สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 221 ความสามารถอันน่าสะพรึงกลัว
บทที่ 221 ความสามารถอันน่าสะพรึงกลัว
ฮ่องเต้รู้สึกว่าหากมีวันไหนพระองค์อายุสั้นขึ้นมาก็คงเป็นเพราะเซียวจี่ทำให้โมโหโกรธาเป็นแน่
สาวงามเป็นร้อยเป็นพันในวังหลังไม่เคยได้แตะต้องวรกายของพระองค์ แต่แค่ประโยคเดียวของเซียวจี่ก็สามารถทิ่มแทงหัวใจของพระองค์จนทะลุได้แล้ว!
ฮ่องเต้ชักสีหน้าทันที
สีหน้าของท่านเหล่าโหวก็บึ้งตึงขึ้นมาเช่นกัน
เซวียนผิงโหวผู้นี้ยามไม่ได้พูดจา แลดูสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตัว พอเอ่ยปากขึ้นมาเท่านั้นล่ะ ก็แทบฟังไม่ได้เลย!
เซวียนผิงโหวหันหน้าไปก็พบว่าเป็นขบวนเสด็จของฮ่องเต้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไร้ซึ่งความลนลานหรือร้อนตัวที่โดนจับได้เลยสักนิด เขาหันมาประสานมือคำนับให้อย่างสง่างามเคร่งขรึม “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ว่ากันตามจริงในบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นนั้นไม่มีใครคำนับได้สวยและสง่างามเท่าเขาแล้ว
ฮ่องเต้จิตใจว้าวุ่น ชายาสนมที่งามที่สุดยังไม่เคยทำให้พระองค์อารมณ์แปรปรวนเช่นนี้มาก่อน
เมื่อแม่ทัพเหลียงได้ยินคำว่าฝ่าบาทก็พลันตกอกตกใจจนอกสั่นขวัญหายไปหมด เขาลนลานหันมาค้อมกายลงต่ำกว่าเคย
ท่านเหล่าโหวยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ แต่ท่านเหล่าโหวสวมหน้ากากเอาไว้ ด้วยเหตุนี้แม่ทัพเหลียงจึงไม่รู้ว่าเป็นเขา
แม่ทัพเหลียงใจเต้นระส่ำเช่นกัน น่าตื่นเต้นนัก บทสนทนาเมื่อครู่นี้ฝ่าบาทได้ยินเข้าหรือไม่นะ ฝ่าบาทจะเกรี้ยวโกรธสั่งประหารเขากับเซวียนผิงโหวหรือไม่
ไม่สิ เซวียนผิงโหวเป็นคนพูดต่างหาก
ตนแค่โดนลูกหลงไปด้วยเท่านั้น
แม่ทัพเหลียงจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ…
เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ฝ่าบาทเสด็จมาพอดีเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมกำลังจะฝึกทหารพอดี ฝ่าบาทจะทอดพระเนตรสักกระบวนสองกระบวนหรือไม่”
สายตาฮ่องเต้เย็นเยียบ “เหอะ เราดูไปก็ไม่เข้าใจหรอก”
เซวียนผิงโหวยิ้มจาง “คนในวงการดูช่องทาง คนนอกวงการดูเพื่อสนุกอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ “…”
ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องโดนเจ้านี่กวนโมโหตายแน่!
จะว่าไปแล้วฮ่องเต้กับเซวียนผิงโหวก็เป็นเครือญาติกัน พระองค์แต่งกับน้องสาวของเซวียนผิงโหว เซวียนผิงโหวแต่งกับน้องสาวพระองค์
และฮ่องเต้มักจะคิดอยู่บ่อยครั้งว่าเหตุใดจึงได้เป็นพี่เขยน้องเชยกับเจ้านี่ด้วย
วันนี้เดิมทีพระองค์กับท่านเหล่าโหวจะมาดูการฝึกทหาร พระองค์พาท่านเหล่าโหวเดินไปทางหอสังเกตการณ์
เมื่อท่านเหล่าโหวที่สวมหน้ากากเดินผ่านเซวียนผิงโหวนั้น เซวียนผิงโหวก็พลันหยักยกมุมปากขึ้น “ลิงเฒ่า”
ท่านเหล่าโหวพลันชะงัก “…!!!”
