สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 190 จบสิ้น
บทที่ 190 จบสิ้น
ปากแผลทั้งลึกทั้งกว้าง มิหนำซ้ำเดิมทีกริชก็ไม่สะอาดอยู่แล้ว กู้เจียวต้องทำความสะอาดบาดแผลให้สะอาด ก่อนจะเปิดผิวหนังและเนื้อออก
ภาพนั้นมันช่างติดตายากจะลืมเลือนนัก!
เพราะบาดแผลใกล้หัวใจเกินไป ไม่รู้ว่าเพราะภาพลวงตาของตัวเองหรือไม่ กู้เฉิงเฟิงจึงได้แต่รู้สึกเหมือนว่าเห็นหัวใจดวงนั้นของน้องชายกำลังเต้นตึกตัก
กู้เฉิงเฟิงมือเท้าเย็นเฉียบไปหมด!
จากนั้นกู้เจียวก็เริ่มเย็บแผลทีละฝีเข็ม
กู้เฉิงเฟิงนอนอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างไร้เรี่ยวแรง เหมือนลูกแกะที่รอโดนเชือด เขาอยากหลับตาลงแต่ก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้มันขี้ขลาดมากนัก!
เขาเห็นเนื้อหนังถูกเข็มและด้ายดึงรั้งขึ้น เขาได้ยินเสียงเหนียวหนืด ทั่วทั้งร่างเขาก็แย่ขึ้นมาแล้ว!
ยามมองกู้เจียวที่มีสีหน้าสงบนิ่ง คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่านางกำลังเย็บผ้าเย็บผ่อนอยู่!
พอกู้เจียวเย็บเข็มสุดท้ายเสร็จ กู้เฉิงเฟิงก็เป็นลมไปเรียบร้อย
เห็นทีในวันหน้าอันแสนยาวไกลต่อไปนี้ เขาคงจะกินได้แค่มังสวิรัติเท่านั้นแล้วละ
กู้เจียวเดินออกจากห้องไป
ฟากฟ้าเพิ่งจะทอแสงรำไร เซียวลิ่วหลังทำมื้อเช้าให้คนทั้งครอบครัว กู้ฉังชิงเดินวนไปมาในห้องโถงอยู่ตลอด พอเห็นกู้เจียว สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา “เป็นอย่างไรบ้างรึ”
“อันนี้คืนให้” กู้เจียวส่งกริชที่ดึงออกจากร่างกู้เฉิงหลินใช้ผ้าห่อส่งให้กู้ฉังชิง
กู้ฉังชิงไม่อยากได้กริชด้ามนี้ แต่อย่างไรเสียก็เป็นอาวุธที่อนุหลิงใช้ทำร้ายกู้เฉิงหลิน เขาจึงเก็บเอาไว้
กู้เจียวเอ่ยว่า “ยื้อชีวิตเอาไว้ได้ชั่วคราว แต่ยังไม่พ้นขีดอันตราย หากอีกสามวันไม่มีอาการติดเชื้อหรืออาการไม่พึงประสงค์ใดๆ อีกทั้งเขาต้องฟื้นขึ้นมาได้จึงจะปลอดภัยจริงๆ”
ดังนั้นอีกสามวันต่อจากนี้เป็นช่วงสำคัญที่สุด กู้ฉังชิงเข้าใจ เขาเอ่ยกับกู้เจียวว่า “แล้วเขา…”
ในเมื่ออันตรายเช่นนี้ ย่อมไม่อาจส่งกลับจวนไปได้อยู่แล้ว ฝีมือการแพทย์ของโรงหมอก็ไม่พอ หมอหลวงก็ไม่เพียงพอ ที่สำคัญพวกสิ่งของแปลกประหลาดที่กู้เจียวใช้เหล่านี้กู้ฉังชิงก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
