สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 194 ฝากตัวเป็นศิษย์
บทที่ 194 ฝากตัวเป็นศิษย์
“แต่เจ้าจะต้องสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิแล้วมิใช่รึ จะเอาเวลาที่ไหนมาสอนข้าเพิ่มเล่า เจ้ายังต้องการจะสอบให้ผ่านหรือไม่” เสี่ยวจิ้งคงไม่ใช่คนที่จะมาโดนเล่นงานง่ายๆ หรอกนะ
ประโยคนี้โดนใจกู้เจียวนัก ยามนี้สิ่งสำคัญที่สุดของครอบครัวคือการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิเดือนหน้า ตนจะได้กลายเป็นก้งซื่อเหนียงจื่อหรือไม่ก็ต้องดูคะแนนของเซียวลิ่วหลังแล้วละ
เซียวลิ่วหลัง ว่าแล้วว่าเจ้าจะพูดเช่นนี้
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนสอนเจ้า ท่านปู่ต่างหากที่จะสอนเจ้า ท่านปู่ก็รู้ภาษาต่างแคว้นเช่นกัน”
เสี่ยวจิ้งคงอ่อนเปลี้ยอยู่บนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง
วันรุ่งขึ้น เซียวลิ่วหลังก็พากู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนไปกราบตัวเป็นศิษย์อาจารย์เพื่อร่ำเรียนงานฝีมือ
ขั้นตอนการไหว้อาจารย์ราบรื่นมาก อีกฝ่ายไม่ได้ต้องการของไหว้สูงค่าอะไร ก็รับศิษย์ทั้งสองเอาไว้อย่างมีไมตรีแล้ว
อาจารย์ผู้นี้แซ่หลี่ว์ เป็นผู้ชายหน้าเหลี่ยม อายุที่แท้จริงเกือบจะห้าสิบเข้าไปแล้ว แต่ดูเหมือนยังไม่ถึงสี่สิบเลย
กู้เสี่ยวซุ่นเกาหัวพลางเอ่ยเสียงเบากับกู้เหยี่ยนว่า “กู้เหยี่ยน เจ้าเคยได้ยินชื่อของอาจารย์มาก่อนหรือไม่”
กู้เหยี่ยนส่ายหน้า “ไม่เลย ข้าเคยได้ยินแต่หลี่ว์หยวน”
“หลี่ว์หยวนเป็นใครรึ” กู้เสี่ยวซุ่นถาม เขาเป็นเด็กบ้านนอก ไม่รู้จักอะไรในเมืองหลวงสักอย่าง
กู้เหยี่ยนอธิบายอย่างใจเย็นว่า “เป็นปรมาจารย์ท่านหนึ่ง! เก่งกาจมากนัก! แม้อาจารย์ของพวกเราจะแซ่หลี่ว์เหมือนกัน แต่คงจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับปรมาจารย์ท่านนั้นหรอก”
ปรมาจารย์หลี่ว์ผู้นี้เป็นนายช่างที่โด่งดังที่สุดในแคว้นเจา แม้แต่บัลลังก์และตั่งบรรทมของฮ่องเต้เขาก็เป็นคนทำทั้งสิ้น เห็นได้ชัดเลยว่าตำแหน่งของเขาในแคว้นเจาแห่งนี้มีความสำคัญเพียงใด
ว่ากันว่าปรมาจารย์หลี่ว์แกะสลักนกนางแอ่นให้บินได้ ปรมาจารย์หลี่ว์แกะสลักปลาให้ว่ายน้ำได้ ยิ่งไปกว่านั้นเห็นว่าปรมาจารย์หลี่ว์เคยแกะสลักสาวงามนางหนึ่งด้วย สาวงงามนางนั้นก็มีชีวิตขึ้นมาเช่นกัน กลายเป็นภรรยาของปรมาจารย์หลี่ว์
ตำนานเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับปรมาจารย์หลี่ว์มีมากมายมหาศาลนัก เล่าสามวันสามคืนก็ไม่หมด
หากแต่นิสัยของปรมาจารย์หลี่ว์ผู้นี้คุ้มดีคุ้มร้าย แปลกประหลาดอย่างยิ่ง มีอยู่คราหนึ่งไปล่วงเกินฝ่าบาทเข้า เกือบจะโดนฝ่าบาทสั่งประหาร
หลังจากนั้นมาปรมาจารย์หลี่ว์ก็หลบเร้นซ่อนตัว ไม่รับงานของราชสำนักอีกเลย
และมีคนบอกว่าปรมาจารย์หลี่ว์เปลี่ยนชื่อแซ่แล้ว พอเปลี่ยนชื่อเสร็จก็ไปเป็นช่างไม้ท้องถิ่นต่อ ยามนี้ในตลาดมีคนไม่น้อยต่างซุบซิบกันว่าของที่ตัวเองซื้อกันเป็นผลงานของปรมาจารย์หลี่ว์
ทั้งสองกำลังคุยกันภายในลานบ้าน สตรีออกเรือนในชุดกระโปรงบางและอ่อนนุ่มนางหนึ่งก็ยกผักดองมาตะกร้าหนึ่ง
ดูแค่กิริยาท่าทางของสตรีนางนี้ เรียกได้ว่าอรชรสง่างาม ทว่าพอเงยมามองหน้า…ทั้งคู่ต่างชะงักงันกันไปตามๆ กัน
ใบหน้านางถูกทำลายจนเสียโฉม
แตกต่างกับปานวาววับบนใบหน้ากู้เจียว ใบหน้าดวงนี้เต็มไปด้วยรอยแผลทารุณน่ากลัว คนที่ขี้ขลาดหน่อยมาเห็นเข้าคงได้วิ่งหนี
แต่ทั้งคู่กลับนิ่งงันไม่ขยับ และไม่ได้เสียกิริยาจ้องอีกฝ่ายนานสองนานด้วย
กู้เจียวมักโดยคนกลอกตาใส่เพราะใบหน้ามีตำหนิ กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นไม่มีทางทำเช่นนั้นกับคนอื่นแน่นอน
“เจ้าเป็นใครรึ” กู้เหยี่ยนถาม
แววตาเขาใสกระจ่าง ไร้ซึ่งความหวาดกลัวและดูถูกแม้แต่น้อย
นางแย้มยิ้ม
คนทั่วไปแย้มยิ้มทำให้คนมองรู้สึกอบอุ่น แต่นางไม่ใช่ พอแย้มยิ้มออกมา แผลเป็นบนใบหน้าก็ขยับตาม ยิ่งทำให้ดูทารุณน่ากลัวกว่าเดิม
นางเอ่ยว่า “พวกเจ้าเป็นศิษย์ใหม่ของเขากระมัง ข้าเป็นอาจารย์หญิงของพวกเจ้า”
ที่แท้ก็เป็นภรรยาของอาจารย์นี่เอง
ทั้งคู่เห็นว่านางไม่เหมือนกำลังโกหก จึงประสานมือคำนับให้ “อาจารย์หญิง”
นางไม่ได้ขานรับ และไม่ได้บอกว่าไม่รับ นางเพียงหัวเราะเบาๆ แล้ววางผักดองตะกร้านั้นผึ่งแดดไว้บนชั้นวาง ก่อนจะหันหลังเข้าห้องไป
กู้เหยี่ยนยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่านายช่างแซ่หลี่ว์ผู้นี้ไม่ใช่ปรมาจารย์หลี่ว์
เพราะภรรยาของปรมารย์หลี่ว์เป็นสาวงาม ไม่ว่าใครที่ได้พบนางต่างไม่มีใครไม่ละลายไปกับดวงหน้าของนาง
ท่านอาของเขาอย่างซูเฟยว่างดงามเพริศแพร้วในหกตำหนักแล้ว แต่ได้ยินว่าเมื่อเทียบกับภรรยาของปรมาจารย์หลี่ว์แล้วกลับจืดชืดเทียบไม่ได้เลย
กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นรออยู่ในลานบ้านอีกครู่หนึ่ง เซียวลิ่วหลังจึงเดินออกมากับอาจารย์หลี่ว์
