สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 196.1 วันสอบ (1)
บทที่ 196.1 วันสอบ (1)
เนื่องจากเกิดหิมะตกในตอนกลางคืน ในตอนเช้าพื้นดินจึงเต็มไปด้วยน้ำแข็งลื่น
กู้เจียวได้ทำการเททรายไว้บริเวณพื้นลานและทางเดินเป็นที่เรียบร้อย
กู้เจียวเปิดประตูเรือนออก ตั้งใจว่าจะเททรายเพิ่มบริเวณหน้าเรือน แต่กลับพบว่าถนนในตรอกทั้งเส้นถูกโรยด้วยเม็ดทราย เศษเถ้าถ่านและเศษฟางเป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่กู้เจียวกำลังนึกสงสัยอยู่ว่าใครเป็นคนจัดการอยู่นั้นเอง ประตูเรือนข้างๆ ถูกเปิดออก ปรากฏใบหน้าหญิงวัยกลางคนกำลังหันหน้ายิ้มมาทางกู้เจียว “ลิ่วหลังกำลังจะเดินทางไปสอบสินะ”
“แม่เฒ่าลู่” กู้เจียวเอ่ยทักทายเพื่อนสาวของยายเฒ่าผู้ซึ่งเป็นขาไพ่ประจำ นางมักจะมาที่เรือนกู้เจียวอยู่บ่อยๆ
ที่แท้ตามพื้นก็เป็นฝีมือของเพื่อนบ้านทุกคนที่ต่างก็ออกมาปูถนน วัสดุที่ใช้แต่ละเรือนไม่เหมือนกัน จึงเกิดเป็นสีสันสลับไปมา
ที่ผ่านมา กู้เจียวคิดเสมอว่าเรือนของตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น กลายเป็นว่าหญิงชรามาช่วยทำให้พวกเขาผูกมิตรกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในตรอกโดยไม่รู้ตัว
กู้เจียวเอ่ยขอบคุณ
สักพักเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ก็เปิดประตูเรือนออกมา แล้วเดินเข้ามาเอ่ยคำอวยพรให้เซียวลิ่วหลัง
กู้เจียวเอ่ยขอบคุณพวกเขาทีละคน
เป็นความรู้สึกจากข้างในจริงๆ พวกเขาไม่ได้เป็นคนในครอบครัวของเซียวลิ่วหลัง ไม่จำเป็นจะต้องทำเช่นนี้
ความมีน้ำใจของพวกเขา เกิดจากความรู้สึกข้างในจริงๆ ใช่ว่าทำเพราะหน้าที่แต่อย่างใด
แน่นอนว่า ต้องยกความดีความชอบให้หญิงชราด้วย
หากไม่ใช่เพราะนางไปตีสนิทกับเพื่อนบ้านและบอกว่าเซียวลิ่วหลังเตรียมจะไปสอบราชการ ชาตินี้เพื่อนบ้านคนอื่นๆ คงไม่มีทางรู้เลยว่ามีคนอย่างเขาอาศัยอยู่ในตรอกแห่งนี้
บริเวณหน้าเรือนของทุกคนประดับด้วยโคมไฟ สว่างไสวทั่วทั้งตรอก ซึ่งปกติพวกเขาจะแขวนโคมกันแค่ช่วงเทศกาลเท่านั้น
กู้เจียวค่อยๆ คลี่ยิ้ม
นางเริ่มตกหลุมรักเมืองหลวงเข้าแล้ว
เซียวลิ่วหลังเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน ทั้งสองทานมื้อเช้าเรียบง่าย
พอรู้ว่าวันนี้ต้องออกจากเรือนแต่เช้าตรู่ พวกเขาจึงให้จิ้งคงไปนอนในห้องหญิงชราแทน
รถม้ามาจอดรอหน้าตรอกไว้อยู่แล้ว ไม่ใช่รถม้าของจี้จิ่วอาวุโสอย่างใด แต่เป็นรถม้าของจวนเซวียนผิงโหว
ผู้ดูแลหลิวยื่นมือคำนับเซียวลิ่วหลังและกู้เจียว พลางเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่านชายน้อย ฮูหยินน้อย เชิญขึ้นรถขอรับ”
และห่างออกไปไม่ไกล หลิวเฉวียนยืนขนาบข้างรถม้าอีกคันอย่างรู้สึกผิด เพราะเขามาช้าไปแค่นิดเดียว!
แม้จะมาจากตระกูลหลิวเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้เป็นเครือญาติกันแต่อย่างใด
รถม้าเกือกเหล็กและล้อรถของจวนเซวียนผิงโหวถูกสร้างขึ้นจากโครงสร้างรถที่ใช้ในการทำศึกสงคราม แม้จะเป็นพื้นหิมะก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
เซียวลิ่วหลังไม่มีท่าทีปฏิเสธ
เขาให้รถไปรับหลินเฉิงเย่และเฝิงหลิน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสนามสอบ
ขณะที่รถม้าคันอื่นๆ บนถนนเคลื่อนตัวอย่างติดขัด รถม้าของจวนซวนผิงโหวกลับแล่นฉลิวได้อย่างไม่มีสะดุด และมาถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ จะเจออุปสรรคการเดินทาง พวกเขาจึงเป็นกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงที่สนามสอบ
กู้เจียวปลดม่านลง แล้วเอ่ย “ดีนะที่วันนี้เป็นแค่วันเข้าสนามสอบ”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า
ก่อนจะออกจากเรือน กู้เจียวได้ตรวจสัมภาระไปแล้วรอบหนึ่ง พอเดินทางมาถึง ก็ตรวจอีกรอบ
เซียวลิ่วหลังจะต้องกินนอนทำข้อสอบที่นี่สามวันสองคืน ที่นี่มีกฎว่าห้ามนำถ่านเงินและเตาเล็กๆ เข้ามายังสนามสอบ กู้เจียวเลยต้องเตรียมพวกเสื้อผ้าและอาหารการกินมากเป็นพิเศษ
กู้เจียวเตรียมขวดโหลที่บรรจุพริกแห้งไว้ให้พวกเขาหยิบพริกขึ้นมาเคี้ยวตอนรู้สึกหนาว ด้วยความที่ห้องสอบมีขนาดเล็ก อาจไม่สะดวกต่อการเดินเหินกระโดดไปมา
ช่วงฤดูหนาวไม่ต้องเตรียมยากันยุง แต่ต้องเตรียมของสำหรับกันหนาว กู้เจียวเลยเตรียมยาแก้หวัดให้พวกเขา ซึ่งเป็นตัวยาที่กินแล้วไม่ง่วง
รวมถึงขี้ผึ้งทาแก้อาการผิวแห้งลอก
ลำดับที่นั่งในการสอบไม่ได้กำหนดตามคะแนน แต่ใช้วิธีการจับฉลาก
พอเห็นว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว ทั้งสามคนจึงรีบไปจับฉลาก
สนามสอบในเมืองหลวงมีขนาดใหญ่กว่าสนามในท้องถิ่นมาก มีห้องสอบสี่ห้อง แบ่งเป็น ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ และทิศใต้ และทั้งสามคนก็จับฉลากได้ห้องสอบแยกกันละทิศ
เซียวลิ่วหลังจับได้ห้องทิศตะวันออกหมายเลขห้า
ขนาดของห้องสอบถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ บริเวณผนังสะอาดสะอ้านดี ในนั้นยังมีกระดานไม้อยู่สองแผ่น อันหนึ่งเป็นโต๊ะ อีกอันเป็นม้านั่ง หากจะนอนหลับ ก็เอากระดานไม้สองอันประกอบเป็นเตียงได้
ส่วนหมอนและผ้าห่มสนามสอบจะเตรียมไว้ให้
ด้วยความที่อากาศยังหนาวอยู่ หากมีผู้สอบป่วยกลางคันคงจะไม่น่ายินดีนัก
การสอบครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดยฝ่ายพิธีการ โดยสำนักฮั่นหลินเป็นผู้ออกข้อสอบและเป็นผู้ตรวจข้อสอบ
กลุ่มข้าหลวงผู้ทำหน้าที่ตรวจข้อสอบได้มาประจำการที่สนามสอบช่วงเช้าของเมื่อวาน ซึ่งคล้ายกับการสอบระดับมณฑล คือจะต้องอยู่จนกว่าจะตรวจข้อสอบเสร็จ จึงจะสามารถออกจากสนามสอบได้
หลังจากเซียวลิ่วหลังและพรรคพวกเข้ามายังสนามสอบได้ไม่นาน ผู้เข้าสอบคนอื่นก็เริ่มทยอยเข้ามา ตู้รั่วหานเองก็ถือว่ามาถึงสนามสอบเร็วเช่นกัน
กู้เจียวเองก็เตรียมกระเป๋ายาเล็กๆ ไว้ให้เขาเช่นกัน
ตู้รั่วหานรับมาด้วยความเกรงใจก่อนจะเอ่ยขอบคุณ พลางนึกในใจ ล้อเล่นรึเปล่า ร่างกายเขาดีขนาดนี้ จะมาล้มป่วยกลางสอบได้อย่างไร
หลังจากที่ยื่นถุงยาให้ตู้รั่วหาน ก็หมดหน้าที่ของกู้เจียวแล้ว
“ไปกันเถอะ” กู้เจียวเอ่ย
ผู้ดูแลหลิวเอ่ยถาม “ฮูหยินน้อยจะไปที่ไหนรึขอรับ”
“โรงหมอ” กู้เจียวเอ่ย
ผ่านไปตั้งครึ่งเดือนกว่าแล้ว เจ้ากู้เฉิงหลินนั่นยังไม่ยอมออกจากโรงหมอเสียที เลยตั้งใจว่าวันนี้จะไปลากตัวเขาออกมาให้ได้!
