สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 193 รีดไถพี่ชายนิสัยไม่ดี
บทที่ 193 รีดไถพี่ชายนิสัยไม่ดี
กู้จิ่นอวี้มองพี่ใหญ่มอบของขวัญให้กู้เจียวอย่างคาดไม่ถึง ในใจนางพลันเกิดความไม่พอใจขึ้นมาเรื่อยๆ
นางส่งของขวัญให้พี่ใหญ่ไปมากมายเพียงนั้น สิ่งได้คืนมาก็แค่คำขอบคุณของเขาประโยคเดียวเท่านั้น อย่าคิดว่านางไม่รู้ว่าของขวัญวันเกิดทุกปีของนางมีอนุหลิงเป็นคนเตรียมไว้ให้ พี่ใหญ่มอบของขวัญอะไรให้นางแม้แต่ตัวพี่ใหญ่เองยังไม่รู้เลย
แม้ว่าจากมุมที่นางยืนอยู่จะไม่เห็นว่าของด้านในคืออะไร แต่พี่ใหญ่เลือกให้ด้วยตัวเองเช่นนี้จะเป็นของแย่ๆ ได้หรือ
กู้จิ่นอวี้ไม่ได้อยากได้ของในกล่องหรอก นางอยากได้น้ำใจจากพี่ใหญ่ต่างหาก
เด็กที่โตในชนบทคนหนึ่ง หน้าตาก็ไม่สะสวย วิชาความรู้อะไรก็ไม่มี มิหนำซ้ำเอะอะก็จะตีคนเขาไปทั่ว พี่ใหญ่ไปถูกใจส่วนไหนของนางเข้ากันแน่
กู้จิ่นอวี้ไม่ได้ไปหาแม่นางเหยา นางกลับจวนไปคนเดียวพร้อมกับความไม่พอใจ
ทางด้านกรมโยธากับกรมกลาโหมที่กำลังขัดแย้งกันอยู่นั้น ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว กรมกลาโหมชนะขาดลอย เจ้ากรมโยธาถูกฝ่าบาทต่อว่าใส่หน้าโครมๆ
เจ้ากรมโยธาหอบความเดือดดาลเต็มอกกลับไปที่ศาลาว่าการ แล้วเรียกท่านโหวกู้มาหา ก่อนจะถามเขาว่าตอนนั้นทำงานอย่างไร “กรมกลาโหมบอกว่ามาหาเจ้าตั้งหลายครั้งหลายคราแล้ว เจ้าพูดปัดๆ อย่างขอไปทีโดยไม่มีเหตุผลให้มันจริงหรือไม่”
ท่านโหวกู้แก้ต่างว่า “ไม่ได้มาหลายครั้งหลายคราเสียหน่อย ตอนแรกเขาพูดไม่กระจ่าง แค่ให้ข้ารีบผลิตอาวุธชุดใหญ่ออกมาภายในหนึ่งเดือน ตอนนั้นใกล้ถึงงบดุลปลายปีแล้ว งานของกรมโยธาท่วมหัว เร่งผลิตให้ไม่ได้จริงๆ!”
การสร้างอาวุธของทัพหน้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานของกรมโยธา หลังจากราชสำนักเปิดศักราชใหม่ก็ดำเนินการแบ่งหน้าที่ของทั้งหกกรม หนึ่งในนั้นที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากคือกรมโยธา
งานทั้งหลายทั้งแหล่ของกรมโยธาพลันเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยทีเดียว ทว่าเงินเดือนกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม ตำแหน่งก็ไม่เลื่อนขึ้น เรียกได้ว่าเป็นคนขยันในบรรดาทั้งหกกรมก็ว่าได้
แน่นอนว่าเจ้ากรมจ้าวรู้ดีว่าท่านโหวไม่ได้โกหก กรมโยธาดูแลเรื่องที่ดิน การชลประทาน การก่อสร้าง การคมนาคม กิจการของแคว้นเจา รวมถึงการผลิตอาวุธด้วย…
พอถึงงบดุลปลายปี จะยุ่งงานจนอยากจะแยกร่างออกเป็นสามร่างสี่ร่างเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่เขาจะมาโมโหอะไรน่ะหรือ
ก็โมโหที่ท่านโหวกู้ไม่ตรวจสอบอะไรเลยสักอย่าง ก็ยืนกรานว่าในหมู่ชาวบ้านไม่มีใครมีฝีมือการทำเครื่องเป่าลมที่เก่งกาจกว่าราชสำนักแน่นอน ผลสุดท้ายดันมีจริงๆ ซ้ำยังถูกกรมกลาโหมพากลับมาด้วยแล้ว!
