สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 176 ความเป็นหมอ
หลังจากที่ฝ่าบาทได้เลื่อนพิธีมอบตำแหน่งจี้จิ่วคนปัจจุบันแล้ว
เขาก็รีบมุ่งหน้าไปหาจี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสอย่างรวดเร็วในทันที
ในจดหมาย แม้จี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสไม่ได้ลงที่อยู่ไว้ แต่ก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงของฝ่าบาทที่จะตามหาเขาจนเจอ
โดยขันทีที่ส่งจดหมายได้ให้ข้อมูลไว้ว่า เป็นแขกของโรงเตี๊ยมตงไหลเป็นผู้ไหว้วานให้ส่งจดหมาย
โรงเตี๊ยมตงไหลอย่างนั้นรึ ดีล่ะเหมาะเจาะพอดี
ฝ่าบาทจึงเสด็จไปยังโรงเตี๊ยมตงไหลด้วยตัวพระองค์เอง แต่พอไปถึง ก็พบว่า จี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
“ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ขันทีคนสนิทของฝ่าบาทเอ่ยถาม
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมตอบ “ออกไปสักพักแล้วขอรับ ปกติเขาจะออกไปช่วงกลางวัน แล้วกลับมาตอนดึกขอรับ”
“เขาพำนักอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว” ขัยทีถามต่อ
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพลิกสมุดบัญชีดูสักพัก ก่อนเอ่ยตอบ “ห้าคืนแล้วขอรับ”
ตงไหลโรงเตี๊ยมตงไหลเป็นจุดพักที่ไม่ได้สะดุดตานัก ประหนึ่งว่าต่อให้เอามาสร้างเป็นห้องสุขาให้ฝ่าบาทก็อาจถูกรังเกียจได้
ฝ่าบาทรู้สึกปวดใจที่สหายของเขาต้องมาพำนักอยู่ในที่แบบนี้
ซึ่งนี่เป็นกลยุทธ์แรกของจี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโส คือการขายความน่าสงสาร!
และเขาก็ทำสำเร็จจริงๆ !
ฝ่าบาทนั่งรอจี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสกลับมาอยู่ครึ่งวัน แต่จะให้มารอทั้งวันเช่นนี้ก็คงไม่ไหว เพราะยังมีงานกองใหญ่รอพระองค์อยู่อีกเพียบ
พระองค์จึงจำใจเดินทางออกจากโรงเตี๊ยมนั้น
ได้เจอก็ว่าไปอย่าง แต่เพราะว่าไม่ได้เจอนี่สิ เลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคาใจ
นี่ก็เป็นอีกกลยุทธ์ของจี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโส
ด้วยศิลปะแห่งการใช้ศาสตร์หน้าด้านใจดำของเขา ทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการมาโดยตลอด ทั้งเข้าถึงฮ่องเต้องค์ก่อน รวมถึงการส่งจอมนางเข้าไปในวังหลังอีกด้วย
แม้จอมนางผู้นั้นจะใช้เวลาอยู่ในวังแค่ครึ่งปี แต่ก็นับว่าจี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสเป็นคนแรกที่ส่งสตรีไปป่วนแล้วล้มอำนาจผู้ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
