สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 192 พนัน
บทที่ 192 พนัน
หลิ่วอี้เซิง “พนันอะไร”
กู้เจียว “พนันกันว่าจะมีสักวันที่ข้าจะได้เรียกเจ้าว่ามหาเสนาบดีหลิ่ว”
“มหาเสนาบดีหลิ่วอย่างนั้นรึ คนอย่างข้าน่ะนะ” หลิ่วอี้เซิงขันตัวเอง เขามีชีวิตอยู่อย่างหมูอย่างหมา ปล่อยให้คนเหยียบย่ำ ไม่ตายก็บุญนักหนาแล้ว
เขาหุบยิ้มลง “แล้วก็นะ แคว้นเจามีตำแหน่งมหาเสนาบดีที่ไหนกันเล่า”
กู้เจียวเท้าแก้มมองเขา
ไม่เชื่อก็แล้วแต่
หลิ่วอี้เซิงรับยาเสร็จกลับไปได้ไม่นาน แม่นางเหยาก็มาที่โรงหมอ
เมื่อวานเพื่อไต่สวนท่านโหวกู้ กู้เหล่าฮูหยินจึงไล่นางออกมา เมื่อเช้านางไปคารวะกู้เหล่าฮูหยินจึงได้รู้เรื่องกู้เฉิงหลินเข้า
‘ลูกชายคนเล็ก’ ที่ยามปกติอนุหลิงรักเอ็นดูที่สุดผู้นี้ ใครจะไปคิดว่านางจะแทงดวงใจของกู้เฉิงหลินได้
กู้เหล่าฮูหยินได้ยินข่าวก็เป็นลมไปทันที
แม่นางเหยาย่อมคาดคิดไม่ถึงเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายมากนัก
อนุหลิงไม่เคยมองพวกกู้ฉังชิงสามพี่น้องเป็นลูกชายแท้ๆ เลยสักครั้ง มิฉะนั้นครานั้นคงไม่ใช้กู้เฉิงหลินมาจัดการนาง แต่นึกไม่ถึงว่าอนุหลิงจะบ้าคลั่งถึงขั้นนี้ มันทำให้แม่นางเหยาสะท้อนใจ
“ได้ยินว่าก่อนที่นางจะถูกแต่งเข้ามา ถูกหลิงเหล่าฮูหยินจับกรอกยาห้ามครรภ์ คืนวันแต่งก็มาโดนเหล่าฮูหยินกู้ป้อนยาที่ทำให้เป็นหมันไปอีกถ้วย นางเคียดแค้นอยู่เต็มอกเชียวเจ้าค่ะ!” แม่นมฝางที่อยู่บนรถม้าเล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้แม่นางเหยาฟัง
แม่นางเหยาก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มันจริงหรือไม่ แต่อนุหลิงเข้าจวนมาหลายปีกลับไม่เคยตั้งครรภ์เลยสักครั้งจริงๆ นั่นแหละ
ที่แม่นางเหยามาโรงหมอหาใช่เพื่อมาหาเยี่ยกู้เฉิงหลินไม่ นางมาหาก็เจียวต่างหาก
ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับกู้เฉิงหลินตอนกลางดึกกลางดื่น กู้ฉังชิงแบกเขาออกไปหาหมอ กลับมาก็ตอนที่ฟ้าสว่างแล้ว
เมี่ยวโส่วถังเป็นโรงหมอที่กู้เจียวทำงานอยู่ ไม่บอกก็รู้ว่าหมอที่ลำบากลำบนช่วยชีวิตกู้เฉิงหลินเมื่อคืนเป็นใคร
แม่นางเหยาจึงต้มน้ำแกงไก่มาให้กู้เจียว
นางตักฟองชั้นบนออกหมดแล้ว น้ำแกงเข้มข้นจึงไม่เลี่ยน รสชาติเค็ม อร่อยนัก
กู้เจียวดื่มอยู่ในห้องปีกข้างของตัวเองสองสามคำ รสชาติไม่เลว
“ฮูหยินก็ดื่มด้วยสิ” นางเอ่ยกับแม่นางเหยา
“ข้าดื่มมาแล้ว” แม่นางเหยาเอาน้ำแกงที่กู้เจียวตักมาตรงหน้าตนวางไว้ตรงหน้ากู้เจียว ก่อนจะเอ่ยเสียงเอ็นดูว่า “เจ้าดื่มเถิด”