เจ้าหมอนี่ อยากต่อยเขาให้ตายจริงๆ!
ท่านเหล่าโหวโมโหเสียจนใจเต้นถี่รัว หน้ากากแทบจะร่วงลงพื้นอยู่รอมร่อ
หนึ่งฮ่องเต้หนึ่งขุนนางเดินขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ ทหารในค่ายทุกคนก็ถูกเรียกมายังสนามหญ้า
เมืองหลวงมีค่ายทหารน้อยใหญ่ทั้งหมดแปดแห่ง ทหารตระกูลกู้ดั้งเดิมถูกกระจายไปในค่ายที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้นเป็นค่ายใหญ่หู่ซานที่มีมากที่สุด
ค่ายใหญ่หู่ซานเป็นอาณาเขตของแม่ทัพใหญ่เปียวฉี แม่ทัพใหญ่เปียวฉีไม่ค่อยลงรอยกันกับท่านเหล่าโหวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทหารตระกูลกู้อยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นนี้ ไม่ต้องคิดก็เดาออกว่าผลจะเป็นเช่นไร
หลายปีมานี้ทหารตระกูลกู้จำนวนไม่น้อยโดนเขาทรมานทรกรรม ทุกคนต่างกัดฟันอดทนไม่ก่อเรื่อง เหตุผลหลักสืบเนื่องมากจากประโยคนั้นของท่านเหล่าโหวที่ว่า ‘พวกเจ้าเป็นทหารตระกูลกู้ แต่คนที่พวกเจ้าต้องจงรักภักดีไม่ใช่ข้า ไม่ใช่แม่ทัพคนไหน แต่เป็นฝ่าบาทแห่งแคว้นเจา พวกเจ้าต้องปกป้องปวงชนชาวแคว้นเจาทั้งหมด หนึ่งในนั้นก็มีครอบครัวของพวกเจ้าและครอบครัวของข้าด้วย’
นั่นสิ คนที่พวกเขาต้องปกป้องก็มีครอบครัวของพวกเขาเองและครอบครัวของท่านเหล่าโหวด้วย
หลังจากที่กู้ฉังชิงเข้ามาในค่ายใหญ่หู่ซาน ทหารตระกูลกู้ก็ยิ่งอดทนกว่าเดิม ไม่ว่าแม่ทัพใหญ่เปียวฉีจะจงใจจัดการกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีทางหนีทัพเด็ดขาด
พวกเขาแอบปกป้องกู้ฉังชิงโดยไม่ต้องบอก เฝ้าคอยให้มีสักวันที่กู้ฉังชิงจะรวบรวมทหารตระกูลกู้ทั้งหมดเข้าสู่สนามรบกำราบศัตรูเหมือนอย่างท่านเหล่าโหว!
หากแต่วันคืนที่กู้ฉังชิงอยู่ในค่ายก็ไม่ได้นับว่าสบายอกสบายใจนัก
เขาเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด หากบอกว่าไม่โดนรังแกก็คงไม่ถูก
วันนี้เหตุใดจึงเชิญเซวียนผิงโหวมาเล่า มิใช่เพราะแม่ทัพใหญ่เปียวฉีกังวลว่าตนปรากฏตัวขึ้น พวกทหารตระกูลกู้จะก่อเรื่องด้วยความโกรธแค้นทำเอาอเนจอนาถหรอกหรือ
ทหารทั้งหมดมาเข้าแถวกันเสร็จเรียบร้อย รวมถึงทหารตระกูลกู้ด้วย
เซวียนผิงโหวก็พลิกตัวขึ้นม้า เริ่มระดมพลของวันนี้ทันที
ชั่วขณะที่เขาสวมเกราะและหมวกเหล็ก ทั่วร่างพลันรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น ฮึกเหิมขึ้น น่าเกรงขามขึ้นและหยิ่งผยองขึ้นทันที!
ไม่มีใครสนใจใบหน้าหล่อเหลาภายในหมวกเหล็กนั่นอีก ทุกคนต่างสั่นสะท้านกับไอสังหารในแววตาเขาและมาดนักรบของเขากันหมด สามารถต้านทัพได้เป็นพันเป็นหมื่นคนด้วยเขาคนเดียว!