“ขอฝากฝังเด็กทั้งสองด้วยนะขอรับ” เซียวลิ่วหลังประสานมือเอ่ยบอกอาจารย์หลี่ว์
อาจารย์หลี่ว์คำนับให้เล็กน้อย “ท่านชายเซียวเกรงใจไปแล้ว อีกสองวันข้าจะพาภรรยาออกไปข้างนอกหน่อย สามวันจากนั้นค่อยให้พวกเขามาเรียนก็แล้วกัน”
“ขอรับ” เซียวลิ่วหลังขานรับ แล้วให้กู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนเอ่ยลาอาจารย์หลี่ว์ จากนั้นจึงนั่งรถม้าจากไป
หลังจากที่ทั้งสามกลับไป อาจารย์หลี่ว์ก็กำลังจะกลับห้องเช่นกัน ดันเห็นภรรยาอย่างหนานเซียงเลิกม่านเดินออกมาจากห้อง
“ลมแรงนัก เจ้าออกมาทำไม” อาจารย์หลี่ว์เดินไปหา ก่อนจะประคองแขนภรรยาอย่างห่วงใย
หนานเซียงมองรถม้าที่หายลับไปจากต้นตรอก ก่อนถามเขาว่า “เหตุใดจุ่ๆ จึงได้รับลูกศิษย์เล่า ไหนว่าไม่ชอบไปเป็นอาจารย์ใครมิใช่หรือ”
“เฮ้อ” อาจารย์หลี่ว์ถอนหายใจ “เด็กหนุ่มที่ชื่อเซียวลิ่วหลังคนนั้นน่ะเป็นลูกศิษย์ของเฟิงเหล่า ตอนนั้นข้าติดค้างน้ำใจเฟิงเหล่าไว้ นี่จึงได้ถือว่าได้ใช้คืนเฟิงเหล่าไป”
“ศิษย์ของเฟิงเหล่าอย่างนั้นรึ” หนานเซียงเบ้ปาก “ตาแก่หัวโบราณนั่นแม้แต่จวงต้าหรูเขายังไม่แลเหลียว นึกไม่ถึงว่าจะไปถูกใจเด็กขาเป๋คนหนึ่ง”
จวงต้าหรูที่นางพูดถึงก็คือจวงเซี่ยนจือท่านชายสี่ตระกูลเจียง ในอดีตได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าโยวโจว เป็นต้าหรูหนึ่งเดียวไม่มีสองของแคว้นเจาในปัจจุบัน
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจวงเซี่ยนจือเคารพเฟิงเหล่าเป็นอย่างมาก หวังว่าจะสามารถสืบทอดวิชาความรู้จากเฟิงเหล่า แต่น่าเสียดาย เฟิงเหล่าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่รับเขาเป็นศิษย์
“ข้าดูหน่วยก้านเด็กคนนั้นแล้วพอใช้ได้เลย” อาจารย์หลี่ว์เอ่ย “ระหว่างสนทนากันไม่เหมือนเด็กบ้านนอกธรรมดา”
“คนที่เฟิงเหล่าถูกใจจะเป็นคนธรรมดาได้รึ” หนานเซียงยิ้มจางๆ เปลี่ยนเรื่องออกจากเรื่องเซียวลิ่วหลัง “ติดค้างน้ำใจของคนผู้หนึ่งก็ได้ศิษย์เพิ่มมาสองคน แบบนี้ราคาที่ต้องจ่ายมันไม่สูงไปรึ”
อาจารย์หลี่ว์เอ่ยว่า “ไม่สูงไปหรอก หากไม่ได้เฟิงเหล่าช่วยเหลือกันไว้ ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็คงไม่ได้พบกับเจ้า ถือได้ว่าเฟิงเหล่าเป็นพ่อสื่อให้เราสองคน น้ำใจครานี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะตอบแทนคืนให้อย่างดี”
หนานเซียงถูกหยอกเย้าจนอารมณ์ดี