กู้เจียวทำงานอยู่ค่อนคืน เช้ามาจึงง่วงเหงาหาวนอนหนัก หัวถึงหมอนก็หลับทันที จากนั้นก็มาตรวจรักษาให้หลิ่วอี้เซิง ยามนี้จึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ
ท้องร้องโครกครากไปหมดแล้ว
แม่นางเหยาเห็นนางกินเอร็ดอร่อยก็ทั้งเอ็นดูทั้งปลื้มใจ
แม่นางเหยาไม่ได้ถามกู้เจียวว่าเหตุใดจึงช่วยกู้เฉิงหลิน แม่นางเหยาเชื่อว่าไม่ว่าจะทำการใดลูกสาวย่อมมีเหตุผลของตัวเอง และมีจุดยืนที่ตนไม่อาจไปสั่นคลอนได้อยู่ นางจึงไม่โน้มน้าวลูกสาวให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้กับกู้เฉิงหลิน แต่ก็ไม่ขัดขวางการตัดสินใจใดๆ ของลูกสาวเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ติดค้างกู้ฉังชิงอยู่
ไม่ว่าลูกสาวจะทำเพื่อนาง หรือว่าเพราะจรรณยาบรรณแพทย์ เรื่องนี้ไม่มีใครผิดทั้งนั้น
กู้เจียวดื่มน้ำแกงไก่จนหมด เนื้อไก่ก็กินหมดเกลี้ยง ท้องน้อยๆ จึงอิ่มแปล้
แม่นางเหยากลัวว่านางจะเลี่ยน จึงปอกส้มยื่นให้นางผลหนึ่ง
ความเปรี้ยวๆ หวานๆ ของส้มตัดเลี่ยนได้เป็นอย่างดี
กู้เจียวกินอย่างสบายอกสบายใจ
แม่นางเหยามองความเหนื่อยล้าบนใบหน้านาง ก่อนจะเอ่ยอย่างสงสารว่า “ไปนอนสักหน่อยดีกว่า”
กู้เจียวหาววอด หนังท้องตึงแล้วหนังตามันก็หย่อนจริงๆ
ทว่านางจะยังนอนตอนนี้ไม่ได้ นางต้องไปดูอาการกู้เฉิงหลินก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
กู้เฉิงหลินถูกจัดให้พักอยู่ในห้องปีกข้างห้องหนึ่งที่อยู่ห้องหลังเรือน ติดกับห้องฉุกเฉิน นับว่าห่างจากห้องกู้เจียวค่อนข้างใกล้
กู้เฉิงหลินนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเงียบๆ
ท่านโหวกู้ไปกรมโยธาแล้ว กู้ฉังชิงกลับห้องมาหาอนุหลิงเพื่อไถ่ถามและเก็บเสื้อผ้าสะอาดให้กู้เฉิงหลิน ส่วนกู้เฉิงเฟิงรั้งอยู่ที่นี่เพื่อดูแลน้องชาย
ทว่ายามนี้กู้เฉิงเฟิงก็ไม่อยู่ ถามหมอซ่งแล้วจึงได้รู้ว่ากู้เฉิงหลินเพิ่งจะฟื้น กู้เฉิงเฟิงจึงไปซื้อของกินมาให้เขา
“ตัวร้อนหรือไม่” กู้เจียวถาม
หมอซ่งตอบว่า “เพิ่งจะวัดเมื่อครู่นี้ ปกติดี”
ภายใต้การชี้แนะอย่างตั้งใจของกู้เจียว หมอซ่งใช้เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย เครื่องวัดความดันและหูฟังได้คล่องแล้ว
กู้เจียวพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “เขาฟื้นขึ้นมาเมื่อใดรึ ฟื้นมานานหรือยัง สติสัมปชัญญะครบถ้วนหรือไม่”
หมอซ่งนึกย้อนดูอย่างละเอียด ก่อนเอ่ยว่า “ฟื้นมาเมื่อสองเค่อก่อน พอฟื้นขึ้นมาก็ไม่พูดอะไรเลย ถามเขาเขาก็ไม่ตอบ เอาแต่เหม่ออย่างเดียว เหมือนสติหายอย่างไรอย่างนั้นแหละ คุณชายรองกู้บอกว่าจะซื้อของกินมาให้เขา พอออกไป เขาก็หลับตานอนต่อเลย”
