สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 207 ยัยขี้ขลาด
บทที่ 207 ยัยขี้ขลาด
เมื่อแม่นางเหยาย้ายมายังตรอกปี้สุ่ย ทุกคนต่างต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี บรรยากาศในเรือนเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
นางมิได้พาสาวใช้มาด้วยแต่อย่างใด จะมีก็แค่แม่นมฝางคนเดียว
กู้เหยี่ยนยกห้องของตัวเองให้แม่นางเหยา ส่วนเขาย้ายไปนอนกับกู้เสี่ยวซุ่นแทน
กู้เสี่ยวซุ่นเองก็มิได้ติดขัดอะไร เพราะเตียงเขาเองก็ออกจะใหญ่โตชนิดที่ว่าให้คนสามคนขึ้นไปนอนก็ไม่มีปัญหา! อีกทั้งพวกเขาก็ยังเรียนที่เดียวกัน สนิทกันอย่างกับเป็นพี่น้องเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันจริงๆ
แม่นางเหยาและแม่นมฝางย้ายเข้าไปพักที่ห้องกู้เหยี่ยน
ด้วยความที่จี้จิ่วอาวุโสอยู่เรือนข้างๆ ยามหญิงชราไปทวงเงินเขา ก็ไม่อยากเดินอ้อมประตูใหญ่ทุกครั้ง เลยวานให้กู้เจียวทุบกำแพงให้ เรือนของพวกเขาจึงกลายสภาพเป็นเรือนสี่ประสานแบบประยุกต์ไปโดยปริยาย
ที่แม่นมฝางมานอนห้องเดียวกันกับแม่นางเหยา ก็เพื่อจะได้ดูแลได้สะดวกยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องการตั้งครรภ์ แม่นางเหยาไม่คิดจะปิดบังอะไรพวกเขาอยู่แล้ว ทุกคนต่างรู้ว่าครรภ์ของแม่นางเหยามีทารกน้อยนอนอยู่
กู้เหยี่ยนจ้องที่ท้องป่องของแม่นางเหยาอยู่นานสองนานด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นพี่แล้ว
เสี่ยวจิ้งคงเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าแม่นางเหยา เอามือไขว้หลังพลางเอียงหัวด้วยความสงสัย “ฮูหยิน เด็กคนนี้จะได้เป็นน้องชายหรือน้องสาวกันล่ะ”
แม่นางเหยาหัวเราะงอหายพลางถาม “เสี่ยวจิ้งคงอยากได้น้องชายหรือน้องสาวล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่นาน มองซ้ายมองขวา พอแน่ใจแล้วว่าเซียวลิ่วหลังไม่อยู่ที่เรือน เสี่ยวจิ้งคงเขย่งขาแล้วกระซิบเข้าไปที่ข้างหูของแม่นางเหยา “ข้าอยากได้น้องชายที่เหมือนกับพี่เขยตัวแสบ”
เขาจะได้เล่นงานพี่เขยตัวแสบได้อย่างไรเล่า!
อุวะฮะฮ่า!