อยู่ต่อหน้าคนนอกนางยังคงกังวลว่าตัวเองแย้มยิ้มแล้วจะน่าหวาดกลัว ทว่าอยู่ต่อหน้าสามีตัวเองแล้วนางกลับไม่ได้ห่วงในด้านนี้เลย
นางยิ้มจนพอใจก็จับมือสามีพลางเอ่ยว่า “ข้าชอบเด็กสองคนนี้นะ คนก่อนที่มาคนนั้นน่ะหัวรั้นมากนัก”
กู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนไม่ใช่สองคนแรกที่มาขอคารวะฝากตัวเป็นศิษย์ ก่อนหน้านี้มีมาไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใดแล้ว หนึ่งในนั้นมีพรสวรรค์อยู่ไม่น้อย แต่หนานเซียงไม่ชอบสักคน
ขอแค่นางปรากฏตัวขึ้น คนพวกนั้นก็หวาดกลัวอย่างกับเห็นผี บางคนถึงขั้นตกใจนางจนเย่วราดก็มี
“เซียงเอ๋อร์ชอบก็ดีแล้ว” เขารับศิษย์ไม่ดูที่คุณสมบัติ ล้วนดูว่าภรรยาชอบหรือไม่เท่านั้น ต่อให้เป็นคนโง่เขลาเขาก็รับ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย เจ้าเด็กหนุ่มที่หน้าตารูปงามนามว่ากู้เหยี่ยนคนนั้นดูเหมือนว่าจะโง่เขลาไม่น้อยทีเดียว
“ตั้งใจสอนละ” หนานเซียงบอก “อย่าได้ไปกลั่นแกล้งคนเขา”
อาจารย์หลี่ว์กระแอมให้คอโล่ง “ทราบแล้วขอรับฮูหยิน”
อย่าคิดว่าเขาตอบรับทันควันไปอย่างนั้น เพราะความจริงแล้วเขาพอจะรู้ดีอยู่แก่ใจ งานไม้ทั้งลำบากและเหน็ดเหนื่อย แถมยังน่าเบื่อด้วย คนทั่วไปทนได้ไม่กี่วันหรอก อย่างมากก็สามเดือน เขากล้ารับประกันเลยว่าเด็กสองคนนี้จะขอลาออกไม่เรียนเองแน่นอน
พวกเซียวลิ่วหลังสามคนกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวภายในลานบ้านมาแต่ไกล ที่แท้เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ก็มาหานี่เอง
คนที่มาพร้อมกับทั้งสองคนนี้ยังมีคนคุ้นเคยที่เคยพบกันที่เมืองผิงเฉิงด้วย นั่นคือตู้รั่วหาน
หลังจากที่ตู้รั่วหานกลับเมืองหลวงแล้วก็ถูกลุงตัวเองขังไว้ในบ้านให้อ่านหนังสือ แม้แต่ตอนฉลองปีใหม่ก็ยังไม่ปล่อยให้ออกมา หลายวันมานี้อาของเขาไปขอร้องลุงให้ จวงเซี่ยนจือจึงได้อนุญาตให้เขาหยุดหนึ่งวัน
ตู้รั่วหานได้ยินว่าเฝิงหลินกับเซียวลิ่วหลังมาเรียนที่กั๋วจื่อเจียนตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่สนิทกับหลินเฉิงเย่ จึงไม่ได้ไถ่ถามเรื่องหลินเฉิงเย่ วันนี้ไปหาเฝิงหลินที่กั๋วจื่อเจียนจึงได้พบเข้า
จากความหมายของตู้รั่วหานนั้น กว่าทั้งสองจะได้มาเมืองหลวงกันสักครั้งไม่ง่ายเลย เขาจึงเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่แก่ทั้งสองที่หอสุราอย่างเรือนนางฟ้าเมามายให้หนำใจ ตกค่ำมาก็ไปเช่าเรือล่องแม่น้ำอะไรทำนองนั้น อิสระเสรียิ่ง!