พอเห็นว่าฝ่าบาทออกไปแล้ว จี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสก็รีบกลับเข้าไปที่โรงเตี๊ยม…ที่จริงจี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสคอยสังเกตการณ์อยู่ที่โรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเตี๊ยมมาโดยตลอด
“เมื่อครู่มีคนมารอพบท่านด้วยล่ะ” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเอ่ยกับเขา
“อืม” จี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสเอ่ยตอบราวกับรู้อยู่แล้ว
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเอ่ยถามต่อ “แล้วคืนนี้ ท่านจะพักต่อหรือไม่ ข้าจะให้คนเตรียมอาหารเย็นไว้แล้วส่งเข้าไปในห้องพักเหมือนเดิม ดีไหมท่าน”
จี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสตอบ “ไม่ต้องแล้วล่ะ ข้าไม่พักต่อแล้ว”
ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว จะอยู่ต่อให้เสียเงินเปล่าๆ เพื่ออะไร
เห็นโรงเตี๊ยมสภาพรูหนูแบบนี้ แต่ราคาที่พักต่อคืนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ไหนจะช่วงนี้ที่กระเป๋าเงินเริ่มแบนเหลือกัน ทั้งค่าใช่จ่ายในเรือน แถมยังต้องใช้หนี้ให้คนบางคนอีก
จี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสผู้มัธยัสถ์จึงทำเรื่องออกจากที่พัก
แผนต่อไปของเขา คือการหายตัวไปสักพัก
ต้องใช้วิธีผลุบๆ โผล่ๆ แบบนี้ถึงจะมัดใจคนได้
ของที่ได้มาง่ายเกินมักจะถูกละเลย
หลังจากออกจากราชสำนักไปนานสองนาน กั๋วจื่อเจียนในปัจจุบันไม่ใช่ที่เดิมที่เขาคุ้นเคยอย่างเมื่อสามปีที่แล้ว และตัวเขาเองก็ไม่ใช่จี้จิ่วคนเดิมอีกต่อไป ศัตรูของเขาไม่ได้มีเพียงแค่จวงไทเฮาที่อาจตื่นรู้อาจฟื้นคืนความจำขึ้นมาได้ตลอดเวลาเท่านั้น แต่มีมากกว่านั้น
ดังนั้น เขาต้องการผู้หนุนหลังใหญ่อย่างฝ่าบาทมาอยู่เคียงข้าง
สมาชิกในเรือนที่ตรอกปี้สุ่ยไม่มีใครเลยสักคนที่ล่วงรู้แผนการอันลึกล้ำของจี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโส
หญิงชราไม่เห็นหน้าค่าตาจี้จิ่วเฒ่าจี้จิ่วอาวุโสหลายวัน เลยนึกว่าเขาพยายามจะหนีหนี้
“ยายเฒ่าท่านย่า ข้าไปโรงหมอก่อนนะ” กู้เจียวเก็บของเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยลากับหญิงชรา
วันนี้เป็นวันที่โรงหมอเปิดให้บริการวันแรก หลักงจากปีใหม่
หญิงชราทำปากขมุบขมิบราวกับกำลังบ่นอะไรบยางอย่าง ก่อนจะโบกมือให้ “เจ้าไปเถอะ”
กู้เจียวรู้สึกผิดสังเกต จึงเดินเข้าไปถาม “ท่านย่า ยายเฒ่า วันนี้เป็นอะไรไปรึ”
หญิงชขราทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะหันมาตอบ “ข้ากำลังนึกชื่อตัวเองอยู่”
กู้เจียวแสดงท่าทีตกใจ “นี่ท่านจำชื่อของตัวเองได้แล้วหรือ”
หญิงชราส่ายหัว “ตาเฒ่าของเจ้าเป็นคนเอ่ยมันขึ้นมาน่ะ”
ว่าแล้วเชียว ว่าพวกเขาต้องรู้จักกัน ขนาดชื่อยังจำได้เลย
“แล้วท่านมีชื่อว่าอะไรล่ะ”