เสี่ยวจิ้งคงยังนึกเสียดายไม่หายเรื่องที่พี่เขยตัวแสบกลายร่างเป็นเจ้าแปดไม่ได้ จึงคิดจะฝากความหวังไว้ที่เด็กน้อยในครรภ์ของแม่นางเหยา
ความคิดของเด็กน้อยผู้นี้ช่างประหลาดนัก เขามองว่า ขอแค่เด็กคนนี้เกิดมา ก็เท่ากับว่าเด็กคนนี้คือพี่เขยตัวแสบ
แม่นางเหยาเดาความคิดของเขาได้เสียที่ไหน ยังนึกว่าที่เสี่ยวจิ้งคงอยากได้น้องชายเพราะจะได้มีเพื่อนเล่นด้วยซ้ำ
ไม่ง่ายเลยที่นางจะตั้งท้องได้ในเวลาแบบนี้ ก็เลยมองว่าจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง นางก็ไม่ติดทั้งนั้น
เสี่ยวจิ้งคงเข้ามาประคบประหงมที่ครรภ์ของแม่นางเหยาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปทำอย่างอื่นต่อ
เซียวลิ่วหลังช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง เพราะเฝิงหลินเจอเข้ากับปัญหา เขาเป็นคนอำเภอซง พอเฝิงหลินสอบได้ ก็มีคนแอบอ้างชื่อเขาไปค้ำที่นา
เพราะในแคว้นเจามีข้อกำหนดอยู่ว่า หากใครสอบจวี่เหรินได้ จะสามารถลดหย่อนภาษีได้
พ่อแม่ของเฝิงหลินไม่ได้ทำไร่ทำนาอยู่แล้ว เป็นฝีมือของญาติๆ ที่เอาชื่อของเขาไปแอบอ้างเพื่อให้ใด้มาซึ่งทรัพย์สินที่ไม่ควรจะครอบครอง และตัวเขาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
ที่เขารู้เรื่องได้เป็นเพราะราชสำนักกำลังจะจัดการกับเรื่องการค้ำที่นาอยู่พอดี เลยเอากรณีศึกษาจากอำเภอซง
เรื่องนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ ก็คงร้ายแรงถึงขั้นที่ว่าสามารถทำให้เฝิงหลินเสื่อมเสียชื่อเสียงและไม่อาจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้อีก
เฝิงหลินจึงร้อนรนกับเรื่องนี้มาก
เซียวลิ่วหลังถามเขาว่าบิดามารดาของเขามีส่วนรู้ส่วนเห็นกับเรื่องนี่หรือไม่ เฝิงหลินจึงให้คำตอบไปว่าไม่ อย่างไรก็ตาม เขาทราบมาว่าญาติของเขาได้มอบของขวัญให้แก่พ่อแม่เขา โดยบอกว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เฝิงหลินตั้งใจเรียนหนังสือ แต่พอเกิดเรื่องขึ้น พวกเขากลับบอกว่าของขวัญที่ว่าก็คือเงินปันผลจากที่นา
เพื่อไม่ให้เฝิงหลินต้องเดือดร้อน พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะผูกคอตาย แต่โชคยังดีที่น้องสาวเฝิงหลินเข้ามาห้ามไว้ทัน
เรื่องนี้จะช้าจะเร็วอย่างไรก็ต้องสะสาง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอันใด แค่ให้เฝิงหลินเดินทางกลับบ้านเกิดแล้วเดินหน้าไกล่เกลี่ยกับพวกเขาก็หมดเรื่อง แต่ว่าเฝิงหลินกำลังสอบชุนเหว่ยอยู่จึงไปไหนไม่ได้
เซียวลิ่วหลังจึงไปสืบเสาะหาข้อมูลอยู่นานสองนาน ก็ได้ความว่าขุนนางท้องถิ่นที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ครึ่งหนึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของเฒ่าเฟิง แถมตอนที่เฒ่าเฟิงดำรงตำแหน่งหงหลูซื่อชิงอยู่ก็เคยเลื่อนขั้นให้พวกเขา เซียวลิ่วหลังจึงส่งจดหมายด่วนถึงพวกเขาในฐานะที่เป็นศิษย์ของเฒ่าเฟิงเหมือนกัน
พอเซียวลิ่วหลังกลับมาถึงตรอกปี้สุ่ย ก็พบว่าเวลานี้เสี่ยวจิ้งคงที่ควรจะนั่งทำการบ้านของตัวเอง กลับมานั่งหยองอยู่หน้าประตูเรือนพร้อมกับเจ้าหมาน้อย ลูกเจี๊ยบเจ็ดตัว และลูกเหยี่ยวตัวจ้อย
ยืนเรียงกันพร้อมเพรียงเชียว!
เซียวลิ่วหลังเอ่ยทักด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำในคราวเดียวกัน “นี่รอต้อนรับข้าอยู่รึ”
เสี่ยวจิ้งคงชำเลืองพี่เขยหนึ่งที ก่อนจะยื่นป้ายสีทองให้เขาดู “นี่เป็นของขวัญที่เจียวเจียวมอบให้ข้า!”