ท่าทีของผู้ดูแลหลิวที่มีต่อกู้เจียวเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กู้เจียวเองก็ไม่ได้ถามต่อว่าเป็นเพราะอะไร แต่ก็พอเดาได้ว่าเป็นเพราะเซียวลิ่วหลังผู้ซึ่งเป็น “ลูกนอกสมรส” ของเซวียนผิงโหวคงได้เจอหน้ากันแล้วสินะ
และท่าทีของเซวียนผิงโหวที่มีต่อเซียวลิ่วหลังเองก็คงเปลี่ยนไปเช่นกัน ไม่อย่างนั้นผู้ดูแลหลิวคงไม่เป็นเช่นนี้หรอก
ด้วยความที่ไม่ต้องรีบร้อน รถม้าจึงเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ บนถนนหนแห่ง
กู้เจียวมองดูทิวทัศน์ข้างทางอย่างเพลิดเพลิน
นางไม่เคยเยือนย่านนี้มาก่อน จึงรู้สึกแปลกใหม่
เมื่อเห็นว่าฮูหยินน้อยกำลังอารมณ์ดีกับทิวทัศน์สองฝั่ง ผู้ดูแลหลิวก็อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถาม “ฮูหยินน้อยรู้จักกับท่านชายน้อยได้อย่างไรหรือ”
“เซวียนผิงโหวของท่านออกจะเก่งมิใช่รึ เหตุใดไม่สืบเองเล่า”
แน่นอนว่าเขาต้องสืบมาก่อนอยู่แล้ว ก็แค่จะถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้น
ผู้ดูแลหลิวได้ตกตะกอนมาแล้วว่าเหตุใดท่าทีของท่านโหวถึงแปลกประหลาดไป นั่นก็เพราะลูกชายนอกสมรสคนนี้มีหน้าตาที่คล้ายกับเสี่ยวโหวเหย่ผู้ล่วงลับ
หากเทียบอายุ ก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน เพียงแต่เสี่ยวโหวเหย่เกิดช่วงสิ้นปี ส่วนเซียวลิ่วหลังเกิดช่วงต้นปี
อันที่จริง ช่วงเวลาควรนานกว่านี้ แต่เสี่ยวโหวเหย่ดันเกิดก่อนกำหนดหนึ่งเดือน
เขาพูดกับท่านโหวว่า: “ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน เป็นพี่น้องกัน ก็ไม่แปลกที่จะหน้าตาเหมือนกัน! คิดหรือว่าเสี่ยวท่านโหวที่ตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาน่ะ”
ท่านโหวเองก็เข้าใจสภาพการณ์ดี แต่กระนั้น ก็ยังขอดูลาดเลากันต่อไป
ผู้ดูแลหลิวยิ้มให้อย่างเกรงใจ “ฮูหยินน้อย ตอนเจอกับท่านชายน้อยครั้งแรก ท่านชายน้อยมีไฝบริเวณใต้ตาข้างขวาหรือไม่”
“ก็ไม่นะ” กู้เจียวตอบ
“ฮูหยินน้อยไม่ต้องรีบตอบก็ได้ ลองนึกดูดีๆ ก่อน” ผู้ดูแลหลิวเอ่ย
กู้เจียวสวนกลับ “วันๆ หนึ่งข้าเห็นหน้าเขาเป็นสิบๆ รอบ บนหน้าเขามีหรือไม่มีไฝนี่ยังต้องให้ข้านึกอีกหรือ”
ผู้ดูแลหลิวถึงกับอึ้งจนไม่พูดอะไรต่อ
เขาคิดในใจ ดูเหมือนเขาจะประเมินท่านชายน้อยและฮูหยินน้อยต่ำเกินไปสินะ ดูยังไงพวกเขาก็ไม่เหมือนคนที่มาจากครอบครัวแร้นแค้นยากจนเลยสักนิด ดูแล้วไม่น่าจะเชื่อใครง่ายๆ เลย ช่างรับมือได้ยากยิ่ง
จนบางทีก็แอบคิดว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันหรือเปล่านะ