ทว่าเฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ต่างคิดถึงเซียวลิ่วหลังกับเจียวเหนียง พอได้คิดถึงเจียวเหนียงก็จะคิดถึงนางมากเป็นพิเศษ และต้องมาหาเพื่อพบหน้านางให้ได้ ตู้รั่วหานจึงถูกทั้งคู่ลากมาด้วย
เซียวลิ่วหลังไม่ได้รู้สึกอะไรกับตู้รั่วหาน แต่กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นกลับแปลกใจต่อแขกเป็นอย่างมาก
“น้องชายของเจียวเหนียงน่ะ” เฝิงหลินแนะนำให้ตู้รั่วหานรู้จักกับกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น แล้วไปแนะนำกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นให้รู้จักตู้รั่วหาน “ข้าเป็นเพื่อนเล่นกันกับพี่เขยของพวกเจ้า พวกเจ้าเรียกข้าว่าพี่ตู้ก็ได้”
เซียวลิ่วหลัง เจ้านี่ไม่ทำตัวเป็นคนนอกจริงๆ ด้วย
กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นทักทายแขก
กู้เจียวไปซื้อกับข้าว ทั้งสามกลับมาได้ไม่นานนางก็เดินเข้าเรือนมา
นางมองแวบเดียวก็พบว่ามีแขกมาที่บ้าน
เห็นได้ชัดว่าแขกก็เห็นนางแล้วเช่นกัน
เซียวลิ่วหลังกำลังจะเอ่ยขึ้นก็ได้ยินเฝิงหลินวิ่งไปหาอย่างดีใจพลางเอ่ยว่า “เจียวเหนียงกลับมาแล้ว! ซื้ออะไรมาจึงได้หนักเช่นนี้ บอกแล้วว่าไม่ต้องซื้ออะไรมา! เสี่ยวเฉิงจื่อรีบมานี่เร็วๆ!”
หลินเฉิงเย่วิ่งไปแย่งถือของในมือกู้เจียว
เฝิงหลินเอ่ยกับตู้รั่วหานว่า “นี่คือเจียวเหนียง!” แล้วเอ่ยกับกู้เจียวว่า “เจียวเหนียง เขาเป็นเพื่อนบ้านของลิ่วหลังตอนเด็กๆ พวกเราสามคนโตมาด้วยกัน เขาชื่อตู้รั่วหาน เจ้าเรียกเขาว่าเสี่ยวตู้จื่อก็ได้! อาหญิงของเขาแต่งงานมาอยู่เมืองหลวงแล้ว ยามนี้ก็พอจะเรียกเขาว่าเป็นชาวเมืองหลวงได้แล้ว เดือนหน้าเขาจะไปสอบฤดูใบไม้ผลิกับพวกข้าด้วย!”
เซียวลิ่วหลังแววตาเย็นเยียบ พอเจอเจียวเจียวเจ้าก็พูดจามากความขึ้นมาเชียวนะ! ใครเป็นเจ้าของบ้านนี้กันแน่!
