สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 197.1 ทายาทตัวจริงตัวปลอม (1)
บทที่ 197.1 ทายาทตัวจริงตัวปลอม (1)
กู้เจียวไม่ได้สนใจลำดับปิ่นดอกไม้งามอะไรนั่นอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องนินทาของกู้จิ่นอวี้ยิ่งแล้วใหญ่ กู้เจียวหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น
ส่วนกู้จิ่นอวี้ที่ยังอยู่ในหอชิงเฟิงก็เริ่มใจคอไม่ดีนัก แค่ประโยคเดียวของจวงเมิ่งเตี๋ย ก็เล่นเอาทุกคนที่อยู่ในห้องรับรองเริ่มมองนางเปลี่ยนไป
วันนี้เป็นวันหยุดของสำนักศึกษาสตรี ด้วยความว่าง ทุกคนจึงพากันมาที่หอชิงเฟิงเพื่อลงพนันให้คนที่สอบชุนเหว่ยและให้คนที่อยู่ในสามอันดับแรกของลำดับปิ่นดอกไม้งามด้วย
กู้จิ่นอวี้เป็นหนึ่งในคนที่ติดอันดับสูง เพราะนางเป็นเพชรน้ำงามของท่านโหวกู้ ซ้ำยังได้รับความรักจากซูเฟย อีกทั้งพออายุสิบห้าได้เลื่อนขั้นเป็นท่านหญิงฮุ่ย
นอกจากชื่อเสียงของนางจะเป็นที่รู้จักไปทั่วแล้ว ความสามารถของนางก็เป็นที่ประจักษ์เช่นกัน พอได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาสตรีก็ยิ่งฉายแววมากขึ้น สอบได้อันดับที่หนึ่งอยู่บ่อยครั้ง นับว่าเป็นคู่แข่งที่สูสีกับจวงเย่ว์ซีเลยก็ว่าได้
ส่วนจวงเย่ว์ซี เป็นหลานสาวแท้ๆ ของราชครูจวงและท่านจวงเซียนจือ และเป็นน้องสาวของอันจวิ้นอ๋อง เรียกได้ว่าเกิดมาพร้อมกับอภิสิทธิเลยก็ว่าได้
กู้จิ่นอวี้ขึ้นมาทัดเทียมกับจวงเย่ว์ซีได้นับว่าน่าตกใจไม่น้อย
แต่อย่างไรก็ตาม เมืองหลวงแห่งนี้ให้ความสำคัญกับต้นตระกูลและถิ่นกำเนิดเป็นอย่างมาก ไม่ว่าชายหรือหญิง
“จิ่นอวี้ ที่นางพูดเป็นเรื่องจริงหรือ” คุณหนูสวีเอ่ยถามกู้จิ่นอวี้ คุณหนูสวีคือหนี่งในคนที่กู้จิ่นอวี้สนิทด้วย
สักพัก คุณหนูหยางที่นั่งข้างๆ ก็เอ่ยถาม “นั่นสิ นั่นสิ จิ่นอวี้ คุณหนูจวงคนนั้นคงพูดจาซี้ซั้วสินะ ติ้งอันโหวออกจะเอ็นดูเจ้าขนาดนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร!”
แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความสงสัย
กู้จิ่นอวี้กำผ้าในมือแน่น
นางรู้สึกได้ถึงไอร้อนแผ่ซ่านทั่วใบหน้าราวกับถูกตบ หรือไม่ก็กำลังเปลื้องผ้าต่อหน้าผู้คน ความรู้สึกอับอายขายขี้หน้าทั้งหมดได้ปะทุขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
หากเป็นคนอื่น นางคงรีบแย้งไปตั้งแต่แรก อย่างน้อยก็ไม่น่าจะมีใครไปสืบความจริงถึงที่จวนหรอก ต่อให้มีคนไปถามจริงๆ อย่างไรเสีย ท่านโหวไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนมาคุกคามกู้จิ่นอวี้อยู่แล้ว
แต่คำพูดนั้นดันออกมาจากปากของจวงเมิ่งเตี๋ยนี่สิ!
