิ้งคงหยิบไพ่ที่กู้เหยี่ยนซ่อนกลบไว้ในหิมะขึ้นมา
กู้เหยี่ยนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าไม่ได้ซ่อนไพ่สักหน่อย”
“เจ้านั่นแหละ! เจ้าเป็นคนทำ! ข้าเห็นกับตา!”เสี่ยวจิ้งคงโกรธจนกระโดดขึ้นเก้าอี้ จากนั้นทำท่าเท้าเอวแล้วกระโดดย่ำไปมา!
ทั้งคู่เริ่มทะเลาะกัน
สัตว์เลี้ยงของทั้งคู่เองก็เช่นกัน เสียงไก่ขันเสียงสุนัขเห่าเริ่มดังตาม
สักพัก กู้เสี่ยวชุ่นหันหน้าไปทางประตูใหญ่ “มีคนมารึ”
ทั้งสองเงียบลง หันหน้าไปทางประตูพร้อมกัน
เดิมทีกู้ฉังชิงว่าจะแอบซุ่มดูอย่างเงียบๆ แต่สักพักก็ดูเพลินเสียจนไม่รู้ตัวว่ามาหยุดยืนเผยร่างตรงหน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่
ให้หลบตอนนี้คงไม่ทันเสียแล้ว
โดนเห็นจนได้สินะ
“ว้าว! ท่านพี่ใหญ่นี่นา!” จิ้งคงดีใจจนลืมเรื่องที่ทะเลาะเมื่อกี้ไปเสียสนิท เขากระโดดลงมาจากเก้าอี้แล้วรีบวิ่งเข้าไปหากู้ฉังชิง
กู้เหยี่ยนเองก็อยากวิ่งเข้าไปหาด้วย แต่จู่ๆ พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงหยุดฝีเท้าก่อน จากนั้นทิ้งไพ่ในมือแล้วรีบดึงกระดาษที่ติดอยู่บนหน้าออกให้หมด
พอดึงออก ก็เกือบลืมไปว่ายังมีรอยหมึกบนหน้ารูปเต่าเหลืออยู่
จึงรีบเก็บกระดาษที่เพิ่งดึงออกไปเมื่อครู่นี้ เอามาแปะบนหน้าอีกครั้งอย่างอเนจอนาถ
“ท่านพี่ใหญ่! ขอให้ร่ำรวยเงินทอง!” เสี่ยวจิ้งคงกุมมือคำนับ พร้อมกับอวยพรปีใหม่
เขาเรียนคำพูดเหล่านี้มาจากเหล่าเพื่อนบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา
กู้ฉังชิงทำหน้าอ่อนโยน “พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่หรือ”
จิ้งคงตอบ “พวกเราเล่นไพ่ใบไม้กันอยู่!”
หญิงชราเป็นคนสอนพวกเราเองล่ะ!
หญิงชราเอ่ยถาม “จิ้งคง ใครมาน่ะ”
จิ้งคงหันไปตอบ “พี่ใหญ่มา!”
พอหญิงชรารู้ว่าเป็นใคร ก็ร้องอ๋อ “เข้ามากินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
เสียงของนางทั้งเบาทั้งราบเรียบ แต่ฟังแล้วให้ความรู้สึกยากจะเอ่ยปฏิเสธออกไป
กู้ฉังชิงเกิดลังเลใจ
เขาแค่ผ่านมาเฉยๆ เลยมิได้เตรียมของขวัญอะไรให้ ยิ่งเป็นช่วงปีใหม่ด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกไม่เหมาะสมนัก
“มัวแต่รีรออะไรอยู่เล่า รีบเข้ามาสิ!” หญิงชราเอ่ยเรียก
“ขอรับ!” กู้ฉังชิงจึงเดินเข้าไปในเรือน
จากนั้นคำนับให้กับหญิงชรา
แต่น่าแปลกที่เขาดันทำท่าแบบเดียวกับที่ขุนนางในวังทำ
ตัวเขาเองก็ตกใจจนทำตัวแทบไม่ถูก
ยังดีที่หญิงชราและคนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตเห็น
กู้เหยี่ยนรีบเดินก้มหน้าหลบ เพราะไม่อยากให้เขาเห็นรอยบนใบหน้าของตน
กู้ฉังชิงพอเห็นท่าทีเงอะงะ ของคนตัวเล็ก ก็อดหัวเราะเบาๆ มิได้
กู้เหยี่ยนที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาก็เกิดเดือดและตัดสินใจเล่นงานเขาด้วยการใช้หัวโหม่งใส่เข้าไปเต็มๆ !