เกรงว่าหมอหลวงก็ไม่รู้จักเช่นกัน
กู้เจียวครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ส่งไปโรงหมอดีกว่า ตอนกลางวันข้าอยู่ที่นั่น ตอนกลางคืนข้าจะให้หมอซ่งเฝ้าไข้ให้”
หมอซ่งเป็นลูกศิษย์ของหมออาวุโสที่หุยชุนถังประจำอำเภอ เชื่อมั่นและไว้ใจในตัวเขาได้ กู้เจียวสอนการแพทย์เขาเล็กน้อย เขาก็รู้แล้วว่าควรใช้สมุนไพรของนางอย่างไร
กู้ฉังชิง “ได้ เอาตามเจ้าว่า”
กู้เจียวไปบ้านจี้จิ่วอาวุโสหลังข้างๆ กันเพื่อยืมรถม้า
กู้ฉังชิงแบกกู้เฉิงหลินขึ้นรถม้าอย่างระมัดระวัง
กู้เฉิงเฟิงตื่นแล้ว เขาขึ้นรถม้าไปอย่างอ่อนแรง
กู้เจียวยังต้องเก็บกวาดห้องหับ และจัดการกับสิ่งของที่ใช้ไปในการรักษาอีก จึงเอ่ยกับกู้ฉังชิงว่า “เจ้ากลับไปก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”
กู้ฉังชิงพยักหน้า “ได้”
จากตรอกปี้สุ่ยไปถึงโรงหมอตรงถนนใหญ่เสวียนอู่ไม่ได้ไกลกันนัก แต่เพื่อไม่ให้คนไข้บนรถม้ากระทบกระเทือนกับการโคลงเคลงมากนัก หลิวเฉวียนจึงขับรถม้าให้นิ่งมากที่สุด
ภายในรถ กู้เฉิงหลินยังคงสลบอยู่เพราะฤทธิ์ยา
ฤทธิ์ยากล่อมประสาทของกู้เฉิงเฟิงกลับเหลือน้อยมากแล้ว แต่เพียงแค่เขานึกถึงภาพที่กู้เจียวทำการผ่าตัดให้กู้เฉิงหลิน ก็จะรู้สึกแขนขาตัวเองพลันอ่อนยวบ หนังศีรษะชาดิกไปหมด
ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นหมอรักษาคนมาก่อน แต่เด็กสาวคนนั้นไม่เหมือนกับหมอเลย
ไม่เหมือนตรงไหนในยามนี้กู้เฉิงเฟิงก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
สายตากู้เฉิงเฟิงตกลงบนใบหน้ากู้เฉิงหลิน “พี่ใหญ่ อาการน้องสามเป็นอย่างไรบ้าง”
กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “ยังไม่พ้นขีดอันตราย”
กู้เฉิงเฟิงแค่นหัวเราะ “ข้ารู้อยู่แล้ว! นางจะตั้งใจรักษาน้องสามได้อย่างไร ช่วงขีดอันตรายสามวัน อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ ก็ได้ทั้งนั้น!”
แววตาของกู้ฉังชิงพลันเย็นชา “นี่เป็นผลลัพธ์ที่เพียรพยายามแล้ว หากนางไม่ทุ่มเทกำลังทั้งหมดช่วยเหลือ ยามนี้เจ้าคงได้เห็นศพศพหนึ่งแทนแล้ว!”