ในเมื่อจวงเมิ่งเตี๋ยรู้แล้วว่านางเป็นใคร ให้ปฏิเสธอีกก็คงไร้ประโยชน์ เผลอๆ อาจทำให้เรื่องบานปลายกว่าเดิมอีก
ต่อให้ท่านโหวกู้ออกหน้าเองก็คงจะไร้ประโยชน์เหมือนกัน คนอย่างจวงเมิ่งเตี๋ยจะต้องคาบเรื่องนี้ไปรายงานให้ฝ่าบาทไม่ก็ไทเฮาทรงทราบแน่นอน จากนั้นท่านโหวกู้ก็จะถูกบังคับให้สาบานต่อหน้าฟ้าดิน ไม่เช่นนั้นจะได้รับโทษฐานหลอกลวงแน่นอน!
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องน่าขัน แต่จวงเมิ่งเตี๋ยจะต้องทำเช่นนั้นแน่นอน
จวงเมิ่งเตี๋ยพยุงร่างของพี่สาว ก่อนจะหันหน้าไปหัวเราะใส่ห้องฝั่งตรงข้าม “หึหึ ไม่มีอะไรจะพูดแล้วสิ เป็นได้แค่ตัวปลอม ริอาจคิดแทนที่ตัวจริงอย่างนั้นรึ ถ้าเป็นข้านะ ป่านนี้คงหนีกลับชนบทไปแล้ว! ให้ตายเถอะ พวกที่คอยประจบสอพลออยู่ด้านในนั้นน่ะ รบกวนควักลูกตาออกมาเช็ดให้สะอาดหน่อยนะ ลูกเป็ดไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นได้แค่ลูกเป็ด ไม่มีทางเป็นหงส์ไปได้หรอก!”
“พูดให้มันน้อยๆ หน่อย แล้วก็ไปได้แล้ว” จวงเย่ว์ซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระต้องจัดการอีก งั้นข้าขอตัวลาละ คุณหนูกู้ แล้วไว้พบกันอีก” คุณหนูสวีลุกขึ้นพลางเอ่ยลา
“ข้าเองก็เช่นกัน ข้าสัญญากับท่านแม่แล้วว่าจะพาไปไหว้พระ ข้าเองก็ขอตัวลาละคุณหนูกู้” คุณหนูหยางส่งสายตาให้คนอื่นๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เด็กสาวคนอื่นๆ ก็ทยอยลุกออกไปตามๆ กัน บางคนก็รู้สึกผิดที่จะเดินออกไปทั้งอย่างนั้น แต่กระนั้น ก็ไม่ได้ลงเงินให้ชื่อของกู้จิ่นอวี้แต่อย่างใด
เป็นครั้งแรกที่กู้จิ่นอวี้รู้สึกแย่ อับอาย เจ็บปวด ราวกับกำลังนั่งอยู่บนเข็ม
และที่แย่ไปกว่านั้น คนที่บอกว่าจะลงให้ตัวเองกลับเปลี่ยนใจไปลงให้จวงเย่ว์ซีกันหมด
กลายเป็นว่าชื่อของจวงเย่ว์ซีได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของรายชื่อปิ่นดอกไม้งามไปโดยปริยาย
กู้จิ่นอวี้เดินออกจากหอชิงเฟิงด้วยความอับอาย
“คุณหนูขอรับ กลับจวนเลยไหมขอรับ” สารถีเอ่ยถาม
“ไปที่กรมโยธา” นางเอ่ย
“ขอรับ!”
สารถีจึงควบม้ามุ่งหน้าไปที่กรมโยธา
ขณะที่ท่านโหวกู้เพิ่งกลับจากฝ่ายทหาร พอเดินมาถึงหน้าประตูกรม ก็เจอกับรถม้าที่คุ้นเคย จึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเปิดม่านออก “จิ่นอวี้”
กู้จิ่นอวี้นั่งในรถม้าพร้อมกับดวงตาแดงก่ำและน้ำตาที่ไหลพราก
ท่านโหวกู้รู้สึกสงสารจับใจ รีบเข้าไปนั่งใกล้ๆ นาง ก่อนจะเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ หรือว่าโดนใครแกล้งมา”
กู้จิ่นอวี้ยังคงร้องไห้ไม่หยุด สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ จึงพูดขึ้นแทน “ท่านโหวเจ้าคะ ท่านต้องอยู่ข้างคุณหนูจิ่นอวี้นะเจ้าคะ! วันนี้คุณหนูถูกคนพูดจาดูถูกมาเจ้าค่ะ!”
