สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 195.1 เข้าข้าง (1)
บทที่ 195.1 เข้าข้าง (1)
“เจียวเจียว เจียวเจียว!!”
จิ้งคงก้าวเท้าสั้นป้อมของเขา วิ่งเตาะแตะเข้ามายังห้องครัว
กู้เจียวที่กำลังหั่นผักอยู่ พอได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กวิ่งเข้ามา ก็เอี้ยวตัวไปมอง พลางถาม “มีอะไรรึ”
จิ้งคงเอามือกุมหัวเหม่ง ทำหน้างุนงง “การสอบแทนคืออะไร”
“หืม” กู้เจียวหยุดมือที่กำลังหั่นผักอยู่ลง
จิ้งคงเล่าต่อ “ข้าได้ยินมาจากตอนที่พี่เขยกับแขกคนนั้นกำลังคุยกัน แขกคนนั้นอยากให้พี่เขยไปสอบแทน มันคือการพาไปสอบอย่างนั้นหรือ เหมือนกับตอนที่พี่เขยพาพี่หลินเฉิงเย่กับพี่เฝิงหลินไปสอบใช่ไหม”
นัยน์ตากู้เจียวเริ่มนิ่งลง ก่อนจะวางมีดลงบนเขียง ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินออกจากห้องครัว
ณ ห้องหนังสือ เซียวลิ่วหลังกำลังมองคนตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย
หวังอวิ่นหัวเราะ “ที่ข้าพูดไป อาจดูกะทันหันไปหน่อยใช่หรือไม่ ท่านชายเซียวอาจยังไม่เข้าใจได้ทันที แต่ในเมื่อข้าอธิบายให้ฟังแล้ว ท่านชายเซียวก็น่าจะพอเข้าใจบ้างแล้ว สภาพการณ์ของท่าน ข้าเองก็พอรู้มาบ้าง เป็นเด็กจากชนบท แต่งงานเป็นเขยของชาวนา ถึงกระนั้นก็ยังสอบได้ระดับเจี้ยหยวนและเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียน ข้าเชื่อว่าท่านต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ข้าชื่นชมความสามารถของท่านชายเซียวเป็นอย่างมาก และหวังว่าท่านชายสามารถสอบเข้าระดับก้งซื่อได้อย่างราบรื่น”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ตามหลักแล้ว จะต้องตามมาด้วยคำว่า แต่ว่า
สักพัก ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หวังอวิ่นเริ่มพูดต่อ “แต่ว่า หากท่านชายเซียวคิดอยากจะสอบจิ้นซื่อได้เป็นอันดับต้นๆ แล้วละก็ คงไม่ง่ายแน่นอน การสอบครั้งนี้ ผู้คุมสอบจะดูแค่กระดาษคำตอบเท่านั้น ไม่มีการดูที่ตัวบุคคล พอหลังจากผ่านการสอบก้งซื่อแล้ว ลำดับต่อมา ก็จะเป็นการสอบระดับเตี้ยนซื่อ โดยมีฝ่าบาทเป็นผู้ดำเนินการจัดสอบ ผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องนั่งทำข้อสอบตรงหน้าพระพักตร์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงทอดพระเนตรใบหน้าของผู้เข้าสอบทุกคน”
ปากพูดว่าดูหน้า แต่ตาของเขากลับจ้องไปที่ขาพิการของเซียวลิ่วหลัง
ท่าทีของเขาชัดเจนยิ่ง แปลว่าเขามองว่า ฝ่าบาทคงมิต้องการเลือกคนพิการเข้ามาเป็นขุนนางในวังอย่างนั้นสินะ
ผู้ที่ทำคะแนนสอบระดับจิ้นซื่อได้ดีที่สุด จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยระดับที่หนึ่ง ได้แก่ คนที่สอบได้อันดับหนึ่งของแคว้น หรือเรียกว่า จ้วงหยวน คนที่สอบได้อันดับสองรองลงมา หรือเรียกว่า ปั้งเหยี่ยน และคนที่สอบได้อันดับที่สาม หรือเรียกว่า ทั่นฮวา โดยรวมๆ คนกลุ่มนี้จะถูกเรียกว่า จิ้นซื่อจี๋ตี้ ซึ่งก็คือสามอันดับแรกที่ทำคะแนนได้ดีที่สุด ต่อมาระดับที่สอง คือคนที่สอบได้อันดับรองลงมาจากทั่นฮวา โดยคนกลุ่มนี้จะถูกเรียกว่า จิ้นซื่อชูเซิน ส่วนที่เหลือก็จะถูกจัดให้เป็นระดับที่สาม ซึ่งจะถูกเรียกว่า ถงจิ้นซื่อชูเซิน
ช่วงกลุ่มท้าย แม้จะมีคำว่า ถง อยู่กับคำว่า จิ้นซื่อ แต่ระดับช่างต่างกันนัก
แม้การสอบในสมัยปัจจุบันจะมีการผ่อนปรนเงื่อนไขต่างๆ ไปมากแล้วถ้าเทียบกับสมัยก่อน แต่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีบัณฑิตที่มีหน้าตาและรูปร่างพิกลพิการผ่านเข้าไปในรอบการสอบเตี้ยนซื่อเลยแม้แต่คนเดียว