การผ่าตัดน่ะไม่มีปัญหาหรอก ผู้บริจาคโลหิตเป็นญาติสนิท ผู้รับเลือดมีอัตราที่เป็นไปได้ในการกำจัด แต่กู้เจียวใช้ตัวกรองแบบใช้แล้วทิ้ง เซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีแนวโน้มจะถูกกำจัดได้รับการกรองออกเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนี่จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องของการเสียเลือดมาก
ความผิดปกติของกู้เฉิงหลินน่าจะมาจากการกระทบกระเทือนจิตใจเสียมากกว่า
กริชของอนุหลิง ไม่ได้แทงแค่ดวงใจเขา แต่แทงทะลุจิตวิญญาณและความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาด้วย
ราวกับความเชื่อใจทั้งหมดพังทลายลงภายในคืนเดียว แม้แต่โลกนี้คือความจริงหรือภาพลวงตาเขาก็เริ่มแยกไม่ออกแล้ว
“จริงสิ แม่นางกู้” หมอซ่งชินกับการเรียกเช่นนี้แล้ว จึงไม่ได้เปลี่ยนคำเรียก กู้เจียวชอบคำเรียกนี้มากนัก “เมื่อครู่ผู้ดูแลหวังมา เขาให้ข้าถามว่า ค่ารักษา…”
ยามนี้พวกเขารู้แล้วว่ากู้เฉิงเฟิงเป็นพี่ชายต่างมารดาของกู้เจียว ถือว่าเป็นคนกันเอง ดังนั้น…
กู้เจียวตอบอย่างไม่เกรงว่า “ควรเก็บเท่าใดก็เท่านั้นแหละ ค่าผ่าตัดสิบตำลึง ค่ายาสิบตำลึง ค่าตรวจสิบตำลึง แล้วก็เขาที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ป่วยหนักต้องได้รับกการดูแลอย่างใกล้ชิด วันละสามตำลึง!”
หมอซ่งปาดเหงื่อเย็นฉาดหนึ่ง นะ…นี่มันไม่แพงไปหน่อยรึ
เพียงไม่นาน กู้เฉิงเฟิงก็รีบร้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาหิ้วกล่องอาหารใบใหญ่มากล่องหนึ่ง “น้องสาม ข้าซื้อขนมถั่วแดงกับเป็ดกรอบที่เจ้าชอบกินที่สุดมาให้!”
หมอซ่งมองกู้เฉิงหลินอย่างลำบากใจ แล้วมองไปยังกู้เจียวที่อยู่ด้านข้าง “บาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ ควรงดของมันๆ ทั้งหลายไปก่อนกระมัง”
กู้เจียวกลับไม่ได้ห้าม
เพียงไม่นาน หมอซ่งก็เข้าใจว่าเหตุใดกู้เจียวจึงไม่เอ่ยปากห้าม
กู้เฉิงหลินไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น แม้แต่น้ำก็ยังไม่ดื่ม
หลังจากเขาฟื้นมาก็เอาแต่ลืมตาโพรงเหม่อลอยมองหลังคา เรียกก็ไม่หัน ช้อนมาป้อนถึงปากก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง
กว่าจะง้างปากเขาอ้าออกแล้วป้อนเข้าปากไปได้ก็ยากพอดู เขายังมาพ่นมันให้ไหลออกมาตามมุมปากอีก
กู้เฉิงเฟิงหันมามองกู้เจียวกับหมอซ่งด้วยความร้อนใจ “พวกเจ้าคิดหาวิธีหน่อยสิ!”
