สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 202.3 เปิดโปง (3)
บทที่ 202 เปิดโปง (3)
ยามนี้สถานการณ์แถบชายแดนไม่สงบนัก ฝ่าบาทกำลังหารือกับเหล่าขุนนางทหาร หากคนธรรมดาทั่วไปมาขอเข้าเฝ้า ขันทีย่อมไม่กราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ แต่ใครใช้ให้นางเป็นท่านหญิงฮุ่ยผู้โด่งดังที่ฝ่าบาทโปรดปรานเล่า
เว่ยกงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พระสนมโปรดรอสักครู่ ท่านหญิงฮุ่ยโปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะทูลฝ่าบาทเพื่อทราบ”
แต่ไหนแต่ไรมาเว่ยกงกงก็อ่อนถ่อมตนกับกู้จิ่นอวี๋อยู่เสมอ
“รบกวนกงกงด้วย” ซูเฟยเอ่ย
กู้จิ่นอวี๋เองก็พยักหน้า
เว่ยกงกงซอยเท้าถี่เข้าไปในห้อง ก่อนจะกระซิบทูลต่อหน้าฝ่าบาท
ฝ่าบาทจะบ้าตายเพราะปัญหาชายแดน กำลังอยากได้ยินข่าวดีให้ชื่นใจสักเรื่อง จึงบอกให้เหล่าขุนนางทหารออกไปก่อน แล้วเรียกกู้จิ่นอวี๋และซูเฟยเข้ามา
แน่นอนว่ากู้จิ่นอวี๋ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
ฝ่าบาทเองก็เป็นคนนอกวงการคนหนึ่ง แต่เขาเชื่อมั่นในตัวกู้จิ่นอวี๋ จึงรีบให้คนนำแบบร่างไปให้กรมโยธา
ขุนนางผู้คุมของกรมโยธาเห็นแบบร่างของกู้จิ่นอวี๋ ก็แสดงสีหน้าสงสัย “เครื่องสูบลมมากมายเพียงนี้ จะไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ”
ขุนนางที่อยู่ข้างกันเอ่ย “ที่เป็นแบบร่างของแม่นางกู้ จะมีปัญหาได้อย่างไร ฝ่าบาทให้คนนำมามอบให้ด้วยพระองค์เอง รีบทำเข้าเถิด!”
ในเมื่อเป็นราชโองการของฝ่าบาท เช่นนั้นก็คงขัดข้องไม่ได้
ผู้คุมสั่งการลูกน้องในทันใด ปรับปรุงแก้ไขส่วนประกอบของเตาเผาและเครื่องสูบลมตามแบบร่างของกู้จิ่นอวี๋
ผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์ อัตราการผลิตสูงขึ้นจริง ผลผลิตในหนึ่งวันแทบจะเทียบเท่ากับสองวัน
ฝ่าบาทดีอกดีใจ ประทานรางวัลให้แก่กู้จิ่นอวี๋ ทั้งยังตบรางวัลให้กับท่านโหวกู้และกรมโยธา
เพียงข้ามคืนชื่อเสียงของกู้จิ่นอวี๋เลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ทุกคนล้วนแต่ขนานนามนางว่าเป็นสตรีผู้เก่งกาจรองลงมาจากไท่จื่อเฟย ถึงขั้นมีคนแอบซุบซิบกันว่าความสามารถของนางนั้นทัดเทียมกับไท่จื่อเฟยเลยก็ว่าได้
ณ ตำหนักบูรพา นางกำนัลนางหนึ่งกำลังเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ไท่จื่อเฟย “พระชายาเพคะ เด็กสาวบ้านนอกคอกนาคนหนึ่งจะทัดเทียมกันท่านได้อย่างไร”
เรื่องชาติกำเนิดของกู้จิ่นอวี๋มีหรือจะรอดหูรอดตาจากวังบูรพาไปได้ ยามนี้นางได้เป็นถึงท่านหญิงแล้ว ยิ่งไม่มีความจำเป็นจะต้องปกปิดคนทั้งแผ่นดินอีกต่อไป
