สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 198.1 เสร็จสิ้น (1)
บทที่ 198.1 เสร็จสิ้น (1)
เดือนสองวันที่สิบห้า การสอบด่านที่สามได้สิ้นสุดลง ผู้เข้าสอบทุกคนผ่านช่วงเวลาที่ทั้งลุ้นและกดดันมานักต่อนัก พอวันที่สิบหก ผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องผ่านการตรวจร่างกายก่อนจึงจะสามารถออกจากสนามสอบได้
ด้านนอกสนามสอบอัดแน่นไปด้วยผู้คน
ด้วยความที่กู้เจียวมาแต่เช้าตรู่ จึงได้ที่นั่งรอดีๆ
พอประตูสนามสอบถูกเปิดออก ก็มีบัณฑิตทยอยกันออกมา
กู้เจียวเคยมารับเซียวลิ่วหลังกลับเรือนแค่ตอนช่วงที่เขาสอบระดับตำบลเท่านั้น ด้วยความที่การสอบครั้งอื่นๆ เขาต้องออกนอกพื้นที่
นับว่าเป็นครั้งแรกที่กู้เจียวต้องมาอยู่ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตา ช่างเหมือนกับผู้ปกครองที่มารอลูกหลังสอบเข้ามหาลัยเสร็จไม่มีผิด
ยังดีที่เซียวลิ่วหลังออกมาจากสนามสอบได้เร็ว จึงไม่ต้องรอนาน
มองแค่แวบเดียวก็เห็นร่างของเขาได้อย่างชัดเจนท่ามกลางผู้คน
ที่เขาดูเด่น ไม่ใช่เพราะเขาถือไม้เท้า แต่เป็นเพราะรูปลักษณ์อันสง่างามของเขาดูโดดเด่นกว่าใครเพื่อน
กู้เจียวเผลอกระดกมุมปากขึ้น ถุงใต้ตาเริ่มนูนชัด และยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เช่นกันกับเซียวลิ่วหลัง เขาเองก็เห็นกู้เจียวแวบแรกตั้งแต่เดินออกมา ตายิ้มของนางช่างดูสว่างไสวราวกับทางช้างเผือกในห้วงอวกาศ
“เป็นอย่างไรบ้าง พอได้ไหม” กู้เจียวเอ่ยทักสามี มือพลางคว้าถุงย่ามของเขามาใส่ไว้ที่ตะกร้าของตัวเอง
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “อืม ก็ราบรื่นดี”
สองวันก่อนอากาศยังหนาวๆ อยู่ พอมาวันนี้ดูเหมือนเทพแห่งท้องฟ้าเริ่มทำงานแล้ว แดดออกสว่างจ้าเชียว
“เจ้ามาได้ยังไง” เซียวลิ่วหลังหันไปทางเจ้าตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านข้าง
จิ้งคงยื่นมือดอกอก เชิดคางขึ้น แล้วเอ่ย “คิดหรือว่าข้าอยากมาหาเจ้า ข้าแค่มาเป็นเพื่อนเจียวเจียวเท่านั้น นานๆ ทีข้าจะได้หยุดเรียน”
เซียวลิ่วหลังยื่นมือลูบหัวจิ้งคงด้วยความหมั่นเขี้ยว
พอทั้งสามคนเดินออกมาจากตรอก ก็เห็นว่าหลิวเฉวียนมายืนรอพวกเขาตรงปากทางแล้ว
ทั้งสามคนขึ้นรถม้า
จิ้งคงนั่งตรงข้ามเซียวลิ่วหลัง มือยังคงกอดอกแน่น มองคนตรงหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม
เซียวลิ่วหลังรู้สึกประหลาดใจที่โดนมองเช่นนั้น จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “เอาแต่มองข้าแบบนี้ มีอะไรรึ”
จิ้งคงเอ่ยเสียงแข็ง “ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าทำข้อสอบได้หรือไม่ได้”
ช่วงระหว่างที่รอพี่เขยเดินออกมา จิ้งคงพยายามสังเกตสีหน้าผู้เข้าสอบคนอื่นๆ บ้างก็ทำหน้าวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม บ้างก็คอตกหน้าเศร้า บ้างก็ไม่สะทกสะท้านอะไร ไม่มีใครแสดงสีหน้าดีใจเลยสักนิด
จิ้งคงกำลังสังเกตว่าพี่เขยจัดอยู่ในอารมณ์ไหน
เซียวลิ่วหลังมองเด็กน้อยด้วยสายตาประหลาดใจ
กู้เจียวเข้ามากระซิบกับเซียวลิ่วหลัง “จิ้งคงบอกว่า ถ้าเจ้าสอบไม่ได้ เขาไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ น่ะ”
เซียวลิ่วหลัง “……”
“ในเมื่อสอบเสร็จแล้ว ผลจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันก็ได้เนอะ!” กู้เจียวรีบตัดบท
เซียวลิ่วหลังถอนหายใจโล่ง คงมีแต่ภรรยานี่แหละที่รู้ใจเขาที่สุด
เดี๋ยวก่อนนะ ภรรยางั้นรึ
ทำไมเขาต้องเรียกนางแบบนั้นด้วยเล่า!
