สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 224 ปู่หลานพานพบ
บทที่ 224 ปู่หลานพานพบ
มัวเลิ่กลั่กอะไรอยู่ได้ โถ โถ โถ
หลังจากที่ถือวิสาสะลวนลามคนตรงหน้าจนหนำใจแล้ว กู้เจียวก็เดินกลับห้องไป ทิ้งเซียวลิ่วหลังที่กำลังตกอยู่ในสภาพว้าวุ่นไว้ที่ห้องโถง…เพียงคนเดียว
ครั้งนี้กู้เจียวนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม
เซียวลิ่วหลังที่มัวแต่พะวงอย่างหาเหตุผลไม่ได้ เอาแต่พลิกตัวไปมาจนรบกวนเสี่ยวจิ้งคง
“นอนดีๆ หน่อยไม่ได้รึ พวกผู้ใหญ่นี่ดื้อแบบนี้กันหมดเลยหรืออย่างไร” เสี่ยวจิ้งคงโพล่งขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
หลังจากที่โดนเด็กน้อยเอ็ดไปหนึ่งครั้ง ถึงคราวเซียวลิ่วหลังจำต้องสงบจิตสงบใจลงเสียที เขาหลับตาลง ก่อนจะเข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน
ฝนฤดูใบไม้ผลิตกพรำทั้งคืนจนถึงช่วงเช้า บนพื้นเต็มไปด้วยความชื้นและน้ำขัง เสี่ยวจิ้งคงเดินไม่ทันระวังจึงพลาดลื่นล้ม
ด้วยความที่มีของติดไม้ติดมือมาด้วย ขณะที่ลื่นล้มเขาเลยไม่ทันได้ป้องกันส่วนต่างๆ ของร่างกายไว้ สุดท้ายเสี่ยวจิ้งคงก็ได้แผลที่บริเวณหัวเข่า
กู้เจียวออกนอกเรือนไปแล้ว
จิ้งคงได้แต่ขมวดคิ้ว เดินมาที่หน้าเรือนแล้วนั่งลงหน้าประตูเรือน พยายามทำให้แผลของเขาเป็นที่สังเกตเห็นให้ได้มากที่สุด
พอกู้เจียวกลับมาจากตลาด เห็นว่าเจ้าตัวเล็กนั่งยืดขาอยู่หน้าประตูเรือน จึงเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้างๆ พลางเอ่ยถาม “เป็นอะไรรึ”
เด็กน้อยที่กลั้นน้ำตาไว้ตั้งแต่เช้าในที่สุดก็ถึงเวลาปลดปล่อยออกมาเสียที ก่อนจะยกมือที่กุมแผลอยู่ออก ทำหน้าตาหน้าสงสาร “เจ็บมากเลย!”
กู้เจียวชำเลืองมองใกล้ๆ แล้วเอ่ยถาม “ล้มอีกแล้วรึ”
“อือ!” เด็กน้อยพยักหน้า
กู้เจียวอุ้มร่างเด็กน้อยเข้าเรือน ก่อนจะหยิบยาฆ่าเชื้อออกมา
“ถ้าเป่าให้ก็คงหายเจ็บเอง” จิ้งคงพยายามพูดอ้อน
กู้เจียวหยิกเบาๆ เข้าที่พวงแก้มเขาหนึ่งที ก่อนจะเป่าแผลให้
อ่า!
สบายจัง!
เสี่ยวจิ้งคงยิ้มร่าอย่างออกหน้าออกตาจนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลม!
และสักพัก เซียวลิ่วหลังก็เดินเข้ามาหา
“ต้องไปเรียนหนังสือแล้วนะ”
น้ำเสียงเย็นชาของเขาราวกับจะพรากร่างของเสี่ยวจิ้งคงออกจากอ้อมอกของกู้เจียว!
เสี่ยวจิ้งคงกระเด้งตัวออกแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาพี่เขยตัวแสบอย่างรวดเร็ว จากนั้นพูดจาโอ้อวดใส่ “กู้เจียวเป่าแผลให้ข้าด้วยล่ะ แบร่ แบร่ แบร่!”
เซียวลิ่วหลังนึกในใจ หึ นางเป่าแผลให้ ส่วนข้าเนี่ยจะหยิกเจ้าให้!
