สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 202.1 เปิดโปง (1)
บทที่ 202 เปิดโปง (1)
ราชโองการมาถึงตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว ช่างเหล็กชราและช่างไม้อยู่ระหว่างการเดินทาง อีกไม่ถึงวันก็คงมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ทางกู้จิ่นอวี๋นั้นไม่ได้รู้เรื่องที่ช่างเหล็กชราและช่างไม้จะมาเยือนเมืองหลวงด้วย หลังจากที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิง อันดับแรกก็ได้เดินทางเข้าเฝ้าเซียวฮองเฮา ณ ตำหนักเซินหนิง เพื่อรับตราประทับทองและราชโองการแต่งตั้ง หลังจากนั้นก็นั่งพูดคุยกับซูเฟยที่ตำหนักฉางชุน
เจ้านางประจำแต่ละตำหนักต่างมอบของขวัญแสดงความยินดี แม้แต่จวงกุ้ยเฟยและไท่จื่อเฟยก็ยังส่งของมาให้
ทั้งสองนางคือสตรีที่มีอำนาจสูงสุดในวังหลังรองลงมาจากจวงไทเฮาและฮองเฮา การแสดงออกของพวกนางเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงท่าทีของวังหลังได้ระดับหนึ่ง
น้อยนักที่ท่าทีของทั้งสองจะเป็นไปทิศทางเดียวกัน
“ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ” ซูเฟยกุมมือกู้จิ่นอวี๋เอาไว้ด้วยความภาคภูมิใจ แววตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
ไม่ใช่เพียงฮ่องเต้ที่เชิดหน้าชูตาเพราะเรื่องนี้ กู้จิ่นอวี๋เองก็เช่นกัน
ไม่ว่าจะเรื่องที่แม่นางเหยารักกู้เจียวมากกว่า หรือว่าเรื่องที่กู้จิ่นอวี๋ถูกหมางเมินที่สำนักบัณฑิตสตรี วินาทีนี้ปมในใจทั้งหมดราวกับถูกกำจัดไปจนสิ้น
กู้จิ่วอวี๋กลับมายังจวนโหวด้วยความภาคภูมิใจอย่างล้นพ้น
ที่ขาดไปไม่ได้อย่างแน่นอนก็คือ ท่านโหวกู้และเหล่าฮูหยินกู้ก็ยังเอ่ยชื่นชมนางอีกหนึ่งเปลาะ
ตั้งแต่เกิดเรื่องอนุหลิงขึ้น เหล่าฮูหยินกู้ก็ปลีกวิเวกอยู่ลำพังมาโดยตลอด พอได้ยินว่ากู้จิ่นอวี๋สร้างคุณงามความดี ทั้งยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับจวนโหว นางถึงได้กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง
นางดึงมือกู้จิ่นอวี๋มากุมด้วยความรักใคร่ “ท่านปู่เจ้าออกไปราชการข้างนอกไม่อยู่ที่จวน หากอยู่ที่นี่ละก็ เขาต้องชื่นชมเจ้าอย่างแน่นอน”
ท่านปู่…
คนที่สูงส่งหาใดเปรียบได้ในใจของกู้จิ่นอวี๋ คนที่นางไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อ
ท่านปู่จะภูมิใจในตัวนางจริงๆ หรือ
ในความทรงจำของนาง ท่านปู่นั้นเหมือนคนที่ไม่อาจเอื้อมถึง คนในเรือนนั้นต่างยำเกรงเขาเป็นอย่างมาก
เขาดูเหมือนไม่เคยพึงพอใจกับลูกหลานคนไหน แม้พี่ใหญ่จะมุมานะถึงเพียงใด แต่ในสายตาของท่านปู่นั้นก็ยังไม่มีข้อบกพร่องมากมาย
หากได้รับคำชมจากท่านปู่แม้เพียงสักคำ กู้จิ่นอวี๋คงโอ้อวดได้ตลอดชีวิตแล้ว
กู้จิ่นอวี๋ออกมาจากเรือนของเหล่าฮูหยิน ตั้งใจว่าจะไปที่เรือนของแม่นางเหยา เพื่อเล่าเรื่องที่ตนสร้างคุณงามความดีจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิงให้แม่นางเหยารับรู้ นางต้องการให้ท่านแม่รู้ว่านางต่างหากคือลูกสาวที่ชาญฉลาดที่สุดในตระกูล คือคนที่นางสมควรจะเห็นคุณค่าและรักใคร่มากที่สุด
เดินได้ครึ่งทาง นางก็บังเอิญพบกับกู้ฉังชิงเข้า
นางยิ้มตาหยี เดินเข้าไปหากู้ฉังชิงแล้วคำนับให้ “พี่ใหญ่”
กู้ฉังชิงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
กู้จิ่นอวี๋เห็นว่าในมือเขาถือห่อผ้าอยู่ จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกหรือเจ้าคะ ถืออะไรมาด้วยหรือ”
“ของป่าที่ล่ามาได้น่ะ” กู้ฉังชิงตอบ