“จวงจิ่นเซ่อ” หญิงชราเอ่ย
ตระกูลจวงงั้นรึ
กู้เจียวนิ่งไปสักพัก
ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงหมอ
พอไปถึง ก็เห็นเถ้าแก่รองกำลังทำท่าคิดไม่ตก
กู้เจียวเดินเข้าไปถาม “เป็นอะไรหรือ”
เถ้าแก่รองถอนหายใจ ก่อนอธิบาย “วัตถุดิบทำยาที่พวกเราขอซื้อไว้เมื่อช่วงก่อนปีใหม่ ที่จะเอาไปทำยาห้ามเลือดให้ค่ายทหารนั่นน่ะ เดิมตกลงกันแล้วว่าจะจ่ายเงินที่เหลือในเดือนหน้า แต่จู่ๆ อีกฝ่ายดันมาขอให้พวกเรารีบชำระล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ส่งวัตถุดิบมาให้”
กู้เจียวเข้มงวดกับยามาก ยาห้ามเลือดของนางมีความเข้มข้นกว่ายาห้ามเลือดทั่วๆ ไป จึงต้องใช้วัตถุดิบมากเป็นพิเศษ
เมื่อและช่วงก่อนปีใหม่ พวกเขาได้ชำระเงินมัดจำไปแล้วสามส่วน
ตั้งแต่ที่เปิดโรงหมอนี้มา แม้จะค้าขายดีแค่ไหน แต่ด้วยความที่ในช่วงแรกเริ่มพวกเขาใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เลยยังไม่คืนทุน ส่วนเงินมัดจำที่จ่ายไปนั้นคือเงินเก็บของเถ้าแก่รอง
เงินที่เหลือที่ต้องชำระอีกเจ็ดส่วนนั้นเป็นเงินกว่าร้อยตำลึง ซึ่งเกินกำลังของเถ้าแก่รอง
กู้เจียวร้องอ๋อหน้านิ่ง ก่อนจะล้วงกระเป๋าแล้วยื่น ยื่นธนบัตรเงินหนึ่งกองให้เขา “อ่ะเอ้านี่”
เถ้าแก่รองนึกว่ากู้เจียวจะถามเขาก่อนว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนใจ กลับกลายเป็นว่านางควักเงินออกมาเสียอย่างนั้น
ว้าว นี่มัน เศรษฐีินีตัวจริงเสียงจริง
เถ้าแก่รองอ้าปากค้าง “เจ้า เจ้า เจ้า เอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน”
“เอ่อ…” กู้เจียวยืนนึกอยู่พัก ก่อนจะตอบ “ปล้นเขามาน่ะ”
เถ้าแก่รองนึกในใจ อุเแหม่ ข้าเองก็อยากปล้นแล้วได้เงินเยอะแบบนี้บ้าง!
ที่จริงกู้เฉิงเฟิงไม่ได้ให้เงินมาเยอะขนาดนี้ เพราะในมือเขาเองก็มีอยู่แค่ไม่ถึงพันตำลึง ที่เหลือคือต้องไปยืมคนอื่นมา
กู้เฉิงเฟิงแอบรับงานส่วนตัวเพื่อหาเงินมาชดใช้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่งานง่ายๆ อย่างการตักมูลไก่และให้อาหารสัตว์ เหล่านั้นล้วนแต่นองเลือดและเลวร้าย
เขาถูกบีบคั้นจากการบ้านในตอนกลางวัน แถมยังต้อมาเสี่ยงตายจากงานกลางคืน เรียกได้ว่าชีวิตของเขาในช่วงนี้ช่างน่าสลดยิ่งนัก
พอเปิดกิจการวันแรกหลังปีใหม่ ก็มีเรื่องมากมายให้ต้องสะสาง
กู้เจียวและหมอซ่งนำสมุนไพรออกจากตู้เก็บมาตากแดดให้แห้ง ส่วนเถ้าแก่รองก็มั่วแต่ยุ่งวุ่นกับเรื่องบัญชี
พอได้เงินมา ก็เลยสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม
“หมอซ่ง รบกวนทีสิ” กู้เจียวยื่นตะกร้าสมุนไพรให้เขา “ช่วยดูให้หน่อยว่ามียาตัวไหนยังพอเก็บได้อยู่ และอันไหนที่ต้องทิ้งไป”