ก็นึกว่าจะมีอะไรเสียอีก ที่แท้ก็มารออวดของอยู่นี่เอง
แวบแรกเซียวลิ่วหลังนึกว่าป้ายนั้นเป็นแค่ของเด็กเล่นทั่วไป แต่พอลองถือดู ทั้งน้ำหนักและผิวสัมผัสของมันทำให้เขาเกิดความรู้สึกสงสัย พอสังเกตดูดีๆ ก็ถึงกับผงะ
นี่มัน ป้ายละตายอาญาสิทธิ์มิใช่รึ!
เดี๋ยวก่อนนะ ช่วงที่เขาไม่อยู่เรือน นางถึงกับไปเอาป้ายละตายอาญาสิทธิ์มาเลยเชียวรึ
แล้ว ทำอิท่าไหนถึงได้มันมากันเล่า
“เจียวเจียวมอบให้ข้า! เจ้าเอาไปไม่ได้นะ!” เสี่ยวจิ้งคงพยายามเขย่งเอื้อมมือไปคว้าป้ายทองกลับมา
“อย่างกสิ” เซียวลิ่วหลังหยุมหัวเสี่ยวจิ้งคงหนึ่งที ก่อนจะรีบเดินเข้าเรือน
เสี่ยวจิ้งคงที่โดนหยุมหัวแต่ไร้ทางสู้กลับได้แต่ดีดดิ้นไปมา!
เนี่ย เนี่ย ดูสิ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงอยากโตเร็ว! เขาจะโตให้ตัวเท่ากับพี่เขยตัวแสบ แล้วจะกดให้พี่เขยตัวแสบตัวเล็กลง ทีนี้เข้าจะได้หยุมหัวพี่เขยตัวแสบให้สาแก่ใจไปเลยเชียว!!
เซียวลิ่วหลังเจอกับแม่นางเหยาที่หลังเรือน
ก่อนหน้านี้กู้เจียวเคยบอกกับเขาเรื่องที่แม่นางเหยาจะย้ายเข้ามาอยู่ในเรือน เขาจึงไม่มีท่าทีตกใจอะไร
ไม่นานมานี้เขาเพิ่งค้นพบว่า พอกู้เจียวอยู่ใกล้ๆ แม่นางเหยา นางจะปฏิบัติตัวดีขึ้น
แม้แต่กู้เจียวเองก็คงไม่ทันได้รู้ตัว
เซียวลิ่วหลังเอ่ยทักทายแม่นางเหยา ก่อนจะเดินไปที่ครัว
กู้เจียวกำลังหั่นผักอยู่
“อารมณ์ดีเชียว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทัก
“ก็ปกตินี่” กู้เจียวเอียงหัวพลางเอ่ย
เซียวลิ่วหลังนึกในใจ ก็ท่าทางมันฟ้องนี่นา
อาจเป็นเพราะสามแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่นางเหยาจึงเริ่มอารมณ์ดีขึ้น ความอยากอาหารก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ
กู้เจียวเองก็เช่นกัน เซียวลิ่วหลังสังเกตว่าพักนี้นางกินข้าวเยอะขึ้นกว่าเดิม แม้แต่ผักที่นางเกลียดอย่างดอกไม้จีนก็กินเข้าไปได้ตั้งสองคำ
ตัดภาพไปที่กู้จิ่นอวี๋ ที่สภาพดูเหมือนไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
นางถูกส่งไปยังกรมราชทัณฑ์โดยฮ่องเต้ ข้อหาทำลายราชลัญจกร แม้เรื่องนี้จะอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ยังไม่มีการลงโทษเสียทีเดียว แต่เด็กสาวตัวเล็กๆ ต้องมาถูกคุมขังอยู่ในห้องมืดมิดเย็นยะเยือกแบบนี้ อย่าว่าแต่ผวาเลย ที่น่าเป็นห่วงก็คือเรื่องสุขภาพของนาง
ตอนแรกนางคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตงิดใจ
ทว่าระดับฮ่องเต้มาสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