จี้จิ่วอาวุโสออกไปกับเซียวลิ่วหลังเพื่อไปเยี่ยมสหายที่กำลังป่วยหนัก กู้เจียวจึงเป็นผู้รับผิดชอบทำมื้อเย็นในวันนี้
แม้อาหารของที่นี่ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าจวนโหว แต่พอได้ลิ้มรส กลับรู้สึกได้ถึงรสชาติในวัยเยาว์
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไร้ซึ่งความตึงเครียดใดๆ ทุกคนกินข้าวกันอย่างสนุกสนาน
ถึงขนาดว่ากู้ฉังชิงเองยังนึกเสียดายที่คราวก่อนๆ ไม่ได้อยู่ทานข้าวกับพวกเขา
พอเสร็จจากมื้ออาหาร เสี่ยวจิ้งคงก็เอ่ยถามเขา “ท่านพี่ใหญ่ มาเล่นไพ่ด้วยกันไหม”
“ข้า… เล่นไม่เป็น” กู้ฉังชิงถูกท่านโหวกู้เลี้ยงดูอย่างเข้มงวด แน่นอนว่าเขาไม่เคยมีโอกาสได้เล่นสนุกเหมือนคนอื่นๆ
ในหัวของเขามีความคิดว่าเขาไม่ควรเล่น และจะไม่มีวันได้เล่น เพื่อที่จะได้เป็นทายาทสืบทอดที่สมบูรณ์แบบ
เสี่ยวจิ้งคงเอียงหัว ก่อนเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไร ให้ท่านย่าสอนท่านสิ! นางเก่งมากเลยนะ!”
ที่พวกเขาทั้งสามเล่นเป็น ก็เพราะมีหญิงชราคอยสอนให้นี่ล่ะ!
จิ้งคงเป็นเด็กหัวไวที่สุด หญิงชราสอนนิดเดียวก็เป็นแล้ว บ่อยครั้งที่เขาเล่นชนะกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวชุ่นได้อย่างขาดลอย!
กู้ฉังชิงลังเล
กู้เจียวพอเห็นดังนั้น ก็ยิ้มมุมปาก พลางเอ่ย “ช่วงปีใหม่นี่นา เล่นไปเถิด”
กู้เหยี่ยนเองก็พยักหน้าให้
แม้แต่คนที่รักและทะนุถนอมเขามากที่สุดอย่างเหล่าฮูหยินกู้ยังไม่เคยเอ่ยปากเลยว่า ไม่เป็นไร หรือว่า เล่นได้สิ เลยแม้แต่เลยสักครั้งเดียว
กู้ฉังชิงที่ถูกตีกรอบให้อยู่ในโอวาทมานาน และแล้ววันนี้ เขาจะได้เดินออกจากกรอบนั้นเสียที เขาสูดหายใจลึกก่อนเอ่ย “งั้นก็ได้”
“ไปเล่นในห้องท่านย่าสิ จะได้อุ่นหน่อย เดี๋ยวข้าไปเอาของกินมาให้” กู้เจียวเอ่ย
หญิงชรากลอกตาไปมา มองกู้ฉังชิงผู้มาดนิ่งนั่งลงตรงหน้าโต๊ะไพ่ พลางนึกในใจ อยู่ที่นี่ พ่อหนุ่มคนนี้ก็เป็นได้แค่ตาทึ่มกระเป๋าหนักคนนึงก็เท่านั้น
หญิงชราเปิดก่อน “ไอ้หยา เอาละ วันนี้มีแขกมา ใช้วิธีลงโทษแบบเดิมคงจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก วางเงินคนละสิบสลึงทองแดงดีกว่า!”