หมอซ่งกล่าวว่า “จริงๆ แล้ว อากาศที่นี่แห้งมาก พวกสมุนไพรเลยเน่าเสียได้ยาก ความชื้นเพียงเล็กน้อยไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาหรอก แค่ผึ่งให้แห้งก็พอแล้ว”
กู้เจียวเอ่ยตอบ “แต่อย่างไรก็ต้องเอามาคัดเลือกอยู่ดี”
หมอซ่งเข้าใจดีว่ากู้เจียวเป็นคนเข้มงวดกับตำรับยาและคุณภาพของยามากๆ เขาจึงไม่พูดอะไรต่อ และยอมทำตามอย่างโดยดี
วันนี้คนไข้มาไม่เยอะมาก นัก ช่วงกลางวันมีแค่คนไข้สี่คนเท่านั้น
ช่วงกลางวัน หมอซ่งเห็นว่ากู้เจียวยังอยู่ที่โรงหมอ จึงขานเรียก “แม่นางกู้ ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ ไม่กลับไปกินข้าวที่เรือนหรือ”
ที่โรงหมอมีคนทำกับข้าวประจำ แต่กู้เจียวมักจะกลับไปทำกับข้าวให้หญิงชราและตัวเองกินที่เรือน
แต่พอตั้งแต่ช่วงนี้มีตาเฒ่ามา เขาเลยรับผิดชอบทำอาหารให้ยายเฒ่าทาน
กู้เจียวส่ายหัว “ไม่ล่่ะ วันนี้ข้าจะกินข้าวที่โรงหมอ”
หมอซ่งหัวเราะ ก่อนเอ่ย “อ๋้อ! เช่นนั้น ข้าจะไปบอกห้องครัวให้ทำกับข้าวเพิ่มอีกก็แล้วกัน!”
กู้เจียวขานรับ มื้อแรกหลังจากปีใหม่ กินอะไรหลากหลายหน่อยก็ดีเหมือนกัน
ขณะที่กู้เจียวกำลังก้มหน้าก้มตาจัดเก็บหยูกยาทั้งหลาย จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มร่างซูบผอมเดินเข้ามาด้วยท่าทีระมัดระวัง “ขอถามหน่อย ที่นี่มีหมอหรือไม่”
กู้เจียวเงยหน้ามองเขา และพบว่าชายผู้นี้เป็นหนุ่มรูปงามหน้าตาไร้เดียงสา เพียงแต่สีหน้าของเขาแลดูอมทุกข์ยิ่งนัก ราวกับคนที่กินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
“ข้านี่แหละหมอ ตามมาสิ”
“ไม่ล่่ะ ข้าแค่จะมาขอยา”
กู้เจียวเอ่ยถาม “ไม่ตรวจแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้ยาอะไร”
“ข้ามีตำรับยาอยู่แล้ว” ชายหนุ่มหยิบเศษกระดาษยู่ยี่ออกจากแขนเสื้อ
ราศีของเขาดูไม่เหมือนคนจนที่อาศัยตามขอบเมือง แต่เขากลับสวมเสื้อผ้าโทรมและขาดริ่ววิ่น
กู้เจียวหยิบตำหรับยามาดู ก่อนเอ่ย “ตำหรับนี้ไม่เหมาะกับอาการของเจ้า”
“เอ๋” ชายหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ “แต่ว่า เจ้าก็ไม่ได้รู้นี่นาว่าข้าเป็นโรคอะไรมา เหตุใดถึงบอกว่าข้าไม่เหมาะกับตำหรับยานี้ล่ะ”
กู้เจียวยื่นเศษกระดาษคืนเขา “กระดาษเก่าขนาดนี้ ใช้มานานแล้วสิ แต่ดูๆ แล้วอาการของเจ้าแทบไม่ดีขึ้นเลย ถ้าตำหรับนี้ใช้งานได้จริง อาการของเจ้าควรจะดีขึ้นสิ”
ชายหนุ่มรู้สึกจุกบริเวณท้องบนขวา
เขาเอามือไปกุมบริเวณที่ปวด คิ้วของเขาแทบจะขมวดเป็นปม
กู้เจียวยื่นมือให้เขา “เอามือมาให้ข้า”
“หืม” ชายหนุ่มรู้สึกปวดจนไม่ทันได้ฟัง
กู้เจียวจึงยื่นมือเข้าไปคว้าที่มือของเขาอย่างไม่ลังเล แล้วใช้ปลายนิ้วค่อยๆ กดลงไปที่บริเวณเส้นชีพจรตรงข้อมือ
ชายหนุ่มทำหน้าถอดสี “ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันนะ!”