นี่เป็นบุรุษที่เกิดมาเพื่อสู้รบ ฆ่าไม่ตาย เคยรบชนะและเคยปราชัย เป็นคนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ได้ และคว้าชัยชนะได้ ไม่เคยหลบเลี่ยง!
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรชมเสียจนเลือดลมพลุ่งพล่าน แทบจะลงสนามไปรบเองรอมร่อ เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่ลงโทษเขาแล้วก็ได้
ท่านเหล่าโหวมองทหารตระกูลกู้ที่ตัวเองพามาด้วยสีหน้าซับซ้อน
ฮ่องเต้ฝืนดึงความสนใจออกจากเซวียนผิงโหว แล้วหันไปถามท่านเหล่าโหว “ท่านเหล่าโหวคงเสียใจที่เราส่งมอบพวกเขาให้แก่แม่ทัพใหญ่เปียวฉีกระมัง”
ทหารตระกูลกู้อยู่ในค่ายอื่นนั้นราบรื่นสบายดี ไม่ได้โดนกีดกันสักนิด แต่ภายใต้การทรมานจากแม่ทัพใหญ่เปียวฉีกลับเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด แม้แต่กู้ฉังชิงยังไม่รู้เลยว่าได้รับความลำบากยากเข็ญไปเท่าใดต่อเท่าใดแล้ว
ท่านเหล่าโหวถอนใจเอ่ย “พวกเขาเป็นลูกชายแคว้นเจา ความลำบากทั้งหมดที่พวกเขาได้รับในวันนี้ก็เพื่อการใหญ่ของฝ่าบาท กระหม่อมไม่เสียใจ พวกเขาก็ไม่เช่นกัน”
มีเพียงการกระจายไปอยู่ภายใต้การทรมานของแม่ทัพใหญ่เปียวฉีที่รับมือด้วยยากที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้จงใจกลั่นแกล้งท่านเหล่าโหว ท่านเหล่าโหวจะได้มีเหตุผลเพียงพอในการผิดหวังอย่างเจ็บปวดต่อฝ่าบาท
เขาแตกหักกับฝ่าบาทแล้ว จึงไม่มีใครสงสัยว่าเขาแอบรับใช้ฝ่าบาทต่ออย่างลับๆ
ฮ่องเต้ถอนใจอีกหน “เช่นนั้นเราจะหาโอกาสย้ายฉังชิงมาเป็นหน่วยส่วนพระองค์ เราได้ยินมาว่าเมื่อปีที่แล้วตอนเขาฝึกไม่ทันระวังจึงบาดเจ็บ สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้มีน้อยๆ”
ถึงแม้จะรู้ว่ากู้ฉังชิงไม่มีทางฟ้องท่านโหวกู้ แต่ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงทำให้สงบสุขเป็นพิเศษ
ท่านโหวกู้มีความซับซ้อนวาบผ่านแววตาไป “ในสนามรบโหดร้ายกว่าค่ายทหารมากนัก หากแม้แต่อุปสรรคแค่นี้เขายังทนไม่ได้ ต่อไปจะนำทัพทำสงครามได้อย่างไร ฝ่าบาทกับกระหม่อมต่างรู้แจ้งกันดีแก่ใจ เรื่องศึกสงครามนั้นสักวันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี”
นั่นสินะ ท้ายที่สุดก็ต้องเกิดสงคราม ไม่ช้าก็เร็ววันนั้นก็ต้องมาถึง
ยามนี้ทุกครั้งที่มีความทรมานเพิ่มขึ้นมาก็จะมีความเป็นไปได้ในการรักษาชีวิตเอาไว้ในสนามรบเพิ่มมากขึ้น
ต่อให้แม่ทัพใหญ่เปียวฉีมุ่งเป้าไปยังกู้ฉังชิงกว่านี้ ก็ไม่มีทางเอาชีวิตเขาอย่างโจ่งแจ้งจริงจัง ศัตรูต่างหากที่จะลงมือโดยไม่ไว้ชีวิตอย่างแท้จริง
ตอนนี้ฮ่องเต้จึงเอ่ยอะไรอีกไม่ได้แล้ว
การฝึกทหารจบสิ้นลง ฮ่องเต้กับท่านเหล่าโหวก็เดินลงจากหอสังเกตการณ์