ยามนี้พวกเขาทั้งกรมโยธาแทบจะไปเรียนรู้การทำเครื่องเป่าลมจากกรมกลาโหมกันอยู่รอมร่อแล้ว!
นี่มันเรื่องอะไรกัน
เขายังจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก
ระหว่างทางกลับมาจากราชสำนักเขาก็แทบจะโดนพวกเพื่อนร่วมสำนักหัวเราะเยาะตายแล้ว!
“ข้าไม่รู้ว่าควรบอกว่าเจ้าโง่หรือว่าเจ้าอวดดีดี!”
เจ้ากรมจ้าวเดือดดาลจนควันออกหู
ท่านโหวกู้เบ้ปากเอ่ยว่า “แล้วหากเปลี่ยนเป็นใต้เท้าที่อยู่ตรงนั้นด้วย ใต้เท้าจะเชื่อหรือไม่เล่า”
เจ้ากรมจ้าวจุกในลำคอ
ท่านโหวกู้ทำท่าทาง ‘ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้’ “ดูสิ ใครจะไปเชื่อ ถูกหรือไม่”
“ขะขะขะ…ข้าจะไม่เชื่อได้อย่างไร” ใครพูดแก้ตัวทีหลังไม่เป็นบ้าง เจ้ากรมจ้าววางมาดเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ตอนนั้นเจ้าไม่ได้บอกข้า หากบอกเสียแต่ตอนนั้นข้าคงส่งคนไปเชิญเขามาจากอำเภอแล้ว!”
ท่านโหวกู้แหงนหน้ามองฟ้า จะโบ้ยก็โบ้ยมาให้หมดเลยมา
เจ้ากรมจ้าว “…”
อดีตท่านโหวเป็นถึงวีรบุรุษผู้กล้า เหตุใดจึงมีลูกชายโง่เขลาเช่นนี้
แต่ในทางกลับกันเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันนั่นแหละ
ตอนที่เจ้ากรมกลาโหมเพิ่งจะพูดถึงเคล็ดลับการทำเครื่องเป่าลมของชาวบ้าน เขายังหัวเราะเยาะเย้ยใส่อยู่เลย ตาเฒ่าเจ้ากรมกลาโหมนั่นก็ชั่วมากนัก เครื่องสูบลมอยู่ระหว่างทางแล้วแท้ๆ เขาก็ไม่บอกกันสักคำ
ทำเอาเขาคิดว่าไอ้ของสิ่งนั้นมาจากกรมกลาโหม เอ่ยตำหนิกลับคืนไปโดยไม่ระวัง ทั้งยังพ่นคำหยาบไปไม่น้อย ยามนี้แต่ละประโยคมากระแทกหน้าเขาคืนหมดแล้ว
เจ้ากรมจ้าวถามว่า “ได้ยินว่าเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าเป็นคนประดิษฐ์ขึ้น ตอนนั้นเจ้าก็อยู่ที่อำเภอนั้นมิใช่หรือ เคยได้ยินเรื่องเด็กสาวนางนี้มาก่อนหรือไม่”
เด็กสาวในอำเภอมีถมเถจะตายไป บ้านเขาก็มีคนหนึ่ง! น่าเสียดายที่เกิดมาก็ดวงเป็นอริกับเขาเสียได้!