กู้จิ่นอวี๋ยอมรับว่านางสำคัญตัวเองมากไป คิดไปเองว่านางมีดีพอที่จะให้ฝ่าบาททรงสนพระทัย แต่ตลอดสองวันที่ผ่านมา นางลองพินิจพิเคราะห์ดูก็นึกขึ้นได้ว่าแต่ไหนแต่ไรพระองค์ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการอภิเษกสมรสของเจ้าหญิงหลายๆ พระองค์ในวังเลยแม้แต่นิด มีเพียงแค่เซียวฮองเฮาและจวงกุ้ยเฟยเท่านั้นที่ดูแลเรื่องนี้
ยิ่งกว่านั้นด้วยของล้ำค่าอย่างราชลัญจกรหยก พระองค์จะทรงใส่ไว้ในกองรูปภาพได้อย่างไรกัน
พระองค์ต้องจงใจใส่ร้ายนางแน่ๆ
ขณะที่กู้จิ่นอวี๋ปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะยอมรับว่าได้ขโมยสิ่งประดิษฐ์ของกู้เจียว พระองค์ก็ทรงตัดสินลงโทษไปก่อนแล้ว
ฝ่าบาทมิใช่คนประเภทผันผวนปรวนแปรแต่อย่างใด ทรงใช้วิธีการอันแยบยลในการจัดการกับคน พระองค์จึงเลือกนำราชลัญจกรมาอ้าง
แต่กระนั้น พระองค์ก็มิได้ลงโทษตนเลยในทันที ทรงกำลังรออะไรอยู่กันแน่
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออก
เว่ยกงกงนี่เอง เขาก้าวเท้าเข้ามาด้านในห้อง
กู้จิ่นอวี๋มองเขาด้วยความตื่นเต้น “เว่ยกงกง! ท่านมาแล้วรึ! ฝ่าบาทให้ท่านมาใช่หรือไม่ ข้า… ข้าไม่ได้ตั้งใจ! ข้าไม่รู้มาก่อนว่าราชลัญจกรตั้งอยู่ตรงนั้น! ได้โปรดท่านช่วยทูลฝ่าบาทให้ข้าทีเจ้าค่ะ!”
เว่ยกงกงยิ้มอ่อน ถอนหายใจแล้วเอ่ย “ดูท่านพูดเข้า ข้าน้อยเป็นแค่บ่าว ไม่มีปัญญาพูดโน้มน้าวฝ่าบาทได้หรอกจริงไหม อีกอย่าง พระองค์ทรงกริ้วหนัก ข้าน้อยเองก็มิบังอาจพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เกรงว่าจะยิ่งเป็นการเทน้ำมันลงกองไฟน่ะสิ”
กู้จิ่นอวี๋มีสีหน้าผิดหวัง “แล้วที่กงกงมาในวันนี้ด้วยเหตุอันใดรึ หรือว่าฝ่าบาททรงตัดสินโทษให้หม่อมฉันแล้ว”
“ที่ข้าน้อยมาในวันนี้ เพื่อจะมาชี้ทางสว่างให้ท่าน” เว่ยกงกงหัวเราะก่อนเอ่ยต่อ “ท่านคงเข้าใจดีนะขอรับ ว่าโทษข้อหาสร้างความเสียหายแก่ราชลัญจกรนั้นร้ายแรงเพียงใด หากท่านยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็โปรดสารภาพความจริงเรื่องเครื่องสูบลมเสีย”
สีหน้ากู้จิ่นอวี๋เริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ
ฝ่าบาทเคยตรัสไว้ว่าเครื่องสูบลมนั่นเป็นสิ่งประดิษฐ์ของนางหมอเทวดา ไม่ว่าเรื่องนี้จะถูกป่าวประกาศออกไปหรือไม่ อย่างไรก็ไม่ทรงอนุญาตให้ใครมาขโมยไปได้ แล้วยิ่งเป็นบุคคลใกล้ตัวเช่นนี้ที่เอาแต่พูดจาใส่ร้ายป้ายสีนางหมอเทวดาแถมยังขโมยความคิดของนางมาอีก ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!
เว่ยกงกงได้แต่ยิ้มแห้ง “ข้าน้อยมาแจ้งได้เพียงเท่านี้ โปรดท่านพิจารณา เพียงแต่ข้าน้อยขอถือวิสาสะเอ่ยเตือนท่านสักหนึ่งประโยค ความอดทนของพระองค์ทรงมีขีดจำกัด”
หลังจากที่เว่ยกงกงเดินออกไป กู้จิ่นอวี๋ก็เกิดเข่าอ่อนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
เหตุใดฝ่าบาทต้องออกตัวแทนนางเด็กบ้านนอกนั่นด้วย
ก็แค่คิดค้นเครื่องสูบลมได้ก็แค่นั้น จะแน่สักแค่ไหนเชียว
แล้วอย่างไรเล่า นอกจากเรื่องนี้ นางยังทำอะไรได้อีก!
ใยฝ่าบาทต้องออกตัวปกป้องนางนั่นด้วย!
กู้จิ่นอวี๋ได้แต่บันดาลโทสะ
กระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะยังคงถูกขังอยู่เหมือนเดิม พอตกกลางคืน สาวใช้คนสนิทของกู้จิ่นอวี๋แวะมาเยี่ยม กู้จิ่นอวี๋จึงวานให้สาวใช้ไปขอความช่วยเหลือจากซูเฟย
ฮ่องเต้ทรงรู้อยู่แล้วว่าซูเฟยจะต้องออกตัวช่วยเหลือกู้จิ่นอวี๋ จึงให้ฉินฉู่อวี้มาอยู่กับเซียวฮองเฮาแทน
แม้เซียวฮองเฮาจะประคบประหงมลูกชายมากขนาดไหน แต่เอาเข้าจริง พอให้ลูกมาอยู่ใกล้ๆ ขนาดนี้ก็กลายเป็นว่าจะทำกงการอะไรกับฮ่องเต้ก็ไม่สะดวกเลยสักนิด!
เซียวฮองเฮาชำเลืองเด็กอ้วนที่กำลังนั่งกินผลไม้ พลางทำหน้าเหนื่อยหน่าย “ฝ่าบาท พรุ่งนี้ยังจะให้เจ้าเจ็ดมาอีกหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้ “อืม ช่วงนี้ข้าเอ็นดูเขามากเลยล่ะ”
ฉินฉู่อวี้ผู้ไม่รู้เรื่องอะไร “…”
พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยมาถึงปลายเดือนสองแล้ว อีกไม่กี่วันก็ถึงช่วงประกาศรายชื่อแล้ว เหล่าผู้เข้าสอบทั้งหลายเริ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับ และทุกวันบริเวณหน้าลานสอบมักจะมีผู้เข้าสอบมาด้อมๆ มองๆ รอประกาศผลสอบ
หลังจากผ่านไปสิบวันกับการปลีกตัวจากโลกภายนอกเพื่อตรวจข้อสอบก็ใกล้จะสิ้นสุดลง
“นี่เป็นข้อสอบชุดสุดท้ายแล้วนะ” รองหัวหน้าฝ่ายพิธีการเอ่ยขึ้น
หัวหน้าฝ่ายพิธีการขยี้ตาอันเมื่อยล้าก่อนเอ่ย “เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน ทุกท่านโปรดเชิญพักผ่อนตามสบาย พรุ่งนี้ทุกอย่างคงจะเสร็จสิ้น”
กว่าจะตรวจเสร็จคาดว่าคงใช้เวลาถึงช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น
ข้าหลวงทุกคนลุกขึ้นยืนพร้อมกับบิดตัวไปมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับ “ราตรีสวัสดิ์ขอรับ”
คืนเดือนมืด ลมพัดโชย
ช่วงเวลาแห่งการหลับไหลได้เริ่มขึ้น
ณ ห้องฝั่งตะวันออก กู้เจียวเอนตัวลงบนเตียง
แม้จะเป็นปลายเดือนสอง แต่อาศยังคงหนาวเหน็บอยู่บ้าง แต่กู้เจียวเป็นคนขี้ร้อน ไม่กลัวหนาว
พอห่มผ้าห่มลงบนตัว ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
จากนั้น นางก็ฝันอีกครั้ง