หวังอวิ่นหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยต่อ “ในเมื่อเงื่อนไขร่างกายของท่านมิอาจพาท่านไปต่อได้ สู้ท่านมาช่วยท่านชายของข้าเสียจะดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าเซียวลิ่วหลังไม่คล้อยตาม หวังอวิ่นจึงพยายามโน้มน้าวต่อ “อีกทั้งท่านยังเด็กนัก เพิ่งจะอายุสิบแปด หากครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยท่านก็รออีกสามปีค่อยสอบใหม่ก็ยังไม่สาย จะได้มีเวลาบ่มเพาะวิชาเพิ่มอีกสามปีด้วย เผื่อจะได้มีโอกาสชนะการสอบต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทด้วยจะไม่ดีกว่าหรือ”
ฟังเผินๆ อาจดูเหมือนหวังอวิ่นกำลังคิดเผื่อเขา แต่หากลองวิเคราะห์ดีๆ จะเห็นได้ว่าเขากำลังดูถูกเซียวลิ่วหลังมากแค่ไหน
สายตาของกู้เจียวเปี่ยมไปด้วยความอำมหิต
นอกจากกู้เจียวแล้ว ยังมีเฝิงหลิน หลินเย่ฉู่ และตู้รั่วหานที่กำลังแอบฟังอยู่ด้วย
พวกเขาได้ยินเรื่องที่มีคนให้คนอื่นมาสอบแทนตั้งนานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอเองกับตัว พวกคนตระกูลหวังนี่ก็น่ารังเกียจดีแท้ มาขอให้สอบแทนแต่กลับพูดจาจองหองเสียนี่
ซ้ำยังเอาแต่พูดกดดันพยายามจะให้อีกฝ่ายยอมเสียให้ได้ ยกตนข่มท่าน คิดว่าตัวเองดีมาจากไหนกัน
หวังอวิ่นยังคงพูดต่อ “เรื่องค่าตอบแทน รับรองว่าท่านชายเซียวจะต้องพอใจอย่างแน่นอน ท่านชายเซียวจะมองว่าเงินนี้เอาไว้ซื้อเวลาสามปีของท่านชายเซียวก็เป็นได้ ว่ากันตามตรงแล้ว คนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดคือท่านชายเซียวเองนั่นแหละ ได้เวลาร่ำเรียนวิชาเพิ่มขึ้นอีกตั้งสามปี ซ้ำยังได้ค่าตอบแทนที่ชาตินี้ยังไงก็คงใช้ไม่หมดด้วย คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มใช่ไหมล่ะท่านชาย และที่สำคัญ ท่านชายเซียวจะได้ผูกมิตรกับท่านชายของข้าด้วย หากในวันข้างหน้าท่านชายเซียวเกิดสอบไม่ติดจริงๆ ท่านชายของข้าจะได้ช่วยเหลือในการหาตำแหน่งขุนนางให้ท่านด้วยอย่างไรละ!”
พูดออกมาได้!
กล้าพูดแม้กระทั่งเรื่องตำแหน่งขุนนางอย่างนั้นรึ คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน
คิ้วเฝิงหลินเริ่มขมวดเป็นปม
ส่วนตู้รั่วหาน แม้จะไม่ได้สนิทกับเซียวลิ่วหลังเท่าคนอื่น แต่พอได้ยินเข้า ก็อดมีน้ำโหไม่ได้
เซียวลิ่วหลังตอบกลับ “ในเมื่อท่านพูดออกมาเสียขนาดนี้ แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านชายของท่านดีพอจะให้ข้าคบค้าสมาคมด้วย”
หวังอวิ่นได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ท่านชายของข้ามาจากตระกูลเฮ่อ ฮูหยินของท่านหลัวกั๋วกงเองก็มาจากตระกูลเฮ่อเช่นกัน”
…
ขณะที่หวังอวิ่นเดินออกมาจากห้อง กู้เจียวและคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
หวังอวิ่นพุ่งตัวเข้ามาที่เซียวลิ่วหลังพร้อมกับทำมือคำนับ “ท่านชายเซียวลองนำเรื่องนี้ไปพิจารณาดูนะขอรับ อีกสามวันข้าจะมาขอคำตอบจากท่านชายเซียวอีกครั้ง”
เล่นไพ่ไปได้แค่ครึ่งทางก็ดันขาดขาเสียอย่างนั้น หญิงชราเป็นอันเบื่อหน่าย
ณ ห้องครัว ตู้รั่วหาน หลินเฉิงเย่ เฝิงหลิน และกู้เจียวเริ่มเปิดการประชุมเล็กๆ
ทุกคนนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก
ตู้รั่วหานเอ่ย “จวนหลัวกั๋วกงเป็นตระกูลสูงส่งที่สามารถเทียบเคียงบ่าไหล่ได้กับจวนเซวียนผิงโหวและตระกูลจวง ถ้าเป็นสมัยก่อนก็มีตระกูลหลิ่วรวมด้วย หากท่านชายตระกูลเฮ่อนั่นเป็นญาติกับฮูหยินกั๋วกงจริง เขาก็คงมีสิทธิ์จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้”
ระดับจวนกั๋วกง หากหาตำแหน่งขุนนางตัวเล็กๆ ให้เซียวลิ่วหลังล่ะก็คงง่ายเสียยิ่งกว่าตบมือ
อีกทั้งยังเป็นวิธีลัดเสียยิ่งกว่ามานั่งเรียนหนังสือสอบเข้าเองเสียอีก
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นหน้าคนที่ชื่อหวังอวิ่นอะไรนั่นนัก” เฝิงหลินเอามือท้าวคาง พลางเอ่ย “เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
ตู้รั่วหานเลิกคิ้ว “พอเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าเองก็เริ่มคิดเหมือนกัน”
“เฮ่อ จิงหง” จู่ๆ หลินเฉิงเย่เอ่ยขึ้นลอยๆ
ตู้รั่วหานไม่คุ้นกับชื่อนี้แต่อย่างใด ขณะเดียวกัน เฝิงหลินกลับนึกอะไรขึ้นได้ “เขานี่เอง!”
“ใครรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
“คนที่สอบระดับสำนักได้อันดับแรกของเมืองผิงเฉิงยังไงเล่า!” เฝิงหลินตอบ
ต้องย้อนความไปตอนที่เซียวลิ่วหลังสอบซิ่วไฉ เดิมทั้งการสอบระดับตำบลและระดับจังหวัด เซียวลิ่วหลังคว้าอันดับหนึ่งมาโดยตลอด จะมีก็ครั้งที่สอบระดับสำนักที่มาเฉือนกันตรงคะแนนเรียงความปากู่เหวิน กลายเป็นว่าเซียวลิ่วหลังชวดอันดับหนึ่งไป
และด้วยความอยากรู้อยากเห็น เฝิงหลินจึงตามสืบว่าใครเป็นคนที่สอบได้อันดับหนึ่งในครั้งนั้น แล้วก็พบว่าเป็นคนที่มีชื่อว่าเฮ่อจิงหง
แน่นอนว่าเขาไม่เคยเห็นหน้าเฮ่อจิงหงที่ว่านี้มาก่อน
หลินเฉิงเย่ไม่ได้อยู่ที่ผิงเฉิงตอนสอบระดับถงซื่อ แต่ที่เขารู้จักชื่อของเฮ่อจิงหงได้นั่นเป็นเพราะหลังจากช่วงนั้นประมาณหกเดือนให้หลัง เฮ่อจิงหงเองก็เดินทางมายังเมืองเอกของมณฑลเพื่อเข้าร่วมการสอบระดับมณฑล อีกทั้งยังพักที่โรงเตี๊ยมเดียวกันกับพวกเขา
“ข้านึกออกแล้ว! ข้านึกออกแล้ว! เขาพักห้องถัดไปจากห้องพวกเรานี่!” เฝิงหลินโพล่งขึ้น “ตอนแรกข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคือเฮ่อจิงหง ตอนนั้นดันเผลอได้ยินคนขานชื่อเขา ส่วนคนที่มาหาเซียวลิ่วหลัง ก็คือผู้ดูแลของเขา”
เฝิงหลินเป็นคนเก็บคำพูดไว้ไม่อยู่ ห้องข้างๆ มีคนที่สอบได้อันดับหนึ่งของระดับสำนักพักอยู่ แต่กลับส่งเสียงดังให้เซียวลิ่วหลัง ตู้รั่วหาน และหลินเฉิงเย่รู้เสียอย่างนั้น
เฝิงหลินเอ่ยต่อ “ตอนนั้น ข้าก็แค่พูดขึ้นมาเล่นๆ ว่า หรือว่าเฮ่อจิงหงแอบสมคบคิดกับกรรมการสอบแล้วแอบเปลี่ยนกระดาษคำตอบของเขากับเซียวลิ่วหลัง”
กลับกลายเป็นว่า อาจไม่เกินจริงก็เป็นได้
เซียวลิ่วหลังทำได้ดีมาตลอด เป็นตัวเต็งมาตลอด คนที่จะโค่นเขาได้มีอยู่สองประเภทเท่านั้น ประเภทแรก คือคนที่มีฝีมือพอไปวัดไปวาได้ ขอแค่กำจัดเสี้ยนหนามเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถขึ้นมาผงาดได้ในห้าสิบอันดับแรก และหากสามารถสอบระดับซิ่วไฉได้ ก็สามารถขึ้นมาทัดเทียมกับเซียวลิ่วหลังได้
ส่วนอีกประเภท คือคนที่มีคะแนนสูสีกันกับเซียวลิ่วหลัง ขอแค่เซียวลิ่วหลังตกอันดับ เขาก็จะได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแทนที่
แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานมัดตัว ความคิดพวกนี้จึงต้องปัดตกไป
มากไปกว่านั้น เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
แต่นั่นไม่ได้แปลว่า กู้เจียวจะไม่สนใจเลยทีเดียว