“เป็นอะไรไปรึ เจ้ารู้จักรึ” เจ้ากรมจ้าวมองท่านโหวกู้ที่จู่ๆ ก็ทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา จึงได้ถามขึ้น
ท่านโหวกู้แบมือเอ่ยว่า “เด็กสาววัยสิบสี่มีมากมายถมเถไป จะมาเดาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้กระมัง”
เจ้ากรมจ้าวพยักหน้า “ก็จริง แต่ได้ยินช่างตีเหล็กบอกว่านางเป็นสาวน้อยชาวไร่ชาวนา ยามนี้กรมโยธาของพวกเราเสียเปรียบไปไม่น้อยแล้ว หากหานางเจอละก็ คงทวงคืนศักดิ์ศรีต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทกลับคืนมาได้แน่”
เด็กสาวชาวไร่ชาวนาอย่างนั้นรึ
คงไม่ใช่เด็กคนนั้นกระมัง
เพียงไม่นานท่านโหวกู้ก็ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่
เด็กคนนั้นไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว บอกว่านางป้อนอาหารหมูปลูกพืชผักยังพอว่า แต่ให้มาประดิษฐ์เครื่องสูบลมโดยน้ำได้ล้ำหน้ากว่าแคว้นเหลียงนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร
ท่านโหวกู้เอ่ยว่า “ใต้เท้า ข้าว่าแม่นางคนนั้นคงจะเป็นศิษย์หรือไม่ก็คนในครอบครัวของปรมาจารย์ยอดฝีมือคนใด ที่ไม่ยุ่งโลกีย์มากกว่า จึงได้ไม่เปิดเผยตัวตนของตัวเองออกมา”
เจ้ากรมจ้าวครุ่นคิด แล้วเอ่ยคล้ายนึกอะไรบางอย่างได้ว่า “อ๊ะ จริงสิ ได้ยินช่างตีเหล็กบอกว่า เหมือนนางจะแซ่ลู่…หรือว่ากู้นะ”
ฟากฟ้าค่อยๆ มืดลง กู้เจียวเสร็จงานตรวจรักษาสุดท้ายก็ไปดูอาการของกู้เฉิงหลิน
กู้เฉิงเฟิงมีคำถามจะถามนาง
ยามนี้หากมีอาหารประเภทเนื้ออยู่บนโต๊ะอาหาร เขาก็จะนึกถึงภาพกู้เฉิงเฟิงโดนผ่าตัดขึ้นมาเป็นระยะๆ… มันช่างน่าตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นนัก!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาคงต้องไปบวชเป็นพระแล้วเล่า! เขาอยากรู้ว่าอาการนี้มียารักษาหรือไม่
ทว่ากู้เจียวกลับไม่ให้โอกาสเขาได้เอ่ยอะไรขึ้นเลยสักนิด นางหันหลังเดินออกไปทันที!
“นี่ เจ้าจะไปแล้วรึ” กู้เฉิงเฟิงถามอย่างไม่สบอารมณ์
กู้เจียวมองเขานิ่งๆ
กู้เฉิงเฟิงปรับสีหน้าจริงจังพลางเอ่ยว่า “เกิดน้องชายข้ามีอันตรายใดขึ้นมาเล่า”
“มีหมอซ่งนั่นไง” กู้เจียวบอก
กู้เฉิงเฟิงอยากจะเอ่ยบางอย่างขึ้นแต่ก็ข่มไว้
หมอซ่งผู้นี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นมือใหม่ คราเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากห้องดนตรีพังถล่ม หมอซ่งนี่แหละที่เป็นคนเย็บแผลให้เขา ฝีเข็มบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่สวยเลยสักนิด! ซ้ำยังเจ็บมากด้วย!
“หากไม่พอใจละก็ เปลี่ยนไปโรงหมออื่นได้นะ” กู้เจียวเอ่ยอย่างไม่แยแส นางเดินมาถึงหน้าประตูก็กำชับกับหมอซ่งครู่หนึ่ง แล้วมองหมอซ่งอย่างให้กำลังใจ “ผู้ป่วยสาหัสที่มีบาดแผลเช่นนี้พบเจอได้น้อยนัก เจ้าต้องเห็นคุณค่าในโอกาสที่จะได้ฝึกมือ”
หมอซ่งเอ่ยด้วยความฮึกเหิมเต็มอกว่า “ข้าทำเป็น!”
กู้เฉิงเฟิงสีหน้าทะมึนมืด “…”
โรงหมอของพวกเจ้ารีดไถคนเช่นนี้มันดีจริงๆ รึ
“อ๊ะ จริงสิ จ่ายเงินด้วย” กู้เจียวเอาใบเก็บเงินโยนใส่อกกู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงรับมาดู “เหตุใดมันตั้งหนึ่งพันตำลึงอีกแล้วเล่า! ไหนบอกว่าค่ายาค่าอะไรต่างๆ ของน้องสามแค่ไม่กี่สิบตำลึงไง”
กู้เจียวเลิกคิ้ว “นี่ไม่ใช่ค่ารักษาเขา ของเจ้าต่างหาก”
กู้เฉิงเฟิงถลึงตาโต “ข้าเป็นอะไรไปอีกเล่า”
กู้เจียวแบมือ “ข้าฝังเข็มให้เจ้าไปเข็มหนึ่งด้วยน่ะสิ”
กู้เฉิงเฟิงโกรธเคืองราวสายฟ้าฟาด “นั่นมันถึงพันตำลึงเลยรึ! อีกอย่างเจ้ากำลังลอบโจมตีข้าด้วย ลอบโจมตีข้าแล้วเจ้ายังจะรีดไถข้าอีกรึ”
กู้เจียวหัวเราะชั่วร้าย สายตากวาดมองบนร่างกู้เฉิงหลิน “หากไม่จ่าย เจ้าก็ดูเอาละกัน”
กู้เฉิงเฟิง “!!!”