“ใครหน้าไหนมันบังอาจมาพูดจาดูถูกลูกสาวข้า” ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงขรึม
สาวใช้รีบตอบ “เป็นฝีมือคุณหนูจวงเจ้าค่ะ นางกล่าวหาว่าคุณหนูเป็นลูกเป็ดจากบ้านนอกเจ้าค่ะ!”
สาวใช้คนนี้ก็ใช่ย่อย จวงเมิ่งเตี๋ยพูดออกมาตั้งหลายคำ นางดันรวบไว้ในประโยคเดียว แถมยังเป็นประโยคที่แทงใจดำเอามากเสียด้วย
“ไฉนนางถึงพูดแบบนั้นเล่า” สีหน้าของท่านโหวกู้ในตอนนี้เรียกได้ว่าแทบดูไม่ได้
ในที่สุดกู้จิ่นอวี้ก็เริ่มพูดออกมา “ที่จริง จะโทษคุณหนูจวงก็ไม่ถูก เพราะที่นางพูดมาก็เป็นเรื่องจริง ข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านพ่อ พ่อแม่แท้ๆ ของข้าอยู่ที่ชนบท ข้าเกิดจากที่นั่น…”
ท่านโหวกู้เอ่ยด้วยท่าทีสงสาร “พ่อจะไม่ยอมให้ลูกพูดกับตัวเองเช่นนี้! ในใจของพ่อ เจ้าคือลูกแท้ๆ นะ!”
สาวใช้เหลือบมองนายท่านใหญ่หนึ่งที ก่อนเอ่ย “คุณหนูช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน โดนคุณหนูจวงพูดจาดูถูกเช่นนั้น ทุกคนเลยล้มเลิกเงินวางให้กับคุณหนู! นี่แค่วันแรกเท่านั้นนะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าต่อไปที่โรงเรียน คุณหนูจะโดนกลั่นแกล้งอะไรอีกเจ้าค่ะ”
กลั่นแกล้งลูกสาวเขางั้นรึ มีหรือจะรอดไปได้
ส่วนเรื่องลงเงินที่สาวใช้พูดถึง ท่านโหวกู้ตอนแรกยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ก็เลยถามทั้งนายทั้งบ่าวเลยทราบความว่าเป็นการลงเงินพนันที่หอชิงเฟิง
ปิ่นดอกไม้มีด้วยกันทั้งหมดสามอัน แน่นอนว่าอันจวิ้นอ๋องจะต้องมอบให้จวงเย่ว์ซีอย่างแน่นอน ส่วนอีกสองดอกที่เหลือนั้น
อย่างไรก็ตาม ท่านโหวกู้มองว่า หนึ่งในสองดอกนั้นกู้จิ่นอวี้จะต้องได้ไปอย่างแน่นอน
เพราะเขามิอาจให้ลูกสาวตัวเองต้องมาตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ได้
ในวันเดียวกันของช่วงบ่าย ท่านโหวกู้เบิกเงินมาจำนวนห้าพันตำลึง แล้วมุ่งหน้าไปที่หอชิงเฟิง
“ท่านจะลงเงินให้คุณหนูกู้คนไหนละขอรับ” ผู้จัดการร้านเอ่ยถาม
“ไม่ได้มีคุณหนูกู้แค่คนเดียวหรอกหรือ”
ด้วยความที่ผู้จัดการร้านไม่รู้ว่าเขาคือท่านโหวกู้ ก็เลยหัวเราะหนึ่งทีก่อนจะอธิบายให้เขาฟัง “จวนติ้งอันโหวมีบุตรสาวสองคน คือคุณหนูรองกู้ และคุณหนูใหญ่กู้ขอรับ”
ท่านโหวกู้แทบไม่อยากเชื่อตาตัวเอง นางเด็กนั่นก็อยู่ในรายชื่อด้วยหรือ สักพักเขาก็นึกขึ้นได้ว่าสาวใช้ของกู้จิ่นอวี้บอกว่าจวงเมิ่งเตี๋ยลงเงินให้ชื่อของกู้เจียวเพื่อที่จะกลั่นแกล้งกู้จิ่นอวี้ คงเป็นตอนนั้นกระมังที่หอชิงเฟิงเพิ่มชื่อของกู้เจียวเข้าไป
อย่างนางน่ะหรือจะสู้จิ่นอวี้ได้
ฝันไปเถอะ!