วันนี้ที่ค่ายทหารออกไปล่าสัตว์ เขาล่านกน้อยมาได้สองตัว ตั้งใจว่าจะเอาไปให้กู้เหยี่ยนและเสี่ยวจิ้งคงเล่นที่ตรอกปี้สุ่ย
กู้จิ่นอวี๋สัมผัสได้ถึงความเฉยชาจากน้ำเสียงของเขา หากเป็นแต่ก่อนนางคงเจียมเนื้อเจียมตัวแล้วเดินจากไป แต่วันนี้นางรู้สึกมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ นางยิ้ม “โตมาป่านนี้แล้ว ข้ายังไม่เคยล่าสัตว์เลยเจ้าค่ะ คราวนี้ท่านพี่พอจะสะดวกพาข้าไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“สตรีจะเข้าไปในค่ายทหารสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” กู้ฉังชิงปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
“อ๋อ” กู้จิ่นอวี๋ผิดหลังเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับว่าผิดหวังเท่าใดนัก นางหยิบจี้หยกออกมาจากกระเป๋า เงยดวงหน้าน้อยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น “ให้พี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
“นี่คืออะไร” กู้ฉังชิงถาม
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้มเปล่งประกาย “หยกอุ่นที่ฝ่าบาทประทานให้เป็นรางวัลเจ้าค่ะ”
มอบจี้หยกให้นั้นเป็นเรื่องรอง แต่สิ่งสำคัญที่อยากจะบอกกับพี่ใหญ่คือนางได้เป็นท่านหญิงแล้วต่างหาก
เมื่อกู้ฉังชิงเห็นจี้หยก ก็นึกถึงข่าวคราวที่ได้ยินมาจากค่ายทหารขึ้นมาได้ในที่สุด กู้จิ่นอวี๋สร้างคุณงามความดี และได้รับแต่งตั้งเป็นท่านหญิงฮุ่ยชั้นรอง
“ยินดีกับเจ้าด้วย” กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ไม่ได้รับจี้หยกไว้ “ในเมื่อเป็นของรางวัลที่ฝ่าบาทประทานให้ เช่นนั้นเจ้าจงเก็บรักษาไว้ให้ดี อย่าได้ทำหล่นหาย”
“เอ่อ… เจ้าค่ะ” ทว่ากู้จิ่นอวี๋นั้นหวังจากใจจริงว่ากู้ฉังชิงจะรับจี้หยกนี้ไว้
กู้ฉังชิงกลับมาถึงเรือน
ในใจของกู้ฉังชิงไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายใดๆ มากนัก เขาไม่เคยคาดหวังว่าจะอาศัยกู้จิ่นอวี๋สร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้กับจวนโหว เพราะการที่กู้จิ่นอวี๋จะได้เป็นท่านหญิงหรือไม่ สร้างคุณงามความดีหรือไม่ ก็ไม่ข้องเกี่ยวอันใดกับเขามากนัก
กู้จิ่นอวี๋โอ้อวดกับพี่ใหญ่สำเร็จแล้ว ก็อดรนทนไม่ไหวอยากจะให้คนอื่นได้รับรู้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่แม่นางเหยาไม่ได้อยู่ที่จวน
แม่นางเหยานั้นไปยังตรอกปี้สุ่ย
เสื้อผ้าที่นางตัดเย็บให้กู้เจียวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำมาให้กู้เจียวลองใส่ ผลปรากฏว่าไม่พอดีสักเท่าไหร่ แขนเสื้อและชายกางเกงนั้นสั้นเต่อไป
เด็กคนนี้เพิ่งจะมาสูงขึ้นเอาตอนนี้หรือ
แม่นางเหยาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเลาะแขนเสื้อและชายกางเกงลงมา
เมื่อซ่อมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นางขนเสื้อผ้าของคนทั้งบ้านออกมา ดูสิว่ามีผืนไหนต้องเย็บปะบ้างหรือไม่
เสื้อผ้าของคนอื่นในบ้านก็มีช่างเย็บผ้าตัดเย็บให้เช่นกัน ทุกเดือนจะมีเสื้อผ้าชุดใหม่ เสื้อผ้าของหญิงชราและเซียวลิ่วหลังยังคงทนทาน เป็นเพราะทั้งสองไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายนัก ส่วนคนของคนอื่นๆ นั้นกลับเก่าโทรมจนแทบดูไม่ได้
แต่ก่อนกู้เจียวเป็นคนเย็บซ่อมให้ทั้งหมด
พอแม่นางเหยาได้เห็นฝีมือนางในวันนี้ ก็แทบจะเผลอหัวเราะออกมา
นางคิดว่าลูกสาวของนางเก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้เสียอีก แต่แท้จริงแล้วนางยังคงเป็นเพียงเด็กสาวไม่รู้ประสาคนหนึ่ง