แม่นางเหยากับกู้ฉังชิงกลับไปแล้ว แม่นมกุ้ยชอบเอาแต่ร้องไห้ จึงโดนกู้เฉิงเฟิงตะเพิดไล่กลับไปแล้ว เหลือแต่บ่าวรับใช้ที่ไม่ปากมากคนหนึ่ง
คืนนี้กู้เฉิงเฟิงกับบ่าวรับใช้เป็นคนดูแลกู้เฉิงหลิน
กู้เจียวสะพายตะกร้าใบน้อยกลับบ้านไปแล้ว
พวกเซียวลิ่วหลังสี่คนกลับมาจากกั๋วจื่อเจียนและสำนักบัณฑิตชิงเหอกันแล้ว ภายในบ้านมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวลอยมา
กู้เจียวไม่ได้นอนมาทั้งคืน เซียวลิ่วหลังไม่อยากให้นางกลับมาแล้วยังต้องทำกับข้าวอีก จึงทำมื้อค่ำด้วยตัวเอง ผลสุดท้ายได้รับการปฏิเสธของคนทั้งบ้านหมดเลย
โดนเขาวางยาพิษมื้อเดียวก็พอแล้ว หากมีมื้อที่สองพวกเขาคงไม่อาจเห็นแสงตะวันของวันพรุ่งนี้ได้อีกแน่ โชคดีที่จี้จิ่วอาวุโสอยู่บ้านในวันนี้ หญิงชราจึงถือมีดอีโต้ไปชิงตัวคนมา
กู้เจียวเอาตะกร้าใบน้อยไปเก็บที่ห้องตะวันออกก่อน จากนั้นก็ไปท้ายเรือน
“เจียวเจียว!” เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังมาหา เขาเงยศีรษะน้อยๆ ขึ้นมองกู้เจียวอย่างน่ารักน่าชัง “ไม่ได้พบกันวันเดียวยาวนานราวกับสามปี เจียวเจียว พวกเราไม่ได้เจอกันมาสามปีแล้ว ข้าคิดถึงม๊ากมาก!”
กู้เจียวมุมปากกระตุก นี่ไปเลียนแบบคำพูดเลี่ยนๆ พวกนี้มาจากไหนอีก
“เจียวเจียวคิดถึงข้าหรือไม่” เสี่ยวจิ้งคงยังคงทำตัวน่ารักต่อ
“คิดถึง” กู้เจียวโยกหัวน้อยๆ ของเขาไปมา
โอ๊ะ ผมขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงดึงมือกู้เจียว “เจียวเจียว เมื่อคืนได้อุ้มข้าไปหรือไม่ เจ้าคิดถึงข้าม๊ากมากจนทนไม่ได้เลยใช่หรือไม่”
กู้เจียวมองเซียวลิ่วหลังที่ผ่าฟืนอยู่ในลานบ้าน ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคงว่า “อืม ใช่น่ะสิ”
เสี่ยวจิ้งคงเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว!” พอนึกบางอย่างขึ้นมาได้เขาก็ดึงกู้เจียวมาตรงหน้ากะละมังใบน้อย แล้วชี้ปลาน้อยในกะละมังพลางเอ่ยว่า “เจียวเจียวดูสิ เพื่อนสนิทข้าให้มาเล่า!”
