สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 195.4 เข้าข้าง (4)
บทที่ 195.4 เข้าข้าง (4)
ณ ศาลยุติธรรม เซียวลิ่วหลังเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมาด้วยสีหน้าแววตาเฉกเช่นผู้ถูกกระทำ
ด้วยความที่เซียวลิ่วหลังมียศจวี่เหรินอยู่ จึงไม่ต้องคุกเข่า
อันที่จริง เฮ่อจิงหงไม่จำเป็นต้องคุกเข่า แต่เขาอารมณ์เสียมากจนเจ้าหน้าที่เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อคนอื่น ก็เลยต้องกดร่างของเขาลงไปที่พื้น
เฮ่อจิงหงกำลังจะเป็นบ้าแล้ว!
ให้ตายเถอะ พูดโกหกหน้าตายแบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ ใครกันแน่ที่ถูกบังคับให้ร่างสัญญาน่ะ!
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “เขาขู่ไว้ว่าน้าของเขาเป็นฮูหยินของกั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่ ข้าน้อยไม่มีทางชนะเขาได้ หากไม่อยากตายก็จงรับชะตากรรมเสีย ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้เขาจะขับไล่ข้าน้อยออกจากกั๋วจื่อเจียนขอรับ”
เฮ่อจิงหงได้ยินเช่นนั้นก็ฉุนขาด “ข้าไม่เคยพูดเช่นนี้! ใต้เท้าอย่าไปฟังเที่เจ้าบ้านี่มันพูดนะขอรับ! เขาต่างหากที่บังคับให้ข้าร่างสัญญา! เขาเองที่ออกตัวว่าจะสอบแทนข้า! เป็นเขาต่างหากที่ใส่ร้ายข้านะใต้เท้า!”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “ข้ากับเจ้าไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันเลยสักนิด เหตุใดข้าต้องใส่ร้ายเจ้าด้วย”
เฮ่อจิงหงโต้กลับ “ก็เพราะว่า…เพราะว่าภรรยาของเจ้าทำร้ายข้ายังไงละ! เจ้ากลัวว่าข้าจะทำร้ายนาง เจ้าเลยตกลงจะสอบแทนข้า!”
สิ้นประโยคเมื่อครู่ เฮ่อจิงหงก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจ “ใต้เท้าขอรับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับภรรยาของข้าเลยแม้แต่นิด ภรรยาของข้าไม่เคยพบเขามาก่อน ข้าเองมิไม่รู้ว่าใครไปทำอะไรเขาไว้ จู่ๆ มาโยนความผิดให้ภรรยาของข้าเสียอย่างนั้น ซ้ำยังขู่เข็ญข้าอีกด้วยขอรับ”
เป็นครั้งแรกที่เซียวลิ่วหลังทำเรื่องน่าไม่อายเช่นนี้ออกมา เดิมคิดว่าตัวเองจะทำไม่ได้เสียอีก ที่ไหนได้ ราบรื่นเสียยิ่งกว่าอะไร
หรือนี่จะเป็นพรสวรรค์อีกอย่างของเขากันนะ
พวกวิธีหลอกเล่ห์เพทุบาย ข้าหลวงที่นี่คงเห็นมานักต่อนักแล้ว ใครพูดจริง ใครพูดโกหก สืบเพิ่มอีกนิดหน่อยก็พอรู้ได้
ข้าหลวงจึงเรียกผู้ติดตามของเฮ่อจิงหงมาสอบปากคำ ทุกคนล้วนให้การว่าไม่เคยเจอกู้เจียวมาก่อน
ยิ่งเป็นการยืนยันว่าเฮ่อจิงหงพูดเท็จ
ข้าหลวงจิงจ้าว “มีพยานยืนยันที่อยู่อีกไหม”
“ไม่มีแล้วขอรับ!”
“มีขอรับ!”