กู้เจียวมองเขานิ่งๆ “เรื่องพรรค์นี้ข้าไม่มีวิธีใดช่วยได้เลย”
กู้เฉิงเฟิงกัดฟัน แม้ว่าจะไม่พอใจ แต่ก็รู้ดีว่ากู้เจียวพูดได้ไม่ผิดเลย กู้เฉิงหลินไม่มีกระจิตกระใจจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วต่อให้รักษาเขาจนหาย จิตใจเขาก็ไม่ฟื้นคืนอยู่ดี
ความกระทบกระเทือนเช่นนี้เหนือความคาดหมายกว่าที่อนุหลิงทรยศเสียอีก กู้เฉิงเฟิงไม่มีทางคาดคิดถึงว่าน้องชายผู้เย่อหยิ่งอวดดี ไร้หัวจิตหัวใจคนนี้จะมามีสภาพเช่นนี้ได้
คนในเรือนซงเฮ่อก็มาถึงแล้ว เป็นแม่บ้านคนสนิทของกู้เหล่าฮูหยินกับสาวใช้ฉลาดปราดเปรื่องสองคน
แม่บ้านคนสนิทแซ่กุ้ย เห็นคุณชายของตนมีสภาพเช่นนี้ก็พลันน้ำตาท่วมหน้า “มันน่าฆ่าให้ตายพันหนนัก! เสียดายที่เหล่าฮูหยินอุตส่าห์เอ็นดูนาง ดูนางมาทำเช่นนี้สิ นี่มันเรียกว่ามนุษย์อยู่หรือไม่”
กู้เฉิงเฟิงไม่ได้เอ่ยคำใด
เขาพูดไม่ออกแล้ว
แม่บ้านกุ้ยเอ่ยกับกู้เฉิงเฟิงว่า “คุณชายรองก็ไม่ได้นอนเลยสักคืน กลับจวนไปเถิด ตรงนี้มีบ่าวเฝ้าอยู่ บ่าวจะดูแลคุณชายสามเองเจ้าค่ะ”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ข้าไม่ไป ข้าจะรอน้องสามฟื้น”
ฟื้นแบบที่ฟื้นสติขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่คนขวัญหายเช่นนี้
แม่บ้านกุ้ยโน้มน้าวเขาไม่สำเร็จ จึงเอ่ยกับเขาว่า “เช่นนั้นคุณชายรองกินอะไรเสียหน่อยนะเจ้าคะ”
กู้เฉิงเฟิงไม่อยากอาหารเลย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
แม่บ้านกุ้ยเปิดกล่องอาหารออก ด้านในมีโจ๊กสองถ้วย มีน้ำแกงเต้าหู้เลือดหมูถ้วยหนึ่ง อีกจานเป็นปลาจี้ฮื้อตุ๋นหัวไชเท้า กระดูกหมูนึ่งหนึ่งเข่ง และผัดจืดๆ อีกสองสามอย่าง
เมื่อกู้เฉิงเฟิงเห็นกระดูกหมูกับเลือดหมู ในหัวพลันเกิดภาพขึ้นที่กู้เฉิงหลินเลือดกระเด็นไปทั่ว ผิวหนังถูกผ่าเปิด ทำความสะอาดและเย็บปิด รายละเอียดแต่ละอย่างทยอยปรากฏขึ้น!
“เอาไป!”
เขาไม่อยากกินแล้ว!