สักพักเสี่ยวจิ้งคงก็โจมตีด้วยวาจาต่อ “เจียวเจียวไปลงพนันว่าเจ้าสอบได้ที่หนึ่ง ลงเงินไปตั้งพันตำลึงแหน่ะ!”
เซียวลิ่วหลัง “…!”
กู้เจียวรีบเบือนหน้าหนี ตะโกนในใจ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น!
เซียวลิ่วหลังนึกสงสัยว่ากู้เจียวไปเอาเงินพันตำลึงนี้มาจากไหน เพราะช่วงนี้ที่โรงหมอก็อยู่ในช่วงที่ยังต้องหมุนเงิน
กู้เจียว: ต้องยกความดีความชอบให้กับกู้เฉิงเฟิง
เซียวลิ่วหลังได้แต่กุมขมับ พลางนึก เขาออกไปสอบแค่แปปเดียว ไฉนพอกลับมาถึงได้รู้สึกราวกับความโกลาหลกำลังมาเยือนกันนะ
“สรุปแล้ว เจ้าทำข้อสอบได้หรือไม่ได้” จิ้งคงเอ่ยถามอีกครั้ง
เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก ก่อนตอบออกไป “ก็ต้องทำได้สิ”
ซึ่งเขาก็ทำข้อสอบได้จริงๆ นั่นแหละ โชคดีที่เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้น เงินพันตำลึงคงได้หายไปในพริบตาแน่นอน
แต่จะว่าไป การสอบเคอจวี่ไม่เหมือนการสอบเลขคณิตและดาราศาสตร์ที่มีคำตอบตายตัว ถูกคือถูก ผิดคือผิด ดังนั้น การคาดหวังว่าจะได้ที่หนึ่งนั้นคงเป็นเรื่องยาก
ยังดีที่ลงไปแค่พันเดียว เกิดเขาพลาดขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังพอหาใหม่ได้ รับสอนหนังสือให้คนอย่างหลินเฉิงเย่เพิ่มอีกซักคนสองคน ใช้เวลาปีกว่าก็น่าจะคืนทุนได้แล้ว
แต่ดูเหมือนเซียวลิ่วหลังจะรีบดีใจเกินไป เพราะเรื่องที่เขาไม่รู้ ยังมีอีกเพียบ
จิ้งคงทำหน้าเคร่งขรึม ผงกหัว พลางเอ่ย “เจ้าต้องทำให้ดีอยู่แล้ว พวกเพื่อนบ้านทั้งละแวกต่างก็พากันลงเงินให้เจ้าทั้งนั้น”
เซียวลิ่วหลังเริ่มหน้าตึง “ละ ลง ลงกันไปเท่าไหร่”
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก รวมๆ แล้วประมาณเจ็ดแปดพันตำลึงเอง” เศรษฐีน้อยจิ้งคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย
เจ็ด! แปด! พัน! ตำ! ลึง! เอง! เจ้าพูดว่าเองอย่างนั้นหรือ!