กู้เฉิงเฟิงถูกตอกหน้ากลับก็ทำเอาพูดอะไรไม่ออก
กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยความเคร่งขรึมว่า “ต่อไปนี้ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดพรรค์นี้อีก”
กู้เฉิงเฟิงหันหน้าหนีอย่างไม่พอใจ
รถม้าเคลื่อนไปได้พักหนึ่ง บรรยากาศภายในรถม้าอึมครึมขึ้นมาก
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “หรือว่าพี่ใหญ่ไม่สงสัยตัวตนของนางหรือ เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่ง มีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร พี่ใหญ่ไม่รู้สึกว่านางน่าสงสัยหรือไร”
กู้ฉังชิงมองกู้เฉิงเฟิงด้วยสายตาเคร่งขรึม “นางช่วยน้องสามไว้ และเคยช่วยข้าไว้เช่นกัน”
กู้เฉิงเฟิงนิ่งอึ้ง
กู้ฉังชิงส่งกู้เฉิงหลินไปยังห้องปีกข้างของโรงหมอแล้ว ให้กู้เฉิงเฟิงดูแลเฝ้าไข้ ส่วนตัวเขาเองกลับไปที่จวน
ท่านโหวกู้ใกล้จะร้อนใจตายอยู่รอมร่อแล้ว
เขาถูกองครักษ์ลับของกู้ฉังชิงขวางไว้ในจวน ไม่ให้ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
ฟากฟ้าสว่างแล้ว เขาไม่รู้ว่ากู้เฉิงหลินจะเป็นอย่างไรบ้าง
ในขณะที่ท่านโหวกู้เกือบจะโมโหจนสลบนั้น กู้ฉังชิงก็กลับมาพอดี
ท่านโหวกู้เดินไปชี้หน้าเขาแล้วด่ายกใหญ่ “ลูกอกตัญญู! ไอ้เนรคุณ! เจ้าเอาน้องชายเจ้าไปไว้ไหนแล้ว”
กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “เขาอยู่โรงหมอ ยื้อชีวิตไว้ได้ชั่วคราวแล้ว”
“ยะ…ยื้อไว้ได้อย่างนั้นรึ” ท่านโหวกู้ยากจะเชื่อ กลางดึกหมอหลวงมาหา ได้ยินหมอที่จวนเล่าถึงตำแหน่งบาดแผลก็วินิจฉัยได้เลยว่ากู้เฉิงหลินเสียชีวิตแล้ว อย่าว่าแต่ออกไปหาหมอในเมืองเลย ต่อให้เรียกหมอเทวดาของแคว้นเฉินมาก็ไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้
“เจ้า มะ ม ะ มะ ไม่ได้หลอกข้าหรอกกระมัง” ท่านโหวกู้ดีใจจนพูดติดอ่าง “น้องชายเจ้าอยู่ที่โรงหมอไหนรึ”
“เมี่ยวโส่วถัง” กู้ฉังชิงบอก
เมี่ยวโส่วถังอย่างนั้นรึ เหตุใดชื่อนี้ถึงได้คุ้นหูนัก
ช่างมันเถิด!
ท่านโหวกู้สะบัดแขนเสื้อ “หวงจง! เตรียมม้า! ไปเมี่ยวโส่วถัง!”
กู้ฉังชิงเรียกเขาไว้ “ท่านพ่อ อนุหลิงยังอยู่ที่จวนหรือไม่”
“เจ้ายังจะมาสนใจหญิงนางนั้นทำไมอีก” พอเอ่ยถึงนางท่านโหวกู้ก็เดือดดาลขึ้นมา
ทำเรื่องชั่วช้ามากมายเพียงนั้น ตายเป็นร้อยๆ หนก็ไม่เกินไปหรอก!
อย่างไรเสียนางก็เป็นคนของตระกูลหลิง เดิมทีเขาว่าจะส่งข่าวให้ตระกูลหลิงก่อนแล้วค่อยจัดการนาง คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงไม่นานนางก็ทำร้ายกู้เฉิงหลินเสียแล้ว
นี่นางรู้ว่าตัวเองไร้หนทางรอดแล้ว จึงได้ลากคนอื่นมาตายด้วยชัดๆ
หลายปีมานี้นางพยายามข่มความเคียดแค้นและไม่พอใจของตัวเองเอาไว้มาโดยตลอด กดข่มไว้ดีมากเสียจนไม่มีใครสังเกตเห็นได้ จนกระทั่งช่วงสุดท้ายจึงได้ระเบิดออกมาหมด
คนพรรค์นี้น่ากลัวมากนัก!