ทั้งคู่ให้การไม่ตรงกัน
ข้าหลวงจิงจ้าวมองชายหนุ่มทั้งสอง พลางขมวดคิ้ว “เซียวลิ่วหลัง ในเมื่อเจ้าบอกว่ามีพยานที่อยู่ ไหนเล่าพยานของเจ้า”
“อยู่ที่จวนของใต้เท้าจวงขอรับ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
ข้าหลวงจิงจ้าวถึงกับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะซักต่อ “ตะ ใต้ ใต้เท้าจวงไหน”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างไม่ลังเล “บุตรคนที่สี่ของราชครูจวง จวงเซี่ยนจือขอรับ”
ให้ตายสิ ถึงกับต้องลากตระกูลจวงเข้ามาเอี่ยวเลยรึ
ข้าหลวงจิงจ้าวปาดเหงื่อ พลางนึกในใจว่าคงต้องมองคดีนี้ใหม่เสียแล้ว “เจ้า เจ้าบอกว่าพยานคือใครนะ”
“หลานของใต้เท้าจวง ตู้รั่วหานขอรับ”
แม้แต่ตู้รั่วหานก็โดนลากเข้ามาเอี่ยวด้วย
เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่รู้แค่ว่าตู้รั่วหานมีลุงอาศัยอยู่ที่เมืองหลวง แต่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เซียวลิ่วหลังรู้เรื่องนี้ เพราะตอนนั้นเขาเคยเห็นตู้รั่วหานกับจวงเซี่ยนจือเข้าไปในจวนราชครูพร้อมๆ กัน
แถมยังไปได้ยินอีกว่าตู้รั่วหานนั้นขานเรียกจวงเซี่ยนจือว่าท่านลุง
จวงเซี่ยนจือคือบุตรของราชครูจวง แต่ด้วยความที่พ่อลูกความเห็นด้านการเมืองไม่ตรงกัน จวงเซี่ยนจือจึงย้ายออกไปอยู่ข้างนอก
ตู้รั่วหานมาที่ศาลคนเดียว ส่วนจวงเซี่ยนจือไม่ได้มาด้วย เพราะเขาไม่ได้อยู่ที่จวน
“เซียวเจี้ยหยวนบอกว่า เฮ่อจวี่เหรินข่มขู่เขา ให้เขาเข้าสอบแทน ซ้ำยังบอกว่าเจ้าเป็นพยานได้ เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่” ข้าหลวงจิงจ้าวเอ่ยถามตู้รั่วหาน
ตู้รั่วหานเปรยตามองเซียวลิ่วหลังแวบหนึ่ง พลางนึกในใจ เจ้านี่มันร้ายนัก รู้แต่แรกแล้วสินะว่าพวกเราแอบฟังอยู่น่ะ!
“เป็นจริงขอรับ!” จากนั้นตู้รั่วหานจึงเล่าเรื่องที่ผู้ดูแลหวังเข้าไปโน้มน้าวเซียวลิ่วหลังถึงที่เรือนให้ข้าหลวงได้ฟัง
เฮ่อจิงหงเริ่มหน้าซีด “เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าโกหก!”
ตู้รั่วหานกลอกตาใส่เขส ก่อนเอ่ย “ข้าโกหกหรือไม่นั่น ใต้เท้าจะเป็นคนตรวจสอบเอง ไม่จำเป็นต้องฟังคนอย่างเจ้าพูดจาซี้ซั้วหรอก!” จากนั้นก็หันไปทางข้าหลวงจิงจ้าว “หากใต้เท้าไม่เชื่อ โปรดส่งคนไปตรวจสอบได้เลยขอรับ บริเวณนั้นมีคนเห็นเหตุการณ์ตั้งมากมาย!”
และแล้ว ข้าหลวงจิงจ้าวก็ส่งคนไปตรวจสอบจริงๆ ผลคือพวกเขายืนยันได้ว่าผู้ดูแลหวังไปหาเซียวลิ่วหลังถึงเรือนจริง
เฮ่อจิงหงรีบโต้กลับอย่างบ้าคลั่ง “ใต้เท้า! ได้โปรดอย่าฟังความข้างเดียว! เหตุใดเขาถึงอยู่ที่เรือนของตู้รั่วหานล่ะขอรับ ก็เพราะพวกเขาสมคบคิดกันยังไงล่ะ! พวกมัน…เป็นพวกเดียวกัน!”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากท่านบอกว่ารู้จักกันเท่ากับพวกเดียวกัน เช่นนั้น แล้วที่ท่านชายเฮ่อบอกว่ารู้จักกับท่านกั๋วกงละ หรือจะบอกว่าที่ท่านทำเช่นนี้ เป็นเพราะสมคบคิดกับท่านกั๋วกงอย่างนั้นหรือ”
ให้ตายสิ! เล่นอะไรกันอยู่!
ข้าหลวงจิงจ้าวพอฟังจบก็แทบจะหน้าหงายตกเก้าอี้!
ส่วนเฮ่อจิงหงเงียบลงทันควัน
เขารู้ว่าเซียวลิ่วหลังกำลังเล่นงานเขาอยู่ แต่ที่น่าโมโหคือเขาโต้กลับไม่ได้เลยสักนิด!