แม่บ้านกุ้ยมึนงงทันที “เป็นอะไรไปเจ้าคะ กับข้าวพวกนี้ทำไม่ดีหรือ บำรุงร่างกายทั้งนั้นเลย คุณชายสามเสียเลือดไปมาก บ่าวจึงให้คนไปซื้อเลือดหมูสดๆ มาโดยเฉพาะ แล้วก็เชือดสดๆ ทำสดๆ ซื้อกลับมายังอุ่นๆ อยู่เลย…”
นางไม่พูดยังพอทำเนา พอนางเอ่ยขึ้นมากู้เฉิงเฟิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
สุดท้ายเขาก็กัดฟันดื่มโจ๊กถ้วยหนึ่งและกินอะไรไม่ได้อีก
ทางด้านกู้จิ่นอวี้ก็ได้ข่าวว่ากู้เฉิงหลินบาดเจ็บแล้วเช่นกัน สำนักศึกษาสตรีอยู่ติดกันนี่เอง หลังจากเลิกเรียนนางจึงตรงมาที่โรงหมอทันที
กู้เฉิงเฟิงไปสูดอากาศที่ท้ายเรือน เจอนางเข้าก็พลันขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ามาทำไม”
กู้จิ่นอวี้เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินว่าพี่สามบาดเจ็บ ข้ามาเยี่ยมเขา อาการพี่สามเป็นอย่างไรบ้าง พ้นขีดอันตรรายหรือยัง”
กู้เฉิงเฟิงอยู่แบบต่างคนต่างอยู่กันกับกู้จิ่นอวี้ ไม่ค่อยชอบนางเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ วันนี้บังเอิญว่าเขาอารมณ์ไม่ดี กู้จิ่นอวี้มาเจอเขาอารมณ์ไม่ดีพอดี
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
กู้จิ่นอวี้จุกในลำคอ
พี่รองยามปกติไม่ได้โหดเพียงนี้นะ
กู้จิ่นอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่รอง ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น ข้าแค่เป็นห่วงพี่สาม”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเหน็บแนมว่า “ห่วงเขาอย่างนั้นรึ ข้าว่าเจ้าแอบดีใจอยู่ในใจมากกว่ากระมัง! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ พวกเจ้าสี่คนแม่ลูกต่างเฝ้ารอให้เขาตาย!”
กู้จิ่นอวี้เอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “ข้าเปล่านะ!”
กู้เฉิงเฟิงคร้านจะสนใจนาง เขาหันหลังเดินเข้าห้อง แล้วปิดประตูห้องทันที ไม่อนุญาตให้นางเข้ามาแม้เพียงครึ่งก้าว
กู้จิ่นอวี้ได้รับความไม่เป็นธรรมโดยแท้ แม่นางเหยากับกู้เจียวและกู้เหยี่ยนไม่อยากพบกู้เฉิงหลินจริง แต่นางหวังว่ากู้เฉิงหลินจะหายดีจากใจจริงนะ!
กู้จิ่นอวี้กัดริมฝีปาก กำลังจะจากไปอย่างหงุดหงิด ทว่าดันเหลือบไปเห็นกู้ฉังชิงหอบสมุนไพรตะกร้าหนึ่งเดินมาจากโกดังพอดี
พี่ใหญ่นี่นา
นางกำลังจะทักทายขึ้นก่อน ก็เห็นกู้เจียวออกมาจากในโกดังเช่นกัน ในมืออีกฝ่ายหอบสมุนไพรไว้อีกหนึ่งตะกร้า
“เจ้าวางไว้ ข้ายกเอง” กู้ฉังชิงวางสมุนไพรไว้บนชั้นวางด้านหลัง แล้วหันไปคว้าตะกร้าในอ้อมอกกู้เจียว “ยังเหลืออีกกี่ตะกร้า”
“ห้า” กู้เจียวบอก
กู้ฉังชิงหันกลับไปยกสมุนไพรออกมาจากโกดังห้าตะกร้าจนหมด จากนั้นทั้งคู่ก็เอาสมุนไพรไปตากด้วยกัน
กู้ฉังชิงยังคงมีท่าทางไม่พูดไม่จา ไม่ยิ้มไม่แย้มอยู่ บางทีแม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทันสังเกตว่าหน้าตาเขาไม่ได้ดุดันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แถมเวลาอยู่ด้วยกันกับกู้เจียวดูเหมือนว่าจะมีความสนิทชิดเชื้อระหว่างพี่น้องอยู่จางๆ ด้วยซ้ำ
เมื่อกู้เจียวเดินผ่านชั้นวาง กู้ฉังชิงก็ยังเอามือกันชั้นวางไว้ ไม่ให้กู้เจียวชนเข้า
ใจกู้จิ่นอวี้พลันเกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้น
เหตุใดตนทุ่มเทความพยายามมากมายเพียงนี้ พี่ใหญ่ไม่แม้แต่จะยอมพูดกับตนสักคำ
แต่เด็กชนบทนั่นกลับได้รับความโปรดปรานจากพี่ใหญ่ แค่เพียงเพราะนางเป็นเด็กจ่ายยาของโรงหมอ
แถมนางก็ไม่ได้เป็นคนรักษาพี่สามเสียหน่อย!