ฮ่องเต้นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงตรัสกับท่านเหล่าโหว “จริงสิ ลืมแสดงความยินดีกับท่านโหวเลย ฉังชิงผ่านไปถึงด่านที่สิบสามแล้ว”
ประโยคนี้ทรงตรัสขึ้นมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ท่านเหล่าโหวก็เข้าใจโดยทันที
นั่นคือด่านอรหันต์สิบแปดองค์ที่เขาได้สร้างขึ้นในถ้ำหินปูนหลังเขาไว้นานแล้ว มีทั้งหมดสิบแปดด่าน แต่ละด่านจะโหดและอันตรายขึ้นเรื่อยๆ
คนที่ผลการทดสอบที่ดีที่สุดในยามนี้ก็คือกู้ฉังชิง เมื่อเดือนที่แล้วเขาผ่านไปถึงด่านที่สิบสามแล้ว
หลานชายของแม่ทัพใหญ่เปียวฉีตามมาติดๆ ผ่านมาถึงด่านที่สิบสองแล้ว ได้ยินว่าหมู่นี้เขาฝึกวรยุทธ์ได้ไม่เลวเลย คาดว่าจะผ่านไปถึงด่านที่สิบสามได้เช่นกัน
“ด้านในได้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เพิ่มความยากมากขึ้น ท่านเหล่าโหวจะไปดูหรือไม่” ฮ่องเต้ถาม
ท่านเหล่าโหวประสานมือ “พ่ะย่ะค่ะ”
ในกระโจมของขุนนางแพทย์ทหาร หมอหลูกำลังพยายามตรวจสอบคุณภาพยาที่กู้เจียวเอมาส่งให้อย่างเต็มที่
ค่ายทหารตรวจสอบพวกยาสมุนไพรเข้มงวดกรวดขันมาก วันนี้หมอคนอื่นไม่อยู่ เขาคนเดียวจึงตรวจได้ไม่เร็วนัก
กู้เจียวนั่งอยู่ในกระโจมอย่างเบื่อหน่ายยิ่ง
หญิงนางหนึ่งอยู่ในกระโจมเดียวกันกับเขาที่เป็นชายชาตรีมันช่างดูไม่ค่อยดีนัก หมอหลูจึงยิ้มแล้วเอ่ย “แม่นางกู้นั่งรอเดี๋ยวนะ หากอุดอู้จริงๆ ก็ออกไปเดินเล่นข้างนอกดู แต่อย่าเดินไปไกลเชียว อย่าไปเกินกระโจมข้างหน้านั่น”
หากเป็นคนอื่น เกรงว่าหมอหลูคงไม่ได้ต้อนรับขับสู้ถึงเพียงนี้ ทว่าใครให้กู้ฉังชิงเป็นคนมากำชับเขากันเล่า
กู้ฉังชิงไม่ได้บอกไปตรงๆ ว่าเป็นน้องสาวของตัวเอง แต่คนที่สามารถทำให้เขาที่เป็นมัจจุราชหน้าน้ำแข็งออกหน้ากำชับได้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงไม่ธรรมดาแน่นอน
ส่วนจะไม่ธรรมดาเท่าใดนั้น หมอหลู่ก็จะไม่ไปซักไซ้ถามสืบเรื่องแล้ว
คนที่อึดอัดอยู่ในกระโจมที่สุดหาใช่กู้เจียวไม่ แต่เป็นหมอหลู่ที่เป็นชายชาตรีคนนี้ กู้เจียวสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของเขาหลายคราแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าชาติไหนจะตรวจสอบยาแก้ปวดเสร็จสิ้น นางยังต้องกลับไปรับเซียวลิ่วหลังกับเสี่ยวจิ้งคงเลิกเรียนที่กั๋วจื่อเจียนอีกนะ
เมื่อความคิดแวบเข้ามา กู้เจียวจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นดีกว่า หมอหลู่จะได้มีสมาธิในการปรับปรุงประสิทธิภาพให้มากขึ้น
ค่ายใหญ่หู่ซานอยู่ติดภูเขา อีกทั้งภูเขาลูกนั้นก็ชื่อว่าหู่ซาน ดังนั้นจึงได้ตั้งชื่อนี้ขึ้นมา
หมอหลู่บอกแค่ว่าไม่ให้นางเดินเลยกระโจมข้างหน้านั้น แต่ไม่ได้ห้ามนางไม่ให้ไปหลังเขา
แต่นางก็ไม่ได้เดินไปไหนไกล เดินทอดน่องเล่นอย่างเอ้อระเหยอยู่พักหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเห็นกระต่ายตัวหนึ่ง สีเทาอ้วนพี แถมยังน่ารักยิ่ง
กู้เจียวไม่มีอะไรทำจึงไปจับกระต่ายทันที
เห็นกระต่ายตัวอวบอ้วนเพียงนั้น แต่ปฏิกิริยามันไม่ได้เชื่องช้าเลย เผลอครู่เดียวมันก็มุดเข้าไปในพุ่มไม้แล้ว
“นี่ เจ้าหนูน้อย วิ่งไวใช่ย่อยเลยนะ”
กู้เจียวสาวเท้าตามไป วิ่งตามไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง
เดิมทีนางนึกว่าเป็นถ้ำธรรมดา แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย…
อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้กับท่านเหล่าโหวมายังหน้าด่านอรหันต์สิบแปดองค์แล้ว
ตรงหน้าปากถ้ำไม่ต่างจากถ้ำธรรมดาเลย ไม่มีใครเฝ้าปากทางไว้ เพราะด้านในไม่ได้มีของสูงค่ามีราคาอะไร มีแค่กลไกที่ทำคนตายได้เท่านั้น
ทหารในค่ายต่างรู้ถึงความร้ายกาจของมันดี ยามปกติไม่มีทางมาที่นี่กันอยู่แล้ว
วันนี้ฮ่องเต้จะเสด็จมาจึงได้มีองครักษ์มาเฝ้าไว้คนหนึ่ง
เมื่อครู่นี้องครักษ์ไปเข้าห้องน้ำ พอกลับมาประจำที่ก็พบว่าฮ่องเต้พาลูกน้องสวมหน้ากากมาด้วยคนหนึ่ง
“ข้าโชคดีเสียจริง!” องครักษ์แอบปาดเหงื่อเย็น
องครักษ์ประสานมือคำนับให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้โบกมือบ่งบอกให้เขาถอยไปอีกด้าน
องครักษ์ถอยออกไปอย่างรู้งาน
ฮ่องเต้ตรัสกับท่านเหล่าโหว “ค่ายกลที่ทิ้งไว้ปีนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แค่เพิ่มธนูลับขึ้นมาจำนวนหนึ่ง จึงยากจะผ่านด่านกว่าเดิม”
“เป็นความคิดของแม่ทัพใหญ่เปียวฉีหรือพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเหล่าโหวถาม
“ใช่” ฮ่องเต้ทอดถอนใจ “ตั้งค่ายกลเพิ่มก่อนที่ฉังชิงจะไปตะลุยด่านหนึ่งวัน”
วิธีปฏิบัติต่อกู้ฉังชิงเช่นนี้ไม่มีใครอีกแล้ว
ท่านเหล่าโหวไม่ได้เอ่ยคำใด
แต่เป็นฮ่องเต้ที่ตรัสขึ้นแทน “ตอนนั้นฉังชิงได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย…คราที่เตาระเบิดน่ะ เขามาบุกตะลุยค่ายกลทั้งๆ ที่ยังบาดเจ็บ ซ้ำยังฝ่ามาได้ถึงด่านที่สิบสาม หาได้ยากยิ่งจริงๆ เกรงว่าแม้แต่แม่ทัพใหญ่เปียวฉีก็ยังคิดไม่ถึงว่าฉังชิงจะเก่งกาจเพียงนี้”
ท่านเหล่าโหวยังคงไม่ได้เอ่ยคำใด
ต้องฝ่าได้ทั้งสิบแปดด่านจึงจะมีสิทธิปลุกขวัญกำลังใจของทหารตระกูลกู้ขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง
ครืน
จู่ๆ ภายในถ้ำก็มีเสียงกัมปนาถดังขึ้น
ท่านเหล่าโหวกับฮ่องเต้พากันหน้าเปลี่ยนสีทันที
เกิดอะไรขึ้น
เกิดเรื่องขึ้นด้านในรึ
ท่านเหล่าโหวขขมวดคิ้วสีดอกเลาแน่น “มีคนกำลังฝ่าด่าน”
ฮ่องเต้เรียกองครักษ์ให้มาหา “ใครเข้าไปรึ”
องครักษ์ส่ายหน้า “ไม่มีนะพ่ะย่ะค่ะ…ไม่เห็นใคร…”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “เมื่อครู่เจ้าอยู่ตรงนี้ตลอดหรือไม่”
“บ่าวไปห้องน้ำมารอบหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ไม่กล้าปิดบัง “แต่บ่าวกลับมาทันที อีกทั้งในค่ายก็ไม่มีใครมาฝ่าด่านตามอำเภอใจอยู่แล้ว”
ฮ่องเต้เอ่ยด้วยความฉงน “แล้วเสียงดังข้างในนั้นมันหมายความว่าอย่างไร”
ท่านเหล่าโหวเป็นคนตั้งค่ายกลขึ้น แค่เขาฟังเสียงก็สามารถรู้ได้ว่าค่ายกลที่เท่าใดกำลังโดนแตะต้อง
สาม สี่ ห้า หก เจ็ด!
เวลาเพียงแค่นี้เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะมาถึงด่านที่เจ็ดแล้ว
แต่หากมีเพียงแค่นี้คงไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากท่านเหล่าโหวได้อยู่แล้ว
เพียงไม่นาน ค่ายกลที่แปด เก้า สิบก็เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน
รวดเร็วยิ่งนัก
ท่านเหล่าโหวขมวดคิ้ว มีคนฝ่าค่ายกลอยู่จริงๆ รึ หรือว่าค่ายกลมันเคลื่อนไหวเอง
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่มีใครเข้าไปน่ะ” ฮ่องเต้ถาม
“บ่าว…บ่าว…” องครักษ์ยามนี้พลันไม่แน่ใจขึ้นมา
เสียงดังด้านในมาถึงด่านที่สิบสามแล้ว
ท่านเหล่าโหวขมวดคิ้วจนหน้าผากยับย่น หรือว่าจะเป็นฉังชิง
กู้ฉังชิงก็ฝ่ามาถึงด่านที่สิบสามนี่
ทว่าความคิดนี้เพิ่งจะวาบผ่านขึ้น ค่ายกลด่านที่สิบสี่ก็เริ่มเปิดอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดสีหน้าของท่านเหล่าโหวก็ไม่สงบนิ่งอีกต่อไป
เมื่อถึงด่านที่สิบห้า ค่ายกลก็หยุดลง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นึกไม่ถึงว่าท่านเหล่าโหวจะพรูลมหายใจโล่งอกออกมา
ทว่ายังไม่ทันพรูลมจนสุดปอด ด่านที่สิบหก สิบเจ็ด สิบแปดก็เปิดออก รวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง ไม่รอให้เขาได้สติจากความตกตะลึงเลยแม้แต่น้อย ค่ายกลก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม
ค่ายกลมีทางเข้าและออกทางเดียว ต้องผ่านทั้งสิบแปดด่านจึงจะสามารถออกไปได้ มิฉะนั้นก็จำต้องกลับมาทางเดิม
ท่านเหล่าโหวให้องครักษ์อ้อมไปดูที่ทางออกด้านหลัง
องครักษ์ไปกลับรวดเร็วยิ่ง ก่อนจะรายงาน “ไม่เห็นใครเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชะงัก ถามท่านเหล่าโหว “เจ้าสงสัยว่ามีคนบุกด่านไปหรือ”
สิบแปดด่านน่ะนะ
ซ้ำยังภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ด้วย
ท่านเหล่าโหวก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เขาส่ายหน้า “อาจเป็นเพราะเกิดปัญหากับกลไกเข้า อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนไปซ่อม”