ท่านโหวกู้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงเงินทั้งหมดที่ชื่อของกู้จิ่นอวี้
ทำให้ตอนนี้ยอดเงินพนันของชื่อกู้จิ่นอวี้พุ่งสูงเทียบเท่ากับจวงเย่ว์ซีแล้ว
ส่วนชื่อของกู้เจียวยังคงรั้งท้ายเหมือนเดิม
ซูเฟยเองก็ทราบข่าวเรื่องการลงเงินพนันแล้วเช่นกัน จึงแอบรับสั่งให้ขันทีเอาเงินไปลงด้วย
อันจวิ้นอ๋องคือตัวเต็งอย่างไม่ต้องสงสัย คนมากมายต่างลงเงินให้เขา ทำให้อัตราต่อรองต่ำเกินไป แต่สุดท้ายซูเฟยก็ลงให้เขาอยู่ดี คิดเสียว่าได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
นอกจากนี้นางยังลงให้กู้จิ่นอวี้ จวงเย่ว์ซี และนักพรตเมี่ยวอิน
จะว่าไปแล้ว นักพรตเมี่ยวอินผู้นี้ก็มีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดาอยู่เหมือนกัน เดิมนางเป็นหลานสาวโดยตรงของท่านเลขาธิการหยวน ด้วยความเป็นเด็กเลี้ยงยาก นางจึงถูกส่งตัวไปที่วัดเต๋า เป็นเรื่องแปลกที่จะบอกว่าทารกที่กำลังจะตายนั้นมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่เข้าไปในวัดลัทธิเต๋า
ซูเฟยเคยไปสืบมาแล้ว นักพรตเมี่ยวอินผู้นี้พออายุครบสิบหกก็จะกลับมายังเมืองหลวง พอลองคำนวณดูแล้ว น่าจะกลับมาช่วงที่ประกาศรายชื่อพอดี
ซูเฟยมองว่า ด้วยชื่อเสียงของท่านเลขาธิการหยวน โอกาสที่นักพรตเมี่ยวอินจะได้ปิ่นดอกไม้นั้นมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว
หลานชายคนเล็กของท่านเลขาธิการหยวนเองก็เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ด้วย แม้ชื่อเสียงของเขาจะเทียบกับอันจวิ้นอ๋องไม่ได้ แต่ซูเฟยมองว่าเขาน่าจะได้เป็นปั้งเหยี่ยน
คนถัดไปที่ซูเฟยจะลงเงินให้ เป็นชายหนุ่มมากความสามารถจากเจียงหนาน เมื่อสามปีก่อนเขาเคยสอบผ่านรอบชุนเหว่ยได้ แต่ดันล้มป่วยเสียก่อน จึงพลาดโอกาสนั้นไป
ชายคนนั้นสนิทกับองค์ชายห้า และเคยแนะนำเขาให้กับซูเฟยมาก่อน ซูเฟยเชื่อในแววของลูกชายตัวเอง ก็เลยลงเงินให้เขาในหมวดทั่นฮวา
พอเสร็จจากตรงนี้ ซูเฟยเกรงว่าจะมีอะไรขาดตกบกพร่อง จึงเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา “ไท่จื่อเฟยลงให้ใครรึ”