สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 205.1 ปราบปราม (1)
บทที่ 205 ปราบปราม (1)
ท่านลุงสุดหล่อ คำเรียกนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
ฮ่องเต้ถูกคนเรียกเช่นนี้เป็นครั้งแรก คำสรรเสริญเยินยอพระองค์เหล่านั้นยังสู้คำว่าท่านลุงสุดหล่อของเด็กคนนี้ไม่ได้เลย
ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะไม่กลัวพระองค์ แม้จะบอกว่าพระองค์ปลอมตัวมา แต่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรมานานหลายปี ได้ฝึกฝนท่าทางอันน่ายำเกรงจนสำเร็จแล้ว คนปกติทั่วไปเห็นพระองค์ต่างเกรงกลัวกันทั้งนั้น
พระองค์นั่งย่อตัวลงมา
เว่ยกงกงห้ามไว้ “นายท่าน!”
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นปรามเขา บ่งบอกให้เขาหุบปาก พระองค์นั่งยองลงตรงหน้าเสี่ยวจิ้งคง สบตาในระดับเดียวกันกับเสี่ยวจิ้งคง
เด็กคนนี้รูปงามยิ่งนัก ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มอ้วนจ้ำม่ำ ดวงตากลมโตดุจลูกองุ่น คิ้วน้อยๆ ขมวดมุ่น ปากนิด จมูกหน่อย รูปงามเกินบรรยาย
ครั้งสุดท้ายที่เห็นเด็กน่ารักเช่นนี้ก็คืออาเหิงตอนเด็กๆ
เมื่อเจอเด็กเช่นนี้เข้า คงไม่มีใครคงมาดเข้มเอาไว้ได้ ฮ่องเต้เผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้โดยไม่รู้ตัว “เจ้าชื่ออะไรรึ”
“จิ้งคง” เสี่ยวจิ้งคงยกมือน้อยไพล่หลัง พลางเอียงศีรษะครุ่นคิด แล้วจับเสื้อส่วนหน้าของตัวเองพร้อมกับเอ่ย “ข้าเป็นนักเรียนที่กั๋วจื่อเจียน”
ฮ่องเต้ถูกความน่ารักของเด็กคนนี้ตกเข้าให้แล้ว
ทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำล้วนน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ฟากฟ้ามืดมิดเกินไป พระองค์ไม่ได้ตั้งใจมองมากนัก เพียงเหลือบมองเสื้อผ้าเขาแวบหนึ่งแล้วรู้สึกคุ้นตา ทว่าก็ไม่ได้คิดไปถึงโรงเรียนเด็กเล็กของกั๋วจื่อเจียน อย่างไรเสียเด็กเล็กก็แค่หกเจ็ดขวบ เจ้าหนูจ้ำม่ำคนนี้ดูแล้วยังไม่ถึงสี่ขวบด้วยซ้ำ
พระองค์อารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว “เจ้าเป็นนักเรียนของกั๋วจื่อเจียนจริงๆ รึ เหตุใดกั๋วจื่อเจียนจึงมีนักเรียนอายุน้อยเพียงนี้เล่า”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างหนักแน่นมีเหตุผล “จริงน่ะสิ! ข้าเป็นจริงๆ นะ! ข้าข้าข้า…ไม่เชื่อก็ลองถามอะไรข้ามาดูสิ!”