ท่านโหวกู้เอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวย่าเจ้าตื่นแล้วก็จะมีคนไปรายงานเรื่องเมื่อคืนเอง เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก!”
เหล่าฮูหยินจะไม่สนใจว่าอนุหลิงรังแกแม่นางเหยาและลูกหรือไม่ก็ได้ และไม่ไปไต่สวนนางว่ายุแยงความสัมพันธ์ระหว่างแม่นางเหยากับลูกเลี้ยงหรือไม่ก็ได้เช่นกัน แต่กู้เฉิงหลินเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเหล่าฮูหยิน อนุหลิงแทงมีดปักลงไป ราวกับตัดชีวิตที่เหลือของนางให้ขาดสะบั้น
เหล่าฮูหยินไม่มีทางปล่อยนางไว้แน่
กู้ฉังชิงไปเรือนของอนุหลิง
อนุหลิงที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ท่ามกลางราตรีดึกสงัด ยามนี้ในที่สุดก็หยุดลงได้แล้ว นางนั่งลงบนเตียง กอดหมอนใบหนึ่ง ราวกับกำลังกอดลูกไว้คนหนึ่ง ตบกล่อมเบาๆ พลางฮัมเพลงไปด้วย
ในห้องนางระเกะระกะไร้ระเบียบ
บนพื้นยังมีคราบเลือดของกู้เฉิงหลินอยู่
กู้ฉังชิงก้าวข้ามธรณีประตูด้วยสีหน้าเย็นชา
เขาหันหลังให้แสง ร่างสูงใหญ่จึงสะท้อนเป็นเงาทอดยาวอยู่บนพื้น แผ่ขยายไปถึงร่างอนุหลิง
อนุหลิงเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย ผมเผ้านางสยาย เสื้อผ้ายุ่งเหยิง แววตาเหม่อลอย แต่เพียงไม่นานก็เผยรอยยิ้มปรีดาออกมา “อ๊ะ พี่ชายเจ้ามาแล้ว!”
กู้ฉังชิงเดินเข้าห้องมาอย่างเย็นชา แล้วหยุดฝีเท้าลงห่างจากตรงหน้านางสามก้าว
อนุหลิงยิ้มพลางเอ่ยกับ ‘ลูก’ ในอ้อมอกว่า “พี่ใหญ่มาแล้ว รีบเรียกพี่ใหญ่เร็วเข้า!”
กู้ฉังชิงเอ่ยว่า “หยุดเสแสร้งได้แล้ว ข้ามีอะไรจะถามเจ้า”
รอยยิ้มเสียสติบนใบหน้าอนุหลิงพลันชะงักค้างไป
มุมปากนางค่อยๆ หุบลง แววตาเหม่อลอยค่อยๆ เหี้ยมขึ้น แล้วโยน ‘ลูก’ ในอ้อมอกนางลงพื้นอย่างไร้เมตตา ก่อนจะมองไปยังกู้ฉังชิง “อ้อ ซื่อจื่อจะถามอะไรข้าละ”
สีหน้ากู้ฉังชิงไร้อารมณ์ใดเคลื่อนไหว “เจ้าเป็นคนทำร้ายแม่ข้าให้ตายใช่หรือไม่”
อนุหลิงชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดหน้าหัวเราะฮ่าอย่างบ้าคลั่ง
นางหัวเราะจนร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไปหมด หัวเราะเสียจนน้ำตาเล็ด
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า….”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า….”
“ฮ่าฮ่าฮ่า….”
ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของนาง แม้จะได้ยินตอนกลางวันก็ทำให้ขนลุกขนพองโดยไร้สาเหตุได้เหมือนกัน
สาวใช้ในเรือนตกอกตกใจจนกอดกันกลม
กู้ฉังชิงมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับไม่ได้ขัดนาง
นางหัวเราะจนพอใจแล้ว จึงได้เช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้วมองน้ำตาตรงปลายนิ้วพลางเอ่ยว่า “ถ้าข้าจะฆ่าพี่สาว พี่สาวยังมีโอกาสมีชีวิตอยู่มานานถึงเพียงนี้รึ”
กู้ฉังชิงเอ่ยเสียงเรียบว่า “หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร”
อนุหลิงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าไม่ถามข้าแทนว่า แม่เจ้าป่วยตายจริงหรือไม่”
“แล้วจริงหรือไม่” กู้ฉังชิงถาม
อนุหลิงหัวเราะเบาๆ เหลือบตาขึ้นสบแววตาของกู้ฉังชิง “ไม่ ไม่ใช่ นางให้คนทำร้ายนางให้ตาย ส่วนจะเป็นใครนั้น เจ้าก็ไปเดาเอาเอง”
กู้ฉังชิงมองนางเป็นระยะๆ คล้ายว่ากำลังแยกแยะว่านางโกหกหรือพูดจริง
“เจ้าสงสัยว่าข้ากำลังโกหกกระมัง” อนุหลิงหัวเราะเสียงเย็น “เมื่อคนกำลังตายคำพูดล้วนเป็นจริงทั้งนั้นแหละ ความผิดอื่นๆ ข้าก็ยอมรับหมดแล้ว เหตุใดแค่เรื่องนี้ต้องมาปฏิเสธด้วยเล่า”
กู้ฉังชิงสีเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หนึ่งคืนก่อนที่อาการป่วยของแม่ข้าจะทรุดลง เห็นแค่เจ้ากับท่านยาย เจ้ากำลังจะบอกข้าเป็นนัยๆ ว่าท่านยายที่เป็นคนร้ายอย่างนั้นรึ ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” อนุหลิงหัวเราะจนตัวสั่นอีกหน “เจ้าจะคิดอย่างไร…มันก็เรื่องของเจ้า…”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว
อนุหลิงหมายความว่าอย่างไร
นางกำลังจะบอกว่าคนร้ายไม่ใช่นาง และไม่ใช่ท่านยายอย่างนั้นรึ
แต่เหตุใดหลังจากที่ท่านยากับนางมาแล้ว อาการป่วยของแม่เขาจึงค่อยทรุดลงเล่า
“ลาล้าลา…” อนุหลิงยกหมอนที่ตัวเองโยนลงบนพื้นขึ้นมากอดไว้ในอ้อมอกอีกหน “อยากรู้หรือไม่ว่าใครทำร้ายแม่เจ้าตาย เจ้ามานี่สิ ข้าจะบอกเจ้าเอง”
กู้ฉังชิงมองนางอย่างเย็นชา
“ทำไมรึ เจ้ากลัวข้ารึ” อนุหลิงสีหน้าหม่นหมอง “เจ้าไม่ใช่เด็กโง่อย่างกู้เฉิงหลินนั่นเสียหน่อย ข้าไหนเลยจะกล้าทำร้ายเจ้าได้ เจ้าเข้ามาใกล้หน่อยสิ ข้าจะบอกเจ้าเอง”
กู้ฉังชิงยังคงนิ่งงันไม่ขยับไหว
“เฮ้อ ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ามาส่งข้าก่อนตาย ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าแม่เจ้าโดนใครทำร้ายตาย คนๆ นั้นก็คือ…” อนุหลิงยิ้มเย็นบอกเขามาชื่อหนึ่ง
กู้ฉังชิงชะงักงัน “เจ้าเพ้อเจ้อ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” อนุหลิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
กู้ฉังชิงรู้ว่าตัวเองถามอะไรต่อไปก็ไม่ได้ความแล้ว หรือไม่ก็สตรีนางนี้เสียสติไปแล้วจริงๆ นางไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย
เขาหันหลังออกจากห้องมา
เมื่อก้าวข้ามธรรีประตู เขาหันกลับมามองอนุหลิงเป็นครั้งสุดท้าย “ก่อนที่เจ้าจะแต่งเข้าจวนโหวมา ที่เจ้าให้ข้าเรียกเจ้าว่าน้านั้น มันมาจากใจจริงของเจ้าหรือไม่”
อนุหลิงชะงักไป
‘ข้าอยากกินอันนั้น’
‘ผลแดงๆ บนต้นไม้น่ะรึ’
‘อื้อ!’ ฉังชิงน้อยพยักหน้า
‘เรียกท่านน้าก่อนข้าจะไปเด็ดมาให้!’