เหล่าชาวเมืองนอกจากจะไม่ดูแคลนนางแล้ว แต่ยังเทิดทูนนางยิ่งกว่าเดิมเพราะเหตุนี้ ยกให้นางเป็นท่านหญิงแห่งสามัญชน ไม่วางอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งยังทำให้คนทั้งแผ่นดินได้รับรู้ว่า ไก่ป่าที่บินเกาะกิ่งไม้นั้นก็สามารถกลายเป็นหงส์ได้เช่นกัน
ไท่จื่อเฟยนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะ ฝึกคัดอักษรอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่ว่าจะพบพานลมพายุใด นางก็จะเป็นดั่งดอกเบญจมาศ ที่ไม่มีวันไหวหวั่นสั่นคลอน
“แค่ชื่อเสียงชั่วข้ามคือจะวัดอะไรได้ หากนางคงชื่อเสียงนั้นไว้ได้ชั่วชีวิตต่างหาก จึงจะถือว่าเก่งกาจ”
ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้ได้ว่านางไม่พอใจในตัวกู้จิ่นอวี๋แม้แต่น้อย
ไท่จื่อเฟยพบเห็นคนที่โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืนมานักต่อนัก เหมือนกับดาวตกที่มาให้เห็นเพียงครู่แล้วอันตรธานหายไป คนมีชื่อเสียงรอบกายฝ่าบาทผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่คนที่ยืนหยัดไปได้ตลอดนั้นจะมีสักกี่คนเชียว
นางไม่เคยอิจฉาริษยาบรรดาสตรีที่แย่งชิงชื่อเสียงของนางไป เพราะนางนั้นรู้ดีว่าเป็นเพียงแค่สิ่งชั่วครั้งชั่วคราว
ในยามบ่ายที่สายลมอบอุ่นพัดโชย การเดินทางแสนยาวนานนับเดือนของช่างเหล็กชราและช่างไม้ ในที่สุดก็มาถึงยังเมืองหลวงอันเป็นจุดหมายปลายทาง
ตลอดทางมีจากเจ้าหน้าที่ทางการมาคอยรับส่ง แม้จะไม่ได้ลำบากมากนัก แต่ด้วยอายุอานามของช่างตีเหล็ก จึงรู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย
เพราะฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า เหล่าเจ้าหน้าที่ทางการจึงไม่กล้าชักช้า หลังจากเข้าเมืองหลวงมา ก็พาทั้งสองแวะอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าที่ศาลาพักม้าแล้วเข้าวังไปเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในทันที
ทั้งสองคนไม่เคยมาเมืองหลวงมาก่อน ยิ่งวังหลวงแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ยามเดินบนพื้นหินอ่อนขาวนวลที่เงาวับจนสะท้อนเห็นเงาคน ทั้งสองก็แทบไม่กล้าหายใจแรง
ช่างฝีมือต้อยต่ำอยากพวกเขา แม้แต่ยามหลับฝันยังไม่คิดว่าจะได้พบกับฮ่องเต้เหมือนเช่นวันนี้ ช่างเป็นเกียรติเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลแท้!
ช่างเหล็กชราทั้งประหม่าทั้งตื่นเต้น แต่ละย่างก้าวทำเอาแข้งขาแก่เฒ่านั้นสั่นเทา “ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท หากข้า ข้า ข้าตายเสียตรงนี้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว!”