อันที่จริงฮ่องเต้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชั้นเด็กเล็กเรียนอะไรกัน จึงท่องบทความพันอักษรมาท่อนหนึ่งจากคัมภีร์สามอักษรตามที่ลูกชายตัวอ้วนของพระองค์ร่ำเรียน ผลสุดท้ายเสี่ยวจิ้งคงเอามือสองข้างกอดอก แล้วเอ่ยกับพระองค์อย่างเคร่งขรึมว่า “ออกโจทย์หน่อมแน้มเช่นนี้ออกมา นี่ดูถูกข้าใช่หรือไม่”
ฮ่องเต้ “…”
ลมราตรีในเดือนสองยังคงเย็นยะเยือกอยู่ เสี่ยวจิ้งคงทำรองเท้าหายข้างหนึ่ง เท้าน้อยๆ ยืนบนพื้นเย็นเยียบหนาวชาจนเขาทนไม่ไหว
เขาวางเท้าขวาลงบนรองเท้าข้างซ้ายของตัวเอง ทว่าแบบนี้ทำให้เขายืนได้ไม่มั่นคง โงนไปเงนมา เท้าน้อยๆ พลันตกลงพื้น เขาก็ยกเท้าน้อยๆ ขึ้นมาวางไว้บนรองเท้าซ้ายใหม่
ทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้
ฮ่องเต้พลันเกิดความสงสารเท้าน้อยๆ ข้างนั้นของเขาขึ้นมา
พระองค์โน้มตัวลงอุ้มเจ้าหนูน้อยขึ้นมา
เว่ยกงกงตกใจยกใหญ่!
ฝ่าบาท! ท่านกำลังทำอะไรน่ะพ่ะย่ะค่ะ
ท่านเป็นกษัตริย์ของแคว้นนะพ่ะย่ะค่ะ เป็นโอรสมังกรที่แท้จริง จะมาอุ้มลูกชาวบ้านตามอำเภอใจเช่นนี้ได้อย่างไร
จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็รู้สึกว่าตัวเองสูงขึ้นมาทันตา
เขาเอาปลายนิ้วชี้ชนกันไปมาอยู่ในอ้อมอกของท่านลุงสุดหล่อ จะให้คนแปลกหน้ามาอุ้มไม่ได้
แต่ว่าอุ้มสักประเดี๋ยวก็คงไม่เป็นไรหรอก…
ท่านลุงสุดหล่อดูแล้วไม่ใช่คนเลว
แคว้นเจามีธรรมเนียมอุ้มหลานไม่อุ้มลูกมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่เคยอุ้มแม้แต่โอรสของตัวเอง ยามนี้กลับอุ้มเจ้าหนูน้อยสามัญชนคนหนึ่งเสียแล้ว
ที่แท้ร่างกายของเด็กน้อยก็นุ่มนิ่มเช่นนี้นี่เอง ซ้ำยังมีกลิ่นนมจางๆ อีกด้วย
“เจ้าอยู่ที่ไหนรึ” ฮ่องเต้ถามด้วยพระพักตร์อ่อนโยน
เสี่ยวจิ้งคงชี้ไปที่โรงหมอ
ถูกต้องแล้ว เขาพักอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ย แต่ตอนนี้เขาต้องไปที่โรงหมอ เพื่อนของเขาอยู่โรงหมอ
“นายท่าน…” เว่ยกงกงมองฮ่องเต้ด้วยความเป็นห่วง
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ไม่เป็นไร”
ละแวกกั๋วจื่อเจียนมีการรักษาความปลอดภัยดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ก็อยากไปดูว่าแผ่นดินของตนนั้นสงบสุขจริงหรือไม่ด้วย
“บ่าวอุ้มเองขอรับ” เว่ยกงกงยื่นมือไปหา
แม้แต่แผ่นดินเรายังแบกไว้ได้ แล้วเด็กคนเดียวจะอุ้มไม่ไหวเชียวหรือไร
ฮ่องเต้ปฏิเสธเว่ยกงกง แล้วอุ้มเสี่ยวจิ้งคงเดินไปทางโรงหมอ
ฮ่องเต้ไม่ทราบว่านี่เป็นโรงหมอที่รับผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุมารักษา เพราะเสี่ยวจิ้งคงชี้บอกทางประตูหลังให้ จึงตรงเข้ามาในเรือนเล็กๆ ของกู้เจียวเลย
ภายในเรือนนั้น ฉินฉู่อวี้กำลังกินขนมเต็มกระพุ้งแก้ม ไม่คาดคิดสักนิดว่าพ่อแท้ๆ กำลังจะมาถึงในสามวินาทีข้างหน้า
มือซ้ายเขาถือถังหูลู่ มือขวาถือขวดนมดูดจู๊ดๆ น่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง
“ฉู่อวี้!” เสี่ยวจิ้งคงเรียกเขา
“เอ้อ!” เขาขานรับไปตามความเคยชิน พอเงยหน้าขึ้น เกือบจะสำลักตาย!