เซียวลิ่วหลังถึงกับเอามือป้องปาก
พอกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย จี้จิ่วอาวุโสก็ตะโกนเรียกเซียวลิ่วหลังให้ไปหาเขา
จี้จิ่วอาวุโสได้รู้โจทย์ในการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้แล้ว แม้การที่ข้อสอบรั่วจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ตราบใดที่การสอบเริ่มต้น คำถามสอบมักจะถูกส่งออกไปในรูปแบบต่างๆ ภายในหนึ่งชั่วยาาม ดังนั้นถึงได้มีกฎว่าห้ามผู้เข้าสอบเข้าสนามสอบหลังการสอบได้เริ่มขึ้น
เขาไม่กังวลข้อสอบด่านแรก เพราะรู้ว่าเซียวลิ่วหลังท่องซื่อชูหวู่จิงได้ไหลลื่นดี อีกทั้งผู้เข้าสอบต้องประพันธ์กลอนขึ้นมาเองสี่บท
เซียวลิ่วหลังท่องคำตอบที่ตัวเองเขียนลงไปให้จี้จิ่วอาวุโสได้ฟัง
จี้จิ่วอาวุโสพยักหน้า
ไม่มีอะไรติดขัด
จากนั้นจี้จิ่วอาวุโสถามต่อถึงข้อสอบปากู่เหวินและข้อสอบเรื่องนโยบาย
สำหรับโจทย์ปากู่เหวิน จี้จิ่วอาวุโสรู้สึกคัดค้านกับข้อสอบปีนี้เป็นอย่างมาก คนออกข้อสอบให้ความสำคัญกับรูปแบบมากเกินไป จนลืมนึกถึงการดึงศักยภาพที่แท้จริงของผู้เข้าสอบออกมา แต่ก็อย่างว่า พูดไปสองไพเบี้ย จะโทษก็ต้องโทษรากของระบบตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษที่ปลูกฝังอะไรแบบนี้มายังรุ่นปัจจุบัน ให้เปลี่ยนแปลงทันทีคงไม่ง่าย
เซียวลิ่วหลังทำข้อสอบปากู่เหวินออกมาได้ดีและน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
แต่พอมาถึงโจทย์สุดท้าย จี้จิ่วอาวุโสถึงกับเหงื่อตก
เรื่องสืบทอดมรดกเป็นหัวข้อที่ละเอียดอ่อนไม่ว่าจะยุคไหนๆ แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ไม่ใช่ทายาทโดยชอบธรรมเสียทีเดียว ให้พูดเรื่องลำดับยิ่งแล้วใหญ่
เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าและไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แต่ถึงกระนั้น ก็ต้องยอมรับว่าแสนยานุภาพของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นที่ประจักษ์และสร้างความตกตะลึงให้ใครหลายๆ คน ขนาดจี้จิ่วอาวุโสที่เป็นคนสองแผ่นดิน ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าฮ่องเต้องค์นี้เหมาะสมกับบัลลังก์
เมื่อเทียบกับฮ่องเต้องค์ก่อนแล้ว ถือว่าเป็นคนที่เด็ดขาดเอามากๆ
อย่างน้อยฮ่องเต้องค์ก่อนก็ไม่เคยต่อกรกับจวงไทเฮา แต่ฮ่องเต้องค์นี้กลับกล้าที่จะส่งไทเฮาไปอยู่ในตำหนักพักฟื้น
ที่แคว้นเจาแห่งนี้ โจทย์ข้อสอบชุนเหว่ยจะออกโดยสำนักฮั่นหลินก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นโจทย์จะถูกส่งไปยังราชสำนักเพื่อให้ฝ่าบาทได้เลือกโจทย์ที่จะใช้สอบจริงหนึ่งข้อ และโจทย์สำรองเตรียมไว้อีกห้าข้อ
จี้จิ่วอาวุโสค่อนข้างมั่นใจว่าสำนักฮั่นหลินไม่มีทางออกโจทย์แบบนี้แน่นอน ต้องเป็นฝีมือของฮ่องเต้ที่เพิ่มโจทย์เข้าไปอย่างแน่นอน
“ฝ่าบาทเล่นอะไรอยู่นะ” จี้จิ่วอาวุโสมีความคิดเหมือนกันกับอันจวิ้นอ๋อง ที่ออกโจทย์เช่นนี้ เป็นเพราะว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยไท่จื่อหรือองค์ชายใหญ่กันแน่ หรือว่า พระองค์กำลังส่งสัญญาณเตือนภัยพวกองค์ชายที่ไม่ใช่ทั้งทายาทโดยชอบธรรม แต่กลับทะนงตนคิดว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งกันแน่