คนที่มารับพวกเขาคือเว่ยกงกงขันทีข้างกายของฝ่าบาท
เว่ยกงกงยิ้มพลางเอ่ย “ในตำหนักจินหลวน ห้ามพูดเช่นนั้น ไม่เป็นมงคล”
ช่างเหล็กชรารีบยกมือขึ้นป้องปาก
แน่นอน เขาไม่ลืมที่จะแอบเหลือบมองเว่ยกงกง เป็นผู้ชายแท้ๆ เหตุใดถึงพูดจาสำเนียงแปลกแปร่งเช่นนี้
ช่างไม้เป็นหนุ่มอายุสามสิบต้นๆ เพราะยังหนุ่มยังแน่จึงปรับตัวได้ดี แต่ถึงกระนั้นก็ยังตื่นเต้นจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดินได้ก้าวสองก้าวสะดุดล้มเสียแล้ว
ขันทีหนุ่มน้อยที่อยู่ข้างกันเม้มปากแอบหัวเราะ
เว่ยกงกงปราดตามอง ขันทีหนุ่มน้อยก็รีบปั้นหน้านิ่ง
เว่ยกงกงเดินนำพวกเข้าไปยังตำหนักปีกข้าง
พวกเขากล่าวรายการอยู่นอกประตู “ฝ่าบาท ช่างฝีมือจากต่างอำเภอมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ”
“เข้ามาได้” ฝ่าบาทอารมณ์ดีไม่น้อย
ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ศาลาพักม้าเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องท่าถวายบังคมนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ทางการก็สอนพวกเขาแล้วระหว่างทาง ส่วนสอนแล้วจะทำเป็นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทั้งสองคนไม่เคยพบฮ่องเต้มาก่อน พอได้ยินสุรเสียงน่าเกรงขามนั้น แข้งขาก็พากันอ่อนแรงไปหมด
“เชิญขอรับ” เว่ยกงกงยิ้มพลางเอ่ยเรียกสติ
ทั้งสองก้าวข้ามธรณีประตูอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ตำหนักยิ่งใหญ่อลังการ ไม่มีริ้วไรฝุ่นให้เห็น ทั้งสองรู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับวังหลวงแม้แต่น้อย เหมือนกับเข้ามาในหอสวรรค์ชั้นฟ้าเสียมากกว่า
“คุกเข่า” เว่ยกงกงส่งสัญญาณให้ถวายบังคับ
ทั้งสองทรุดเข่าลงในทันใด
พิธีรีตองที่ร่ำเรียนมาก่อนหน้าถูกลืมไปจนหมดสิ้น ทั้งสองโขกหัวคำนับเหมือนกับเคารพบรรพบุรุษที่หน้าหลุมศพ โขกหัวคำนับให้กับฮ่องเต้อย่างแรงถึงสามหน
เมื่อคำนับเสร็จแล้ว ทั้งสองหมายจะจุดธูปบูชา แต่น่าเสียดายที่ไม่มี
ฝ่าบาทนั้นเมตตาต่อชาวเมืองที่เคารพยำเกรงตน ไม่ได้วางท่าน่าเกรงขามเฉกเช่นยามอยู่ต่อหน้าเหล่าขุนนางราชสำนักทั้งหลาย
“ตามสบายเถิด” เขาเอ่ย
ทั้งสองคิดในใจ ‘มีเช่นนี้ด้วยหรือ ขุนนางพวกนั้นไม่เห็นบอกเลย!’