เศรษฐีตัวน้อยอย่างจิ้งคงเพิ่งได้เงินค่าเช่ามา เลยไม่รู้สึกกังวลอย่างใด!
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นเองก็มีเงินซองแดงที่เพิ่งได้มาจากกู้เจียว
ที่น่าสงสารสุดคือกู้เหยี่ยน เพิ่งได้เงินอั่งเปามาก็ต้องเอาไปใช้หนี้ให้จิ้งคง
เขาทำงานให้จิ้งคงทุกวัน ด้วยค่าจ้างวันละสิบสลึงทองแดง เขาทำงานตักมูลไก่ตักจนมือไม้อ่อนไปหมด!
แต่ถ้าเทียบกับให้วาดรูปต่อหน้ากู้ฉังชิงแล้ว เขายอมออกเนื้อตัวเองเสียจะดีกว่า
อย่างแย่สุดก็…ยอมเป็นหนี้จิ้งคงต่อไป ยอมทำงานตักมูลไก่ต่อไป
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเตือนในใจ มูลไก่ของเจ้ากองยาวเหยียดไปถึงปีหน้าแล้วนะ!
“ข้าเล่นไม่ค่อยเป็น…” กู้ฉังชิงเหงื่อตก ก็ท่านโหวไม่เคยปล่อยให้เขาเล่นอะไรแบบนี้มาก่อน แม้แต่ไพ่ใบไม้เขายังไม่รู้จักเลย เลยต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจ “ถ้าข้าเล่นไม่ดีอย่าโทษกันล่ะ!”
ผลคือ เสี่ยวจิ้งคงถึงกับหน้าหงาย!
“…!!”
เริ่มเล่นไปได้ไม่กี่ตา กู้ฉังชิงยังคงมึนงงกับกฎของไพ่ ระหว่างที่เล่นก็เอ่ยถามคนนู้นคนนี้อยู่บ่อยครั้งว่าจะต้องลงตัวไหน ลงอย่างไร
แต่พอเขาหงายไพ่เท่านั้น ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
กู้ฉังชิงชนะอย่างน่าประหลาดใจ
แม้แต่หญิงชราที่เป็นเจ้าแห่งการเล่นไพ่ของตรอกปี้สุ่ย ถึงขั้นที่ว่าไม่เคยมีใครแย่งเงินของนางได้เลยสักครั้ง
หญิงชราไม่เชื่อ ก็เลยเข้าไปเล่นด้วย ผลคือกู้ฉังชิงกินเรียบ
หน้าของหญิงชราเปลี่ยนเป็นดำคล้ำราวกับถ่าน
“ไม่ใช่อย่างนั้น…ข้าไม่ได้ตั้งใจ เปลี่ยนก็ได้ ข้าเปลี่ยนเป็นไพ่อีกใบแทนแล้วกัน” กู้ฉังชิงเอ่ย
เขาหงายไพ่ที่ต่ำที่สุดในสำรับของตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่า เป็นไพ่ที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับไพ่ในมือคนอื่น!
คนที่แพ้จะต้องให้เงินผู้ชนะสองเท่า
หญิงชรา “……”
ขอยาบำรุงหัวใจตอนนี้ยังทันไหม
คนที่เล่นเป็นมาก่อนดันถูกหน้าใหม่ที่ไม่เข้าใจกฎด้วยซ้ำล้มเสียราบคาบ
เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มจะหน้ามืด
ราวกับวิญญาณของเขาได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว แถมยังถูกหญิงชราเขย่าตัวไปมาไม่หยุด!