เขาพยายามจะชักมือกลับ แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง
เด็กสาวสมัยนี้แรงเยอะขนาดนี้เชียวหรือ
หลังจากที่กู้เจียวจับชีพจรเสร็จ ก็ตรวจที่หนังตาต่อ
เขาตกใจจนรุดถอยหลัง ยังดีที่ผู้ดูแลหวังยื่นเก้าอี้รับร่างเขาไว้ได้ทัน
เขาไม่เคยพบเจอสตรีแปลกเช่นนี้มาก่อน
เขาทำตัวไม่ถูก
กู้เจียววางมือลง ด้วยท่าทีนิ่งเฉย แล้วเอ่ยถาม “เจ้าเคยรู้สึกลิ้นชาปากแห้ง เบื่ออาหารหรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“ปวดมานานแค่ไหนแล้ว”
“หนึ่ง ถึงสองเดือนได้กระมัง จำรายละเอียดไม่ได้”
“เจ้ากินแต่ยาตำหรับนี้มาตลอดเลยหรือ”
ชายหนุ่มส่ายหัว “ไม่เสียทีเดียว เมื่อก่อนข้ากินอีกตำหรับหนึ่ง แทบไม่ดีขึ้นเลย ก็เลยเปลี่ยนโรงหมอ”
กู้เจียวเลิกคิ้ว “ที่เมืองหลวงมีหมอเถื่อนเยอะขนาดนี้เชียวหรือ”
ชายหนุ่มคนนี้มีอาการถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง เป็นที่ระบบการทำงานของตับและไต สามารถรักษาได้ด้วยแพทย์แผนจีน แม้แต่หมอซ่งที่เพิ่งได้ตำแหน่งมาหมาดๆ ปีที่แล้วก็สามารถรักษาได้
แต่ชายคนนี้ได้รับการรักษาจากโรงหมอตั้งสองที่ แต่กลับรักษาไม่หาย
ชายหนุ่มก้มหน้าไม่พูดอะไร
กู้เจียวออกตำหรับยาใหม่ จากนั้นให้ผู้ช่วยไปจัดยามาให้
“ได้มาแล้ว แม่นางกู้!” ผู้ช่วยยื่นถุงยาให้กู้เจียว
จากนั้นกู้เจียวก็ยื่นให้ชายหนุ่ม “ต้มทานวันละสองครั้งเช้าเย็น ต้มให้เดือดก่อน จากนั้นต้มไฟอ่อนทิ้งไว้อีกสองนาที เจ้าลองกินตามนี้ไปก่อนห้าวัน แล้ววันที่หกเข้ามาตรวจที่นี่อีกครั้ง”
ชายหนุ่มยังไม่รับถุงยา เขาถามราคาเพื่อความแน่ใจก่อน “เท่าไหร่”
“ร้อยเหวิน”
ชายหนุ่มทำหน้าตะลึง
กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงถาม “แพงไปหรือ”
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ขายยาหลอกให้ข้า” ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางส่ายหัว
กู้เจียว “……”“…”
ยาชุดนึงราคาแค่ยี่สิบเหวินเท่านั้น ราคานี้ถือว่าหายากในเมืองหลวง
ตำหรับยาตัวนี้ไม่ได้ใช้วัตถุดิบที่มีราคาสูง แต่แน่นอนว่าหากมีเศรษฐีมาขอซื้อตัวยาระดับดีและราคาสูง กู้เจียวก็จะขายพวกเขาในราคาหนึ่งตำลึงต่อยาหนึ่งชุด
ชายหนุ่มรับยาไว้ จ่ายเงิน แล้วเดินออกไป
ออกจากร้านได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาชน
ชายหนุ่มล้มลงไปกับพื้น ถุงยาหกกระจาย เขารีบเก็บถุงยา แต่จู่ๆ กลับมาเท้าของใครสักคนกำลังเหยียบเข้าไปบนถุงยาที่ตกบนพื้น
ร่างบางของชายหนุ่มถูกบดบังด้วยเงาร่างใหญ่
มือที่กำลังเก็บยาก็พลันนิ่งไป
อีกฝ่ายกำลังยืนเท้าเอว เคี้ยวใบไม้ในปาก พลางมองไปที่ชายหนุ่ม “เอ้า นี่มันท่านชายหลิ่วมิใช่หรือ ออกมาซื้อยาอีกแล้ว ครั้งนี้ไม่สบายตรงไหนอีกล่ะ ไหนลองเล่าให้ฟังทีซิ เผื่อพวกข้าจะช่วยได้ แถมไม่คิดสตางค์ด้วย!”
ลูกน้องของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างพากันหัวเราะ
ใบหน้าชายหนุ่มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง นิ้วของเขากดลงกับพื้นจนเกิดเป็นรอยขาว
ชายร่างใหญ่กางขาของเขาและพูดกับชายคนนั้นว่า “มาลอดใต้ขาข้านี่สิ แล้วข้าจะซื้อยาให้เจ้า!”
“ฮ่าๆๆๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
“ลอดเข้าไป!”
“ลอดเข้าไป!”
“ลอดเข้าไป!”
พวกลิ่วล้อต่างพากันตะโกนโหวกเหวก
แววตาของชายหนุ่มเผยให้เห็นความอัปยศอดสูอย่างไม่รู้จบ
ทันใดนั้น ปรากฏเงาของร่างเล็กออกมาเตะชายร่างใหญ่จนลอยออกไป!
“เจ้าเป็นใคร” หนึ่งในลูกน้องพุ่งตัวเข้ามาถาม
กู้เจียวไม่รอช้า หยิบกระบองที่ตั้งอยู่หน้าโรงหมอขึ้นมาแล้วฟาดเข้าให้
แค่ชั่วพริบตาเดียว กู้เจียวก็กำราบคนที่เหลือได้จนหมด
ชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกและแข็งแรงที่สุดในกลุ่ม แต่เขาไม่มีกำลังที่จะตอบโต้เลย เขาทำได้เพียงยืนขึ้นบนพื้นเท่านั้น ขาของเขายังสั่นอยู่
เขาเหลือบมองกู้เจียวด้วยความกลัวและความขุ่นเคือง: “เด็กบ้าที่ไหนกัน”
กู้เจียวออกแรงแค่เพียงนิดเดียว ชายร่างใหญ่ก็พลันล้มลงแถมยังฟันหักถึงสี่ซี่!
เขาปวดเนื้อตัวจนแทบล้มทั้งยืน ซ้ำยังมีเลือดกบปาก ก่อนจะขู่คำรามออกมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราคือใคร”
กู้เจียวเอ่ยเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าเป็นใครข้าไม่สน แต่เขาเป็นคนไข้ของเมี่ยวโส่วถัง พวกเจ้ามาก่อความวุ่นวายที่หน้าโรงหมอแบบนี้ก็สมควรโดนแล้ว”
ชายร่างใหญ่ยิ้มอย่างชั่วร้าย “เจ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใครใช่ไหม เขาคือหลิ่วอีเซิง! พวกหมอในเมืองหลวงไม่มีใครกล้ารักษาเขาหรอก ถ้าเจ้ากล้าที่จะรักษาเขา อย่าหวังว่าจะรอดไปได้!”