ฮ่องเต้กับเว่ยกงกงก็เห็นฉินฉู่อวี้เช่นกัน
ฉินฉู่อวี้ “ทะทะทะ…ท่าน…”
เว่ยกงกง “อะอะอะ…องค์…”
ฮ่องเต้ “หุบปาก!”
ทั้งคู่หุบปากกันอย่างเชื่อฟัง
เสี่ยวจิ้งคงมองท่านลุงสุดหล่อ แล้วก็หันมามองฉินฉู่อวี้ ก่อนจะรู้สึกว่าสีหน้าของทั้งคู่แปลกๆ
“พวกเจ้ารู้จักกันรึ” เขาเอียงศีรษะน้อยๆ ถามขึ้น
เขาไม่ถามยังพอทำเนา พอเอ่ยปากขึ้น ฉินฉู่อวี้ก็หวงขึ้นมาทันที เขาโตถึงขนาดนี้แล้วเสด็จพ่อยังไม่เคยอุ้มเขาเลยสักครั้ง เหตุใดจึงได้อุ้มเจ้าเด็กนี่ได้เล่า
ฉินฉู่อวี้ทำใจกล้ามองฮ่องเต้ เห็นฮ่องเต้ไม่ได้ห้ามขนาดนั้นจึงกระแอมในลำคอแล้วเอ่ย “เขาเป็นท่านพ่อข้า”
“ที่แท้ก็เป็นพ่อเจ้านี่เอง!” เสี่ยวจิ้งคงกระจ่างแจ้งทันใด
ในชนบท หากอายุเท่าฮ่องเต้คงมีลูกหลานเต็มบ้านไปแล้ว ทว่าในครอบครัวของเสี่ยวจิ้งคงนั้นอายุห่างกันค่อนข้างมาก อีกทั้งเขาก็เคยเห็นพ่อของสวี่โจวโจวมาแล้ว (สวี่โจวโจวเป็นลูกหลง) พ่อของสวี่โจวโจวแก่กว่าพ่อของฉู่อวี้มากนัก ดังนั้นเสี่ยวจิ้งคงจึงรับได้กับเรื่องนี้ไม่น้อย
เสี่ยวจิ้งคงขยับก้นน้อยดิ้นลงจากอ้อมอกของท่านลุงสุดหล่อ
ฉินฉู่อวี้จึงได้เห็นเท้าของเขา ที่แท้ก็ไม่มีรองเท้านี่เอง จึงถูกเสด็จพ่ออุ้มกลับมา เขาจึงสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “พ่อเจ้าหล่อเหลามาก!”
อีกฝ่ายชมมาฉินฉู่อวี้จึงชมตอบ “พี่เขยเจ้าก็หล่อเช่นกัน!”