“เจ้ามีเพื่อนสนิทด้วยรึ” กู้เจียวคาดไม่ถึงเล็กน้อย อันที่จริงก็ไม่นับว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กที่เข้าสังคมอะไรมากนัก ไม่เคยได้ยินว่าเขามีเพื่อนอะไรเลย
“อยู่ห้องข้างๆ เล่า ชื่อสวี่โจวโจว! โจวที่แปลว่าโจ๊ก!” เสี่ยวจิ้งคงบอก
นึกไม่ถึงว่าจะไปผูกมิตรถึงห้องเรียนข้างๆ แล้ว กู้เจียวค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว
นางกับเซียวลิ่วหลังเป็นห่วงว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กอัจฉริยะเกินไปจะไม่เล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันมาตลอด และมีช่องว่างทางความคิดกับผู้ใหญ่ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะเข้าสู่โลกส่วนตัวอย่างยากจะเลี่ยงได้
เสี่ยวจิ้งคงอวดปลาน้อยของตัวเองว่า “สวยหรือไม่”
กู้เจียวตอบอย่างมีมโนธรรมว่า “…สวย สวยมากเลย ปลาอะไรรึ”
นางไม่เคยเห็นปลาที่ไหนอัปลักษณ์เช่นนี้มาก่อนเลย
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “พวกเสี่ยวสวี่บอกว่าเป็นปลากินคนน่ะ”
กู้เจียวตัวสั่นเทิ้ม
นี่มันเพื่อนอะไรกัน เหตุใดจึงใจร้ายกันเช่นนี้!
คิดว่าเจ้าจะเหมือนเด็กปกติทั่วไปที่คบเพื่อนธรรดาๆ ที่ไหนได้ ข้านี่มันใสซื่อเกินไปนี่เอง…
สุนทรียภาพทางความงามของเสี่ยวจิ้งคงแตกต่างกับคนทั่วไปมากโขทีเดียว สุนทรียภาพทางความงามของเขาถูกอาจารย์เขาทำเอาเพี้ยนไปหมด จากนั้นเขาก็ไปพาพวกเณรน้อยในวัดเพี้ยนกันตาม
อย่างเช่นคนทั่วไปรับพวกปานแดงกันไม่ได้ แล้วดันมีอยู่ในสุนทรียภาพทางความงามของเสี่ยวจิ้งคงและพวกเณรน้อยพอดี
ปลาพวกนี้ก็เหมือนกัน
รูปร่างแปลกๆ ไม่พอ ดวงตามันยังดุร้ายด้วย แค่เกล็ดสีทองที่อยู่บนหัวพวกมันสะท้อนแวววับภายใต้แสงอาทิตย์แค่นั้น ก็ทำเอาเสี่ยวจิ้งคงหลงใหลเสียแทบเป็นแทบตายแล้ว
เพื่อปลาน้อยสวยงามพวกนี้ เสี่ยวจิ้งคงถึงกับเริ่มต้นสนทนากับเด็กๆ ในกั๋วจื่อเจียนก่อน
แน่นอนว่าพวกมันไม่ใช่ปลากินคนอะไรหรอก ล้วนเป็นคำคุยโวให้ใหญ่โตของพวกเด็กน้อยเท่านั้น พวกมันเป็นปลาน้ำจืดธรรมดา แต่ไม่ใช่สายพันธุ์ของแคว้นเจา มันเป็นของล้ำค่าอย่างมากที่เดินทางไกลพันลี้มาจากแคว้นเหลียง
แน่นอนว่าพวกสวี่โจวโจวไม่ได้บอก เพราะพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
“เจียวเจียว ข้าเลี้ยงพวกมันได้หรือไม่” เสี่ยวจิ้งคงถามกู้เจียว
เขาเป็นเด็กที่ทั้งรู้ประสาและมีมารยาท ก่อนจะเลี้ยงสัตว์ก็ต้องได้รับอนุญาตจากเจียวเจียวก่อน
กู้เจียวพยักหน้า “ได้สิ แต่ต้องป้อนอาหารเอง เปลี่ยนน้ำเอง แล้วก็พวกเราไม่มีใครเคยเลี้ยงปลากันมาก่อน จึงไม่อาจช่วยเจ้าได้ในเรื่องนี้นะ”
“อื้อ!” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เจียวเจียววางใจได้ ข้าจะไปขอคำชี้แนะมาจากเสี่ยวสวี่เอง! ข้าจะเลี้ยงพวกมันให้อ้วนตุ้บเลย! พอข้าโตขึ้นก็จะได้กินพวกมันแล้ว!”