นางเป็นแค่เด็กจ่ายยาเองนะ!
กู้จิ่นอวี้กำผ้าเช็ดหน้าแน่น กำลังจะจากไปก็เห็นแม่นางเหยาออกมาจากในเรือน
กู้จิ่นอวี้ชะงักไปเล็กน้อย นางก็อยู่ที่นี่รึ
นางมองกู้เจียวกับกู้ฉังชิงที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง ในใจพลันเกิดความรื่นรมย์ขึ้นมา ท่านแม่ไม่ชอบให้ไปคลุกคลีกับพวกพี่ใหญ่ พี่รองและพี่สามเป็นที่สุด หากท่านแม่มาเห็นเข้า ดูซิว่านางจะทำอย่างไร!
“เจียวเจียว ตากสมุนไพรอีกแล้วรึ” แม่นางเหยาเดินไปหา “เจ้าไปพักเถอะเดี๋ยวข้าทำเอง”
“ใกล้เสร็จแล้ว”
กู้ฉังชิงกับแม่นางเหยาต่างมองกันแวบหนึ่ง กู้ฉังชิงค้อมกายให้เล็กน้อย แม่นางเหยาก็ผงกหัวให้เขา
ไม่ได้เอ่ยอะไรมากมาย ทั้งเกรงอกเกรงใจและห่างเหินกันมาก
นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่กู้จิ่นอวี้คาดคิดไว้ ท่านแม่จะไม่ดึงกู้เจียวหนีแล้วตำหนิกู้เจียวสักยกไม่ให้นางไปคลุกคลีกับพวกพี่ชายทั้งสามหรอกหรือไร
เหตุใดตนพูดคุยกับพวกพี่ใหญ่ไม่ได้ แต่กู้เจียวทำได้เล่า
แม่นางเหยาไม่ได้รั้งอยู่นานนางก็เข้าห้องไป
กู้ฉังชิงเอ่ยกับกู้เจียวว่า “รอข้าเดี๋ยวนะ”
เขาไปคอกม้า หยิบเอากล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากในห่อผ้าที่ห้อยอยู่บนอานม้ามาให้กู้เจียว “เอาไปสิ”
“อะไรรึ” กู้เจียวถาม
“เจ้าลองเปิดดูสิ” กู้ฉังชิงบอก
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมาแล้วเปิดกล่องนั้นออก ก็พบว่าด้านในเป็นตุ๊กตาตัวเล็กๆ สี่ตัว มีตุ๊กตาหยกหนึ่ง ตุ๊กตาทองหนึ่ง ตุ๊กตาไม้หนึ่ง ตัวสุดท้ายเป็น…ตุ๊กตาเหล็ก
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตุ๊กตาหยกนั้นให้กู้เหยี่ยน ตุ๊กตาทองให้เสี่ยวจิ้งคง ตุ๊กตาไม้ให้กู้เสี่ยวซุ่น แต่เหตุใดพอของตนจึงกลายเป็นตุ๊กตาเหล็กไปได้
กู้เจียว “…”
นี่เป็นงานฝีมือของแคว้นเหลียง หาซื้อตามตลาดไม่ได้
ที่ให้นี่หาใช่เพราะกู้เจียวรักษากู้เฉิงหลินจึงได้อยากมอบของขวัญให้นางไม่ หลังจากที่เล่นไพ่กระดาษชนะจนมือไม้อ่อน กู้ฉังชิงก็ไปหางานฝีมือชุดนี้มา กะว่าจะเอาไปตรอกปี้สุ่ยด้วยในคราหน้า
กู้ฉังชิงเอ่ยอธิบายว่า “ใต้กล่องยังมีไพ่กระดาษด้วยสำรับหนึ่ง”
กู้เจียว ดังนั้น นี่เจ้าให้มาเพื่อจะเล่นไพ่อย่างนั้นรึ