ตู้รั่วหานกับเซียวลิ่วหลังไม่ได้สนิทกันเท่าเฝิงหลิน ประการแรกตอนเด็กๆ เขารู้จักกับเฝิงหลินมานานกว่านิดหน่อย ประการที่สองเขามักจะรู้สึกว่าเซียวลิ่วหลังผู้นี้ไม่ใช่เซียวลิ่วหลังเมื่อตอนเด็กๆ คนนั้น
สรุปคือเป็นคนแปลกหน้ากันไม่น้อย
ทว่าครอบครัวเซียวลิ่วหลังกลับคบหาได้ด้วยง่ายมากทีเดียว
โดยเฉพาะย่าของเซียวลิ่วหลัง
เรื่องราวต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ตู้รั่วหานเข้าบ้านมา เขาเป็นคนมีเหตุมีผล ถึงแม้ว่าเฝิงหลินจะบอกเขาว่าไม่ต้องเกรงใจมาก แต่เขาก็ยังคงซื้อของติดไม้ติดมือมาให้
หนึ่งในนั้นเป็นเกาลัดคั่วน้ำตาลกล่องหนึ่ง แต่ดันเป็นสิ่งที่หญิงชราชื่นชอบ นางเรียกหาน หาน หานไม่หยุดเลยทีนี้
ยามนี้หญิงชราไม่กักตุนของไว้ที่บ้านแล้ว เพราะจะโดนเสี่ยวจิ้งคงฟ้องได้ง่าย นางเอาไปไว้ที่บ้านจี้จิ่วอาวุโสหมดเลย
หญิงชรารู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้รู้ประสามากนัก จึงตัดสินใจว่าจะรักเอ็นดูเขาเป็นลูกเป็นหลาน
“เล่นสักตาหรือไม่” หญิงชราหยิบไพ่กระดาษที่กู้ฉังชิงมอบให้ออกมา ไพ่ใบใหม่ให้สัมผัสลื่นสบายมือเป็นพิเศษ หญิงชราจับไม่วางเลย
ตู้รั่วหานรู้จักไพ่กระดาษ แต่ตอนอยู่ที่บ้านยามปกติลุงเขาไม่ให้เขาเล่น
เฝิงหลินเล่นไม่เป็น หลินเฉิงเย่เล่นเป็น
หญิงชราเรียกกู้เสี่ยวซุ่นให้มาหา
กู้เสี่ยวซุ่น หญิงชรา ตู้รั่วหานและหลินเฉิงเย่นั่งล้อมวงกันบนโต๊ะเล่นไพ่กระดาษ
ตู้รั่วหานเป็นมือใหม่เพิ่งหัดเล่น
ความจริงได้ยืนยันว่าไม่ใช่มือใหม่ทุกคนที่จะโชคดีเหมือนกู้ฉังชิง ไพ่หนึ่งตาจบลง ตู้รั่วหานก็พ่ายแพ้จนเหลือแต่กางเกงใน
หญิงชราจึงยิ่งชอบเขามากขึ้น!
เด็กหนุ่มนี่อนาคตไกลนะ!
เมื่อใกล้ยามเที่ยงก็มีคนมาหาที่บ้านอีกคน
“ข้าไปเปิดเอง ข้าไปเปิดเอง!” เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังไปเปิดประตู เขายื่นศีรษะน้อยๆ ออกจากช่องประตู กะพริบตาปริบๆ มองผู้มาเยือน “เจ้ามาหาใครรึ”
ชายผู้นั้นตอบว่า “ข้ามาหาเซียวลิ่วหลัง”
“อ๋อ” เสี่ยวจิ้งคงผิดหวัง
เหตุใดจึงไม่มีใครมาหาเขาบ้างเลยเล่า
เขาไม่ใช่เด็กที่ไม่มีเพื่อนแล้วเสียหน่อย!