เสี่ยวจิ้งคงที่ไม่เคยรู้สึกว่าพี่เขยนิสัยไม่ดีหล่อเลย “…”
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดเข้าไปในห้องของเจียวเจียว แล้วหยิบรองเท้าหัวเสือคู่ใหม่มาเปลี่ยนให้ตัวเอง
เรือนของกู้เจียวส่วนใหญ่มีแต่ข้าวของของเสี่ยวจิ้งคงทั้งนั้น ตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงของเล่น มีครบครันทุกอย่าง
พอฮ่องเต้ปรากฏตัวขึ้น ฉินฉู่อวี้ก็ทำตัวไม่เป็นธรรมชาติทันที ขนมเขาก็ไม่กล้ากินแล้ว นมก็ไม่กล้าดื่มแล้ว วิ่งตึกๆ ไปยืนอยู่ตรงนั้น
สองคนที่ฉินฉู่อวี้กลัวมาทั้งชีวิต คนหนึ่งคือเซวียนผิงโหวท่านลุงของเขา กับอีกคนคือเสด็จพ่อ
อันที่จริงทั้งสองคนไม่เคยตีเขาสักที ตรงกันข้ามกับฮองเฮาเซียวที่บางทีโมโหขึ้นมาก็จะเอาไม้บรรทัดตีฝ่ามือเขา
ฮ่องเต้ก็อึดอัดเช่นกัน ยามนี้พระองค์เชื่อจริงๆ แล้วว่าเจ้าหนูน้อยคนนั้นเป็นนักเรียนของกั๋วจื่อเจียนจริงๆ ซ้ำยังอยู่ห้องเดียวกันกับโอรสของพระองค์อีก ทว่าเหตุใดเด็กแปดขวบคนหนึ่งจึงเล่นด้วยกันกับเด็กสี่ขวบได้เล่า
อีกทั้งฟ้ามืดเพียงนี้แล้วนึกไม่ถึงว่าเขาจะยังไม่กลับวัง
ทว่าต่อหน้าคนนอก ฮ่องเต้จึงไม่ทำให้โอรสต้องลำบากใจ
เพียงไม่นาน สวี่โจวโจวก็หอบแฮ่กๆ วิ่งกลับมา “จิ้งคงเจ้าวิ่งไปไหนแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังออกมาเท้าเอวเอียงศีรษะ “บอกแล้วว่าเจ้าตามข้าไม่ทัน แบร่ๆ!”
“เขาเป็นใครรึ” แม้ว่าบิดาของสวี่โจวโจวจะเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก แต่เขาไม่เคยเจอฮ่องเต้มาก่อน
“เขาเป็นพ่อของฉู่อวี้” เสี่ยวจิ้งคงแนะนำ
“อ๋อ” สวี่โจวโจวเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท “สวัสดีท่านลุงฉู่!”
พ่อของสวี่โจวโจวบอกแค่ว่าให้เล่นกับฉู่อวี้ แต่ไม่ได้บอกว่าความจริงแล้วฉู่อวี้เป็นองค์ชาย สวี่โจวโจวย่อมไม่รู้ว่าความจริงแล้วฉู่อวี้แซ่ฉิน
เด็กสองคนนี้ไม่รู้ตัวตนของฉินฉู่อวี้ ดูท่าแล้วจะได้เพื่อนแท้มา สีหน้าของฮ่องเต้ไม่ได้เคร่งขรึมเพียงนั้นแล้ว
เด็กสามคนเล่นด้วยกันอยู่สักพัก นางกำนัลของฉินฉู่อวี้ก็มารับเขากลับวัง พอพวกคนในวังเห็นฮ่องเต้เข้าก็พากันตกอกตกใจเกือบตาย
ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยอะไร กะว่าจะพาฉินฉู่อวี้กลับเอง ทว่าจู่ๆ ก็มีเสียงร้องห่มร้องไห้ของหญิงจำนวนหนึ่งดังลอยมาจากนอกเรือน
ฮ่องเต้พลันขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นรึ”
เสี่ยวจิ้งคงทอดถอนใจ “คนในครอบครัวของคนที่บาดเจ็บน่ะสิ วันนี้โรงหมอมีคนเจ็บมาเยอะมากเลย บาดเจ็บสาหัสมากๆ ด้วย คนในครอบครัวของพวกเขาเสียใจกันยิ่งนัก”
ผู้บาดเจ็บเยอะมากอย่างนั้นรึ
เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจของฮ่องเต้ พระองค์ส่งสายตาให้เว่ยกงกง
เว่ยกงกงกระจ่างแจ้งทันที ก่อนจะไปสืบถามที่ห้องโถงใหญ่ด้านหน้า
ไม่ถามก็คงไม่รู้ พอถามแล้วน่าตกใจยิ่งนัก ผู้บาดเจ็บที่เมี่ยวโส่วถังรับมาเป็นนายช่างและเจ้าหน้าที่ในกรมโยธาที่บาดเจ็บจากอุบัติเหตุจำนวนหลายสิบคน เต็มทั้งชั้นบนชั้นล่างไปหมด