ฉังชิงน้อยครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเด็กน้อยว่า ‘ท่านน้า’
‘ฮ่าฮ่า!’ เด็กสาวผูกชายกระโปรงไว้กับบั้นเอว
‘ไอ้หยา! คุณหนูเจ้าคะ! ท่านทำอะไรน่ะ! เป็นสาวเป็นนางทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!’ แม่นมตกใจเกือบตาย ช่างไม่เหมาะไม่ควรนัก!
‘หลีกไป!’ เด็กสาวปีนขึ้นต้นไม้ใหญ่ เด็ดผลไห่ถังสีแดงให้ฉังชิงน้อยวัยสามขวบ
เด็กสาวแววตาบริสุทธิ์ ใบหน้างดงามแจ่มใส
เป็นช่วงวัยที่งดงามที่สุดของนาง เป็นรูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงามที่สุด
กู้ฉังชิงกลับไปแล้ว
อนุหลิงนั่งนิ่งงันอยู่บนเตียง กอดหมอนอยู่ในอ้อมอก
ทันใดนั้นนางก็ซุกหน้ากับหมอน ปล่อยเสียงร้องไห้ออกมายกใหญ่
…
ทว่าทางด้านเสี่ยวจิ้งคงพอตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงเจียวเจียว เขาก็เกาหัวน้อยๆ ของตัวเองด้วยความงุนงง แปลกจัง
เขานอนด้วยกันกับพี่เขยนิสัยไม่ดีที่ห้องเล็กๆ ฝั่งตะวันตกมิใช่หรือไร
เหตุใดจึงมาอยู่ที่ห้องเจียวเจียวได้ล่ะ
หรือว่าเจียวเจียวคิดถึงเขามาก กลางดึกค่อนคืนจึงอุ้มเขามานี่
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ถูกแล้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ!
เสี่ยวจิ้งคงเลิกผ้าห่มออกอย่างอารมณ์ดีสุด เริ่มต้นวันใหม่อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง!
เขาพบว่าเสื้อผ้าตัวน้อยของเขาถูกวางไว้บนเก้าอี้ข้างเตียงอย่างเป็นระเบียบ เขาโคลงศีรษะหยิบเสื้อผ้าขึ้นมา ก่อนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “เจียวเจียวช่างดูแลเอาใจใส่กันดียิ่งนัก!”
เขาพูดจบก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “พี่เขยนิสัยไม่ดีไม่เห็นจะเอาใจใส่แบบนี้เลย!”
เซียวลิ่วหลังเพิ่งผลักประตูเปิดก็ได้ยินเสี่ยวจิ้งคงใส่ร้ายป้ายสีตัวเองเข้าพอดี เขาพลันหรี่ตาลง “ข้ามันทำไมอีกแล้ว” เสื้อผ้านั่นน่ะข้าเป็นคนเอามาวางให้ต่างหากละ
“เฮอะ!” เสี่ยวจิ้งคงหันหน้าดวงน้อยๆ มา ครู่ต่อมาจึงสวมเสื้อผ้าของตัวเองต่อ แถมยังไม่ลืมส่ายหน้าอวดโอ้ว่า “เมื่อคืนข้านอนกับเจียวเจียวด้วยละ!”
เซียวลิ่วหลัง เหอะเหอะ เจ้าคิดมากไปแล้ว เจียวเจียวไม่ได้นอนด้วยซ้ำ