กู้เจียวเพิ่งรดน้ำแปลงผักเสร็จ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เห็นแม่นางเหยาชูกองผ้าขึ้นพลางหัวเราะจนหัวสั่นหัวคลอน
“เป็นอะไรไปหรือ” นางถามอย่างสงสัย
“ไอ้หยา” แม่นางเหยาหัวเราะจนน้ำตาไหล นานสองนานกว่าจะหยุดหัวเราะลงได้ นางเอ่ยถามกู้เจียว “เจียวเจียว ฝีเข็มเช่นนี้ผู้ใดเป็นคนสอนเจ้ากัน”
กู้เจียวครุ่นคิด “ไม่มีใครสอน ข้าทำของข้าเอง”
แม่นางเหยาเข้าใจในทันที
ใครที่ไหนจะสอนเย็บเช่นนี้กันเล่า
แม่นางเหยาหัวเราะขบขันเพราะลูกสาว พลางตบเบาๆ ลงบนเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง ส่งสัญญาณบอกให้กู้เจียวนั่งลง หลังจากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าที่กู้เจียวเย็บปะขึ้นมา “ไม่ต้องขอดปมทุกฝีเข็มก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องทิ้งปลายด้ายไว้ด้านนอก แบบนี้…”
แม่นางเหยาเลาะด้ายแล้วเย็บใหม่ให้กู้เจียวดู
“อ๋อ” กู้เจียวครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ข้าคิดว่าตัวเองเย็บได้ดีแล้วเสียอีก”
การเย็บผ้าช่วยเพิ่มทักษะการเย็บแผลผ่าตัดให้แก่นางได้มาก นางเย็บได้เร็วกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว
สองแม่ลูกกำลังพูดคุยกัน กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นก็กลับมาจากโรงเรียนแล้ว วันนี้ไม่ต้องไปเรียนงานฝีมือกับอาจารย์หลี่ว์
ทั้งสองไม่รู้ว่ากู้เจียวกับแม่นางเหยาอยู่บ้าน จึงเสียงดังเอะอะโวยวาย ต่างคนต่างเสียบขนไก่ไว้บนหัวแล้วเดินเข้าเรือนมา
ยามอยู่ที่หมู่บ้าน กู้เสี่ยวซุ่นมีพรรคพวกของตัวเอง ตอนนั้นเขาเป็นถึงหัวโจกตัวแสบประจำละแวกนั้น ขนไก่บนหัวคือสัญลักษณ์ของกลุ่มพันธมิตรขนไก่ของพวกเขา
หลังจากที่ถูกกู้เจียวส่งตัวไปที่สำนักบัณฑิตเทียนเซียง ดูเหมือนว่าเขาจะกลับตัวกลับใจ แต่ความจริงแล้วลึกในใจยังคงเป็นลิงทโมนจอมซนไม่เคยเปลี่ยน จนในที่สุดวันนี้ก็ถูกกู้เจียวจับได้คาหนังคาเขา
“เอ่อ ท่านพี่” กู้เสี่ยวซุนรีบดึงขนไก่บนหัวออกในทันที แววตาหลุกหลิก พร้อมทั้งดึงขนไก่บนหัวกู้เหยี่ยนออกเช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนยื่นแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น รอกู้เจียวลงโทษ
“เจียวเจียว!”
เสียงป้าจางในตรอกดังมาถึงหน้าประตูเรือน “กำแพงเรือนหลังครัวบ้านข้าจะถล่มแล้ว!”
“ข้าไปดูให้ท่านเอง” กู้เจียวมองสองลิงทโมนของบ้าน ก่อนจะวางบัวรดน้ำดอกไม้ลง แล้วเดินตามท่านป้าจางไปที่เรือนของนาง
เหล่าบ้านใกล้เรือนเคียงได้เห็นฝีมือของกู้เจียวครั้งแรกตอนที่หลังคาบ้านของจี้จิ่วอาวุโสรั่วเพราะน้ำฝน กู้เจียวปืนขึ้นไปซ่อมหลังคาด้วยตัวเอง หลังจากนั้นกลายเป็นที่รู้กันของบรรดาเพื่อนบ้านว่าหลานสะใภ้ของยายเฒ่าจวงนั้นเก่งกาจนัก
กำแพงเรือนของบ้านท่านป้าจางถล่มลงมาแล้ว ต้องซ่อมด้วยปูนซีเมนต์
แต่ในสมัยโบราณไม่มีปูนซีเมนต์ มีแต่ปูนขาวและอิฐดินเหนียว
แรงยืดของปูนขาวนั้นไม่เพียงพอ ยามเจอกับสายฝนมักจะละลายไหลกับน้ำได้ง่ายๆ อิฐดินเหนียวจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
วัสดุที่ใช้ทำดินเหนียวนั้นคือโคลนแดง ทรายหยาบและก้อนปูนขาว ที่บ้านของท่านปู่ยังพอมีก้อนปูนขาวและทรายหยาบเหลืออยู่ แต่โคลนแดงถูกเสี่ยวจิ้งคงเอาไปใช้หมดแล้ว ช่วงนี้เขาง่วนอยู่กับการสร้างบ้านกับเพื่อนฝูง เผลอแป๊บเดียวก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
ท่านป้าจางร้อนใจ “วัน…วันนี้คงซ่อมไม่เสร็จใช่หรือไม่ ข้าว่าวันพรุ่งนี้คงถล่มลงมาหมดเป็นแน่!”