ทั้งสองหันมาสบตากัน ก่อนจะหมอบลงกับพื้นแล้วทิ้งตัวนอนราบ
ฝ่าบาท “…”
เว่ยกงกง “…”
ใบหน้าของฝ่าบาทเผยรอยยิ้มออกมา “…รีบพยุงลุกขึ้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงกลั้นหัวเราะอย่างลำบากลำบน ก่อนจะพยุงช่างเหล็กชราและช่างไม้ให้ลุกขึ้นด้วยตัวเขาเอง
ทั้งสองช่างเป็นคนซื่อตรงดีแท้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งมอบวิชาให้กับราชสำนักและช่างฝีมือในท้องที่โดยปราศจากความหวงแหนตั้งแต่แรก
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฝ่าบาทประทานยศให้แก่พวกเขา
ทว่าสิ่งที่ทำให้ฝ่าบาทต้องประหลาดใจก็คือ พวกเขาปฏิเสธรางวัลที่ฝ่าบาทประทานให้
ช่างเหล็กชราเอ่ยน้ำเสียงขึงขัง “เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกกระหม่อมทั้งสองคิดค้นขึ้นมา แต่เป็นแม่นางผู้นั้นต่างหาก หากฝ่าบาทต้องการจะตบรางวัล ก็ประทานให้แม่นางผู้นั้นเถิด พวกกระหม่อมทั้งสองได้รับประโยชน์มากพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ร้านเหล็กของกระหม่อมกลายเป็นที่เลื่องชื่อ ร้านของอาเฉิงเองก็มีงานเข้ามาไม่หวาดไม่ไหวแล้ว หากพวกกระหม่อมกลับไปที่อำเภอ ก็นับว่าเป็นคนที่เคยได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว โอ้อวดได้ไปอีกแปดชั่วอายุคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
คำว่าตายเป็นคำต้องห้ามต่อหน้าฝ่าบาท ในเมื่อชาวเมืองคนหนึ่งพูดจาจากใจจริงเช่นนี้ ฝ่าบาทก็ยิ่งปลาบปลื้ม
พอยิ่งปลาบปลื้ม ก็ยิ่งตบรางวัลมากขึ้นไปอีก
ฝ่าบาทยิ้มพลางเอ่ย “หากพวกเจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก บอกมาได้เลย”
ทั้งสองได้ปรึกษากันระหว่างทางแล้ว
ช่างเหล็กชราเอ่ย “พวกกระหม่อม…อยากพบแม่นางผู้นั้น อยากจะขอบคุณนางต่อหน้า”
แม่นางผู้นั้นเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณให้ได้
วันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ดีไม่น้อย จึงตอบรับคำขอของทั้งสอง
กู้จิ่นอวี๋ถูกพาตัวเข้าวังมา
เว่ยกงกงอยากจะสร้างความประหลาดใจในแก่นาง จึงไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าผู้ใดมาเยือน บอกเพียงแค่ว่าสองคนนั้นเป็นสหายเก่าคนจากต่างอำเภอ
กู้จิ่นอวี๋ยังคิดอยู่ว่านางมีสหายเก่าจากต่างอำเภอตั้งแต่เมื่อใด หรือจะเป็นสาวใช้สองคนจากจวนบนเขา อวี๋หรูกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ
ปรากฏว่าคนที่นางพบคือชายแปลกหน้าสองคน
ในใจของกู้จิ่นอวี๋สัมผัสได้ถึงลางร้าย นางคิ้วกระตุก พยายามเก็บอาการแล้วถวายบังคม “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
ฝ่าบาทยกมือส่งสัญญาณให้นางลุกยืนขึ้น พลางมองไปทางช่างไม้และช่างเหล็กชราที่อยู่ข้างกัน “เจ้าจำพวกเขาได้หรือไม่”
“เอ๊ะ” กู้จิ่นอวี๋ชะงักไป
ทั้งสองคนนี้… นางรู้จักอย่างนั้นหรือ
ความสงสัยแบบเดียวกันก็แล่นวาบเข้ามาในใจของช่างเหล็กชราและช่างไม้ นั่นน่ะสิ แม่นางผู้นี้ พวกเขารู้จักอย่างนั้นหรือ
ฝ่าบาทหยอกล้อทั้งสองคน “เป็นอะไรไปหรือ เพิ่งผ่านไปครึ่งปีเอง จำผู้มีพระคุณของตนไม่ได้แล้วหรือ เมื่อครู่ยังเอ่ยเสียมั่นเหมาะบอกว่าอยากขอบคุณนางด้วยตัวเองอยู่เลย”
หัวใจของกู้จิ่นอวี๋เต้นถี่รัว
ช่างเหล็กชราขมวดคิ้วเอ่ย “ฝ่าบาท ฝ่าบาทเข้าใจผิดและพ่ะย่ะค่ะ นางมิใช่แม่นางผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ!”