เสี่ยวจิ้งคงค่อยๆ เดินไปห้องหนังสือเพื่อตามเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังจึงเดินไปหน้าประตู เขาพินิจมองบุรุษที่ไว้เคราแพะตรงหน้า อีกฝ่ายมีท่าทางสุภาพนุ่มนวลและฉลาดเฉลียว เสื้อผ้าอาภรณ์มีความพิถีพิถัน กิริยาท่าทางมีแบบมีแผน
ทว่าเซียวลิ่วหลังกลับไม่รู้จักเขา “เจ้าคือ…”
ชายผู้นั้นประสานมือ “ข้าแซ่หวัง ท่านชายเซียวเรียกข้าหวังอวิ่นก็ได้ ได้ยินชื่อเสียงท่านชายเซียวมานาน วันนี้ข้าจึงมาคารวะ ไม่ทราบว่าสะดวกให้เข้าไปพูดคุยหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังมองเขาอีกครู่หนึ่ง แล้วพาคนๆ นั้นเขามาที่ห้องหนังสือของตัวเอง
เสี่ยวจิ้งคงก็อยู่ในห้องหนังสือของเขาเช่นกัน เจ้าเด็กน้อยกำลังทำโจทย์อยู่
เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับเขาว่า “พักก่อน อีกเดี๋ยวค่อยมาทำต่อ”
เสี่ยวจิ้งคงมองเขาอย่างสงสัย “เหตุใดจู่ๆ เจ้าก็ใจดีขึ้นมาละ”
เซียวลิ่วหลัง “เจียวเจียวทำของอร่อยไว้ให้”
เสี่ยวจิ้งคงลุกพรวดหายลับไปทันที!
หวังอวิ่นหลุดหัวเราะ “น้องชายของท่านชายเซียวใช่หรือไม่ ช่างน่ารักน่าเอ็นดูราวกับหยกขาวนัก”
น่ารักน่าเอ็นดูราวกับหยกขาวอย่างนั้นรึ อันที่จริงเขาเป็นเณรน้อยซุกซนที่ทำเอาแทบจะเป็นบ้าตายขนานแท้เลย
เซียวลิ่วหลังไม่พูดเรื่องนี้ของเณรน้อยให้คนนอกรู้ เขาถามขึ้นเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่านายท่านหวังมาหาถึงบ้านมีธุระอะไรรึ”
หวังอวิ่นคิดไม่ถึงว่าเซียวลิ่วหลังจะเอ่ยเข้าประเด็นเช่นนี้ จึงตกใจแล้วยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้ที่ข้ามาหาด้วยอยากจะปรึกษาเรื่องสำคัญกับท่านชายเซียว”
เซียวลิ่วหลัง “เรื่องสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิรึ”
หวังอวิ่นผิดคาดอีกหน ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “ท่านชายเซียวฉลาดเสียจริง แม้แต่เรื่องนี้ยังเดาถูก”
หมู่นี้คนที่มาหาเซียวลิ่วหลังมากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนมากันด้วยเรื่องการสอบนี้กันทั้งนั้น เพียงแต่โดยปกติแล้วจะไปหาที่กั๋วจื่อเจียน คนที่มาถึงบ้านมีแค่หวังอวิ่นนี่แหละ
เซียวลิ่วหลังเอ่ยไปตามตรงว่า “ข้าไม่มีประสบการณ์แนะนำสั่งสอนคนอื่น และไม่มีประสบการณ์เก็งข้อสอบเขียนเรียงความให้ด้วย”
พวกที่มาหาเซียวลิ่วหลังมีแค่สองประเภทเท่านั้น ประเภทแรกมาขอให้สอนเรียบๆ ง่ายๆ อย่างหลินเฉิงเย่และเฝิงหลิน อีกประเภทคือขอให้พวกอาจารย์ออกโจทย์ให้ แล้วขอให้เซียวลิ่วหลังเขียนบทความตอบคำถามตามโจทย์ออกมาขายให้พวกเขา
แต่ทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ล้วนโดนเซียวลิ่วหลังปฏิเสธหมดเลย
หวังอวิ่นหลุบตาหัวเราะ ปัดแขนเสื้อกว้างพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้มาขอให้ท่านชายเซียวแนะนำสั่งสอนท่านชายของข้า และไม่ได้มาเพื่อซื้อเรียงความของท่านชายเซียวด้วย ข้ามาขอให้ท่านชายเซียว…”
เขาเอ่ยต่ออีกสองคำ