ทั้งพยานหลักฐานพยานที่อยู่ล้วนชัดเจน ดูเหมือนเฮ่อจิงหงจะหนีไม่พ้นความผิดฉ้อโกงเสียแล้ว
การสอบเคอจวี่ ใครกระทำการโกงจะต้องได้รับโทษสูงสุด โดยเฉพาะคนที่ใช้วิธีขู่เข็ญและเอาสินบนมาล่อแบบนี้ เป็นการกระทำที่รับไม่ได้อย่างยิ่ง! ดูเหมือนว่า ชาตินี้เฮ่อจิงหงคงไม่ได้ย่างเท้าเข้าห้องสอบอีกแล้ว
ในเมื่อเข้าสอบไม่ได้ เขาจึงกลายเป็นท่านชายตกกระป๋องไปโดยปริยาย
ท่านกั๋วกงคงไม่มีทางนำชื่อเสียงของตัวเองมาแปดเปื้อนเพียงเพื่อแค่ช่วยเหลือหลานชายตกกระป๋องอย่างแน่นอน เฮ่อจิงหงเองคงไม่กล้ามาทำตัวกร่างกับเขาและกู้เจียวไปอีกนาน
…
ข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นถูกแพร่สะพัดไปทั่ว กู้เจียวเองก็รู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน
ขณะที่หนุ่มสาวเดินเล่นอยู่ในลานเรือน
กู้เจียวเอ่ยถาม “เจ้าไม่กลัวตัวเองจะซวยด้วยหรืออย่างไร”
ในเมื่อเขาลงนามไปแล้ว หากเจอกับข้าหลวงที่ไม่รู้ประสีประสาเข้าละก็ เขาเองก็อาจจะถูกลงโทษไปด้วย
“เจ้าละ ไม่กลัวรึ” เซียวลิ่วหลังถามกลับ
คราวนี้กู้เจียวเองที่ไม่พูดอะไร
พอสักพัก ก็เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “ก็ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าแค่ช่วยพยุงเขาขึ้นมาเท่านั้น!”
เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้วขึ้น ก่อนพูดต่อ “อ๋อ ถ้างั้นหลัวตู้กับจ้าวรุ่ย เจ้าก็แค่ช่วยพยุงใช่ไหม”
พอพยุงเสร็จคนพวกนั้นก็ได้นอนติดเตียงกันยาวๆ เลยทีเดียว
กู้เจียวยังคงเถียงหน้าตาย “…ข้าแค่ช่วยพยุงจริงๆ นะ!”
เซียวลิ่วหลังแอบก้มหน้าแล้วหัวเราะออกมา
เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้เห็นเขายิ้ม ที่แท้ก็ยิ้มเป็นนี่นา แถมยังดูหล่อขึ้นอีกด้วย
เหมือนที่เขาว่ากันว่า รอยยิ้มของพี่ชายไม่ใช่รอยยิ้ม แต่เป็นยาพิษขโมยหัวใจต่างหาก
ทันใดนั้น ในหัวของกู้เจียวก็ปรากฏความคิดอันหนึ่ง
ผู้ชายคนนี้ จะต้องยิ้มให้ตนเพียงผู้เดียวเท่านั้น
…
แค่ชั่วพริบตาเดียว ก็เข้าเดือนสองแล้ว การสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิเริ่มใกล้เข้ามาทุกที
ในการสอบฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้ว เซียวลิ่วหลังและพรรคพวกของเขาได้พบกับการสอบร้อนระอุและทรมานกายที่สุด น่าเสียดาย ที่ปีนี้ไม่มีดอกไม้ผลิบาน มีเพียงคลื่นของฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็น ซึ่งนานทีปีหนจะเกิดขึ้น
เดือนสองในเมืองหลวง ยังคงมีลมหนาวพัดโชย ซ้ำยังมีหิมะตกอีกด้วยในวันที่ห้าของเดือน
ผู้คนที่ตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งในอุบัติเหตุสะพานแขวนครั้งนั้น ไม่มีใครมีอาการไข้ขึ้นแต่อย่างใด แต่ดันมาเป็นไข้กันก็ตอนช่วงนี้นี่แหละ
ธุรกิจโรงหมอเริ่มฟื้นตัวและดีขึ้นอย่างทันตา
กู้เจียวขอให้หมอซ่งและคนอื่นๆ ทำยาน้ำให้อยู่ในรูปแบบยาเม็ด เพื่อคนไข้จะได้พกพาสะดวกและง่ายต่อการรับประทาน
การสอบฮุ่ยซื่อหรือการสอบฤดูใบไม้ผลิถูกแบ่งออกเป็นสามช่วง ช่วงแรกจะเป็นการสอบซื่อชูหวู่จิง ช่วงที่สองเป็นการสอบปากู่เหวิน ส่วนช่วงที่สามเป็นการสอบเรื่องนโยบาย เนื้อหาสอบและลำดับการสอบจะใกล้เคียงกับการสอบระดับมณฑล คือให้ผู้เข้าสอบมาถึงสนามสอบล่วงหน้าหนึ่งวัน และสามารถออกจากสนามสอบได้ในวันถัดไปหลังจากวันที่การสอบเสร็จสิ้น
วันที่จะต้องเข้าสนามสอบวันแรกตรงกับวันที่แปด
กู้เจียวตื่นแต่เช้าตรู่