กู้เจียว ดังนั้นเจ้าเลี้ยงพวกมันเพื่อจะกินอย่างนั้นรึ
บรรดาลูกเจี๊ยบและลูกหมาที่กระโดดวิ่งเล่นกันไปมาในลานบ้านพลันเงียบเสียงกันทันที
ตกค่ำมา กู้เหยี่ยนทำงานให้เสี่ยวจิ้งคงโดยการไปป้อนอาหารลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ดในเล้าไก่ ผลปรากฏว่าพวกมันต่างพากันปฏิเสธอาหารกันหมดเลย!
กู้เหยี่ยน “เอ๋”
อาหารค่ำวันนี้เป็นกับข้าวหกอย่างกับน้ำแกงอีกหนึ่งชนิด พวกเด็กๆ ในบ้านต่างกำลังอยู่ในวัยกำลังโต จี้จิ่วอาวุโสจึงทำในปริมาณที่เพียงพออย่างมาก และยังคงใช้เตาแยกให้เสี่ยวจิ้งคงเหมือนเดิม
ปริมาณอาหารของเขามาก แต่ดันไม่โตเสียที
และนี่เป็นสิ่งที่น่ากังวล
ฝีมือการทำอาหารของจี้จิ่วอาวุโสประสบความสำเร็จจนลบล้างความสยองของมื้อเช้าของเซียวลิ่วหลังได้เกลี้ยง คนทั้งบ้านต่างกินกันอิ่มหนำสำราญ
หลังมื้ออาหาร หยิงชราก็ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของวันนี้กับทุกคนเหมือนเดิม กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังไม่ได้เล่าเรื่องที่กู้เฉิงหลินมาที่นี่ ทั้งสองคนไม่ได้รู้สึกว่ากู้เฉิงหลิงไม่มีค่าพอให้สละเวลาการพูดคุยกันของครอบครัวมาพูดเรื่องเขา
นอกจากเสี่ยวจิ้งคงจะมีเพื่อนใหม่ที่กั๋วจื่อเจียนแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีเรื่องสดใหม่อะไรเกิดขึ้น
ทว่าเซียวลิ่วหลังที่เอาแต่เงียบงันในเวลาพูดคุยของครอบครัวมาโดยตลอดกลับเอ่ยโพล่งขึ้นว่า “ใกล้ๆ กั๋วจื่อเจียนมีช่างไม้คนหนึ่งอยากจะรับลูกศิษย์ พรุ่งนี้กั๋วจื่อเจียนกับสำนักบัณฑิตชิงเหอหยุด ข้าจะพาเสี่ยวซุ่นไปหาเสียหน่อย”
กู้เสี่ยวซุ่นหลงใหลการแกะสลักไม้ทั้งใจ หากสามารถหาอาจารย์ที่น่าเชื่อถือมาสั่งสอนวิชางานไม้ได้ ก็คงจะดีไม่น้อย
“เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องเรียนหนังสือแล้วใช่หรือไม่” กู้เสี่ยวซุ่นถามด้วยความดีใจ
กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “ฝันไปเถอะ!”
กู้เสี่ยวซุ่น “…”
จริงอยู่ที่เด็กในครอบครัวปกติน่ะพอมีฝีมือทักษะด้านใดด้านหนึ่งแล้วก็ไม่ต้องไปเรียนหนังสือแล้ว แต่เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษากันมาก เด็กๆ ที่บ้านพวกเขาเรียนเสริมหลังเลิกเรียนได้ แต่จะลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปเรียนงานฝีมือไม่ได้
“กู้เหยี่ยนก็ไปด้วยกันด้วย” เซียวลิ่วหลังบอก
“เหตุใดข้าต้องไปด้วยเล่า” กู้เหยี่ยนสีหน้างุนงง
เซียวลิ่วหลัง “ก็เจ้าว่าง”
กู้เหยี่ยน “…”
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นต้องเริ่มใช้ชีวิตลำบากลำบนอย่างตอนเช้าไปเรียนที่โรงเรียน ตกเย็นไปเรียนงานฝีมือเสียแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะอย่างลำพองใจ “ข้าไม่ต้องไปเรียนงานฝีมือ ข้าไปเล่นได้ แบร่ แบร่!”
เซียวลิ่วหลังมองเขาอย่างไร้อารมณ์ “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปก็เรียนภาษาต่างแคว้นเพิ่มอีกวิชา”
เสี่ยวจิ้งคงพลันหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที