สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 223 สามีภรรยา (2)
บทที่ 223 สามีภรรยา (2)
ทางกู้เจียวกลับมาบ้านแล้ว ทางไท่จื่อเฟยที่บรรยายเรื่องหมากรุกที่สำนักบัณฑิตสตรีทั้งวันก็กลับมาถึงวังแล้วเช่นกัน
นางไปตำหนักคุนหนิงเพื่อคำนับเซียวฮองเฮา แล้วทูลเรื่องการบรรยายให้ฟัง
จวงกุ้ยเฟยก็อยู่ที่นี่ด้วย
“ถวายพระพรฮองเฮา ถวายพระพรจวงหมู่เฟย”
หากว่ากันตามจริงแล้ว นางไม่ต้องคำนับให้จวงกุ้ยเฟยขนาดนี้ก็ได้ แต่ประการแรกจวงกุ้ยเฟยเป็นมารดาแท้ๆ ขององค์ชายใหญ่ ตำแหน่งสูงจนชายาสนมธรรมดาไม่อาจเทียมได้ ประการที่สองตระกูลจวงมีอำนาจล้นฟ้า ในวังหลังจวงกุ้ยเฟยเป็นรองแค่เซียวฮองเฮาเท่านั้น
จวงกุ้ยเฟยแย้มยิ้ม
เซียวฮองเฮาถาม “มานั่งสิ ได้ยินว่ารุ่ยอ๋องเฟยกลับมาเมื่อตอนเที่ยง เหตุใดเจ้าจึงกลับมาช้านักล่ะ”
ไท่จื่อเฟยนั่งลงข้างกายเซียวฮองเฮา ก่อนเอ่ยอธิบายเสียงเนิบช้า “นักเรียนเยอะเหลือเกินเพคะ ตอนบ่ายจึงเพิ่มอีกสองคาบ”
มีหรือเซียวฮองเฮาจะไม่รู้ว่าเพิ่มคาบ ที่ถามอีกเช่นนี้ก็เพราะอยากโอ้อวดต่อหน้าจวงกุ้ยเฟยต่างหาก
นางส่งไท่จื่อเฟยไปบรรยายที่สำนักบัณฑิตสตรี จวงกุ้ยเฟยไม่อยากเกียรติยศชื่อเสียงตกเป็นของไท่จื่อเฟย จึงได้เรียกรุ่ยอ๋องเฟยให้ไปบรรยายด้วย
ผลสุดท้ายมีแค่ไม่กี่คนที่ไปเรียนคาบบรรยายของรุ่ยอ๋องเฟย มันน่าอับอายขายขี้หน้านัก
เซียวฮองเฮาจับมือไท่จื่อเฟยมาด้วยความพอใจ ก่อนจะตบหลังมือนางอย่างสนิทสนม “ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าทูตแคว้นเหลียงจะมาถึงแล้ว ฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้พวกเขา ฝ่าบาทรับสั่งให้เจ้าเป็นคนจัดการ”
หากงานเลี้ยงในวังจะมีไท่จื่อเป็นคนรับผิดชอบ เช่นนั้นหน้าที่ต้อนรับทูตส่วนใหญ่ก็จะเป็นของไท่จื่อ
องค์ชายใหญ่กับฝ่าบาทปลอมตัวไปเจียงหนาน ทำให้เซียวฮองเฮาอิจฉามากนัก ยามนี้เรียกได้ว่าพลิกกระดานกลับมาเป็นต่อได้เสียที
เป็นเพราะหลินหลังมีความสามารถ
จวงกุ้ยเฟยกลอกตามองบน ก่อนยิ้มเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “ที่แท้ฝ่าบาทก็รับสั่งให้ไท่จื่อเฟยเป็นคนจัดงานเลี้ยงในวังนี่เอง เช่นนั้นก็คงดียิ่งนัก ทุกคนต่างได้ประจักษ์ความสามารถของไท่จื่อเฟย…ไม่เหมือนหนิงอ๋องเฟยกับรุ่ยอ๋องเฟย ที่เงอะงะ ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง หากไปก็คงเพิ่มภาระให้เสียเปล่า สู้อยู่ในจวนบำรุงครรภ์ดีกว่า”
ไท่จื่อเฟยสีหน้าพลันเปลี่ยนชะงักไป
เซียวฮองเฮากำผ้าเช็ดหน้าแน่น ข่มกลั้นเพลิงโทสะที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก่อนจะเอ่ยกับไท่จื่อเฟยว่า “ที่จวงกุ้ยเฟยมาหาก็เพื่อมาบอกข่าวดีกับข้าว่าหนิงอ๋องเฟยตั้งครรภ์แล้ว”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ดวงใจของเซียวฮองเฮาถูกทิ่มแทงเสียจนแทบทนไม่ไหว
รุ่ยอ๋องเฟยตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหตุใดระยะเวลาแค่สั้นๆ ไม่กี่วันหนิงอ๋องเฟยก็ตั้งครรภ์แล้วเล่า นี่ครรภ์ที่สามของนางแล้วนะ
จวนหนิงอ๋องมีธิดาสองคนแล้ว ไม่ได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท หากครรภ์นี้ของหนิงอ๋องเฟยเป็นผู้ชาย หนิงอ๋องก็ได้ตำแหน่งอันยากสั่นคลอนในใจของฝ่าบาทไป
ฝ่าบาทให้ความรักเหลือคณาต่อโอรสคนโตผู้นี้ ปีนั้นตอนที่จวงกุ้ยเฟยคลอดองค์ชายใหญ่ยังเป็นองค์ชายตัวน้อยๆ อยู่เลย ช่วงเวลาหลายปีนั้นไท่จื่อถูกถอดถอนและตระกูลหลิ่วมีอำนาจแข็งแกร่ง ข่มพวกองค์ชายเหล่านี้ที่อยู่คนละฝั่งกับเขาเสียจนหายใจไม่ออก
จวนของฝ่าบาทแม้แต่แม่นมสักคนยังไม่มี องค์ชายใหญ่จึงไม่ได้กินนม ฝ่าบาทเป็นคนไปรีดนมแพะให้เขากินเอง
ฝ่าบาทตั้งอกตั้งใจเลี้ยงลูกชายคนนี้มา เพราะฉะนั้นต่อให้จะไม่ลงรอยกันกับตระกูลจวง และเย็นชากับจวงกุ้ยเฟย แต่ก็ไม่ได้เย็นชาต่อองค์ชายใหญ่เลยแม้แต่น้อย
จู่ๆ เซียวฮองเฮาก็เสียใจที่ให้ไท่จื่อเฟยทำงานมากมายเพียงนี้เสียแล้ว หน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดของนางคือควรรีบมีโอรสสิถึงจะถูก
หลังจากจวงกุ้ยเฟยกลับไป เซียวฮองเฮาก็กำชับกับไท่จื่อเฟยอย่างจริงใจว่าให้นางมีหลานชายคนโตให้แก่ราชวงศ์ ก่อนจะให้น้ำแกงบำรุงแก่ไท่จื่อเฟยไปด้วย
เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้วก็ยังไม่พอ เซียวฮองเฮายังให้คนไปเรียกไท่จื่อมาหา ให้เขาลดงานราชการสำคัญของราชสำนักลง ที่แบ่งเบาไปให้ลูกน้องได้ก็แบ่งไป แล้วหาเวลาว่างมามีหลานชายกับไท่จื่อเฟยเสีย
ไท่จื่อเป็นลูกกตัญญู คืนนั้นก็พักงานราชกิจไว้แล้วกลับตำหนักบูรพาเสียแต่หัววัน
ไท่จื่อเฟยนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ บนโต๊ะมีน้ำแกงสมุนไพรที่ใกล้จะเย็นชืดแล้ว
“หลินหลัง” ไท่จื่อสาวเท้ายาวๆ เข้าไปด้านในราวกับดาวตก
ไท่จื่อเฟยลุกขึ้นหันมาคำนับให้เขา “ฝ่าบาท”
ไท่จื่อเดินไปจับมือนางไว้ แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันนะ ตอนมีแค่เราอย่าได้เรียกข้าเช่นนั้น”
ไท่จื่อเฟยแย้มยิ้ม “เหตุใดฝ่าบาทจึงกลับมาไวเช่นนี้เพคะ งานที่กรมขุนนางจัดการเสร็จสิ้นแล้วหรือ”
ไท่จื่อเอ่ย “เรื่องพวกนั้นไหนเลยจะสำคัญเท่าเจ้า” เขาเอ่ยพลางสังเกตเห็นยาบนโต๊ะ “เป็นยาที่เสด็จแม่ประทานให้เจ้าหรือ เหตุใดเจ้ายังไม่ดื่มเล่า จะเย็นหมดแล้ว”
“เมื่อครู่ร้อนมากนัก” ไท่จื่อเฟยวางหนังสือในมือลง แล้วเอื้อมมือไปยกถ้วยยามา
ไท่จื่อพลันเอ่ยขึ้น “หลินหลัง ในใจเจ้า…ยังไม่ลืมอาเหิงไปใช่หรือไม่”
ไท่จื่อเฟยยิ้มพลางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอ่อนโยน “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ยามนี้ข้าเป็นคนของฝ่าบาทแล้ว ใจข้ามีแต่ฝ่าบาทนะเพคะ”
“เจ้าไม่ต้องคะนึงหาอาเหิงแล้ว อาเหิงให้เจ้าได้เป็นฮองเฮาไม่ได้ แต่ข้าทำได้” ไท่จื่อโอบเอวบางอ่อนนุ่มของนางไว้ “หลินหลัง มีลูกให้ข้านะ”
ดวงจันทร์อับแสง ลมพัดกระหน่ำ แสงเทียนจึงสั่นไหวระริก
ในที่สุดกั๋วจื่อเจียนก็ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว เซียวลิ่วหลังถือไม้เท้ากลับมาที่ตรอกปี้สุ่ย
ประตูเรือนงับไว้แต่ไม่สนิท ในห้องโถงมีตะเกียงเหลือไว้หนึ่งดวง
เซียวลิ่วหลังเดินเข้าเรือนมา ก่อนจะปิดประตูแล้วลงกลอนไว้
เมื่อเข้ามาในห้องโถงแล้วเขาจึงพบว่ากู้เจียวนั่งคอยเขาอยู่ แต่ว่ารอนานไปหน่อยจึงได้หมอบหลับบนโต๊ะไปเสียแล้ว
ศีรษะนางเอียงไปทางซ้าย หนุนแขนของตัวเองไว้ ใบหน้าน้อยถูกกดทับจนแก้มยู่ ปานแดงบนใบหน้าด้านขวาปรากฏวับแวมภายใต้แสงเทียนมืดสลัว
ลมราตรีในเดือนสามเหน็บหนาวนัก
เซียวลิ่วหลังหันหลังไปปิดประตูห้องโถงไว้
เขาเคลื่อนไหวอย่างเบามือเบาเท้า ทว่ากู้เจียวก็ยังตื่นอยู่ดี
นางขยี้ตาลุกขึ้นนั่งอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นเซียวลิ่วหลังก็พลันตื่นเต็มตา ดวงตาคู่นั้นของนางเป็นประกายระยับ “เจ้ากลับมาแล้วหรือ หิวหรือไม่ ข้าจะไปอุ่นข้าวให้”
แววตานางเป็นประกายนัก คล้ายจะแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น
เซียวลิ่วหลังเบนสายตาหนีอย่างแนบเนียนก่อนเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ข้ากินแล้ว” นางหยุดเว้นแล้วเอ่ยเน้นเสียงหนักว่า “กินแล้วจริงๆ”
สายตาของกู้เจียวจึงตกอยู่บนท้องของเขา ท่าทางเล็กๆ ที่จริงจังนั่นคล้ายกำลังตัดสินท้องของเขาว่ามันป่องขึ้นหรือไม่
เซียวลิ่วหลังพลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจอีกหน
โชคดีที่ในที่สุดนางก็เชื่อ มิฉะนั้นหากนางเอ่ย ‘ข้าไม่เชื่อ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะให้ข้าลูบดู’ แล้วละก็ แบบนั้นเซียวลิ่วหลังคงทำอะไรไม่ถูกแน่
กู้เจียวหาวออกมา “เช่นนั้นเจ้าก็นอนแต่หัววันหน่อย พรุ่งนี้ยังต้องไปเรียนอีก”
เซียวลิ่วหลังส่งเสียงอืมแล้วหันหลังเดินไปทางห้องตะวันตก จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันหน้ามาถามนางว่า “ถ้าหาก…ข้าสอบไม่ผ่านล่ะ หากข้าสอบตก หมดอาลัยตายอยาก พ่ายแพ้จนปลุกใจขึ้นมาฮึกเหิมไม่ได้อีก ไม่เอาอ่าวไปตลอดชีวิต…”
“ข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง” นางบอกโดยไม่ลังเล
“เพราะอะไรรึ”
“ก็เจ้าเป็นสามีข้านี่ พวกเราเป็นสามีภรรยากันนะ”
เซียวลิ่วหลังพลันใจอ่อนยวบอีกหน
เหตุใดหญิงผู้นี้จึงได้เอ่ยถ้อยคำชวนใจอ่อนเช่นนี้ออกมาโดยไม่ทันตั้งตัวทุกครั้งเลยนะ
“ซี๊ด…”
จู่ๆ กู้เจียวก็ขมวดคิ้ว แล้วสูดปาก
“เป็นอะไรไปรึ” เซียวลิ่วหลังรีบเดินมาหา จากนั้นก็นึกได้ว่าปฏิกิริยาของตัวเองมันตระหนกนเกินไป จึงกระแอมเบาๆ แล้วปรับสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม
กู้เจียวไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของคนบางคน นางทิ้งแขนที่ไร้ความรู้สึกสองข้างลง ราวกับหุ่นไม้ที่ไร้วิญญาณ “เหน็บชาน่ะ”
เซียวลิ่วหลังลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยกับนาง “จะให้ข้า…”
“อื้อ” กู้เจียวปฏิกิริยาเร็วรี่ “นวดให้หน่อย”
เซียวลิ่วหลังแอบสูดลมหายใจลึก แล้วนั่งลงข้างกู้เจียว
ขาทั้งสองข้างของกู้เจียวชาหนึบ นางจึงหันมาหาเขาทั้งตัว
เซียวลิ่วหลังดึงมือข้างหนึ่งของนาง แล้วนวดให้นางอย่างพิถีพิถัน
การกระทำของเขาแผ่วเบายิ่ง และมีธรรมเนียมมารยาท อย่างมากก็นวดให้ถึงแค่ปลายแขน
“ยังชาอยู่หรือไม่” เซียวลิ่วหลังถาม
“ชาอยู่” กู้เจียวโกหกตาไม่กะพริบ
เซียวลิ่วหลังนวดให้นางอีกพักหนึ่ง กู้เจียวผ่อนคลายเสียจนเกือบหลับ
เซียวลิ่วหลังมองนางพลางสูดลมหายใจลึก แล้ววางแขนนางกลับไปบนขานางเบาๆ “เสร็จแล้ว นี่ก็ดึกแล้ว เจ้ารีบกลับห้องเถอะ”
กู้เจียว “อื้อ”
เซียวลิ่วหลังลุกขึ้นยืน
“ให้ข้านวดให้เจ้าด้วยเอาหรือไม่” กู้เจียวเอียงคอมองเขา “ข้านวดดีนะ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ปวดหัววิงเวียนบ้างหรือไม่ จิตใจอ่อนล้าหรือเปล่า”
สายตาจริงจังของนางราวกับขอแค่เซียวลิ่วหลังบอกว่าไม่ก็จะกลายเป็นคนเลวทันที
เซียวลิ่วหลังนั่งลงอย่างจนใจ
“เจ้าอย่านั่งไกลนักสิ!” กู้เจียวยกเก้าอี้ของตัวเองไปข้างๆ เขา แล้วเริ่มนวดให้เขาเหมือนว่าเคยทำมาก่อน
แรกเริ่มก็รักษาธรรมเนียมดี ทว่านวดไปนวดมาก็เริ่มจะแปลกๆ แล้ว
เซียวลิ่วหลังสีหน้าไม่เข้าใจ เวียนหัวสมองบวม จิตใจอ่อนล้าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับหน้าอกของเขากัน
“ตรงนี้เจ้าเมื่อยหรือไม่”
“ตรงนี้เมื่อยหรือไม่”
“ตรงนี้ล่ะ”
“ตรงนี้ล่ะ”
“ตรงนี้ล่ะ”
เซียวลิ่วหลังเกร็งไปทั้งตัวแล้ว เขาสูดหายใจลึกอีกเฮือก
“ไม่ได้ปวดไหล่”
“ไม่ได้ปวดท้อง”
เคยได้ยินว่านั่งทั้งวันจะปวดเอวปวดไหล่ แต่ไม่เห็นเคยได้ยินว่าจะปวดท้อง
กู้เจียว “อ๋อ”
มือน้อยๆ ของนางเปลี่ยนที่นวดไปเรื่อยๆ
นวดได้มีเรี่ยวมีแรงนัก!
เซียวลิ่วหลังไม่รู้ว่าคืนนี้สะดุ้งไปกี่หนแล้ว เขาหลับตาลงเอ่ย “…ไม่ปวดหลัง”
“ไม่ได้ปวดขาด้วย”
“อะ…เอวก็ไม่ปวด!”
กู้เจียวเลิกคิ้ว “อ๋อ”
เอวสวยเสียจริง ทั้งมีเรี่ยวแรงและไม่มีไขมันเลย
กู้เจียวจุ๊ปาก ก่อนจะชักมือกลับอย่างเสียดาย
มือน่ะดึงกลับมาแล้ว แต่ดวงตายังคงจดจ้องร่างเขาไม่วางตา
เซียวลิ่วหลังมองนางแวบหนึ่ง “เจ้าทำอะไรน่ะ”
กู้เจียวส่ายหน้า “เปล่านี่ ข้าไม่ได้น้ำลายหกนะ!”
เซียวลิ่วหลัง “…”