สุดท้ายเซียวลิ่วหลังก็เลือกที่จะไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะหันไปทางกู้เจียว แล้วเอ่ยทักทาย “อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” กู้เจียวยกมุมปากขึ้น
เซียวลิ่วหลังมองดูเจ้าตัวเล็กที่เดินออกจากห้องไปด้วยสายตาเดิมๆ แบบที่เคยเป็น
กู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนตื่นนอนแล้ว หลักจากกินข้าวเช้าเสร็จ พวกเขาก็ออกไปเรียนหนังสือ
ส่วนกู้เจียวไปที่โรงหมอ
พอไปถึงโรงหมอ ก็เห็นว่าเจียงหลีน้อยกำลังย่อตัวให้อาหารเจ้ากระต่ายอยู่
“ท่านพี่กู้!” เจียงหลีพอเห็นกู้เจียวมาถึงแล้ว พลันอุ้มเจ้ากระต่ายน้อยแล้วรีบเดินเข้าไปหา “ข้าทำความสะอาดที่สวนให้แล้ว!”
กู้เจียวพยักหน้า “เป็นเด็กดีจริงๆ ”
เสี่ยวเจียงหลีได้รับการเลี้ยงดูจากโรงหมอมาระยะหนึ่งแล้ว และนางก็ไม่ได้ผอมแห้งอีกต่อไป นางมีใบหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ และเป็นใบหน้าที่งดงามไม่น้อย ว่ากันตามตรง นางดูไม่เหมือนเจียงฉือ คนหนึ่งอาจจะเหมือนพ่อและอีกคนอาจจะเหมือนแม่ก็เป็นได้
“พี่สาวคนนั้นมาเล่นฉินให้ฟังตอนช่วงเช้าด้วยล่ะ!” เจียงหลีเอ่ยพลางชี้ไปทางกำแพงที่สวน
ด้วยความที่เจียงหลีอยู่ที่นี่มานาน นางจึงรู้ว่าข้างๆ โรงหมอคือสำนักบัณฑิตสตรี และมักจะมีพี่สาวมาเล่นฉินทุกวัน บางครั้งก็มาเล่นตอนเช้า บางครั้งก็เป็นตอนบ่าย
กู้เจียวเอ่ยถาม “เจ้าอยากเล่นไหม”
“เอ๋…” เจียงหลีทำหน้าตกใจ “ข้าเล่นได้ด้วยรึ”
กู้เจียวพยักหน้า “ได้สิ มีฉินอยู่ในห้องนี้นะ”
เจียงหลีรีบเข้าไปบรรเลงฉิน…เอ่อ ไม่สิ ต้องเรียนว่าไปดีดฉินเล่นๆ น่าจะเหมาะกว่า!
ทั้งเจียงฉือและเจียงหลีมีชีวิตในวัยเด็กที่ลำบาก พวกเขาจึงติดนิสัยขี้เกรงใจ และชินกับการเอาใจผู้คน
เจียงหลีไม่ใช่เด็กแบบเสี่ยวจิ้งคงที่เล่นของแล้วไม่ยอมเก็บให้เข้าที นางเป็นเด็กเรียบร้อย พอเล่นอะไรเสร็จก็มักจะเก็บให้เข้าที่อย่างดี
กู้เจียวจึงไว้ใจให้นางเล่นอยู่ในห้อง ก่อนจะเดินออกไป
วันนี้เป็นวันตรวจร่างกายของจิ้งไท่เฟย กู้เจียวขึ้นรถม้าของโรงหมอ มุ่งหน้าไปยังสำนักชี
ด้านนอกสำนักชีมีรถม้าจอดอยู่หนึ่งคัน แต่กระนั้น กู้เจียวไม่ได้สนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ครั้งก่อนที่มานางยังพอเห็นแม่ชีอยู่คนสองคน แต่วันนี้กลับไม่เห็นแม่ชีเลยแม้แต่คนเดียว
กู้เจียวเดินตรงไปที่เรือนของจิ้งไท่เฟย
ด้วยความที่ฝนตก พื้นเปียกและมีดินโคลน กู้เจียวจึงย่างเท้าช้าๆ
เมื่อกู้เจียวมาถึงหน้าห้องสวดมนต์ จู่ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างใน
“ท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดี ฝ่าบาททรงเป็นห่วงท่านมาก ทั้งยังบอกว่าอีกไม่นานจะพาท่านกลับไปพำนักที่วัง”
“อย่าเลย ข้าอยู่ที่นี่จนชินแล้ว ข้ามีความสุขดีที่ได้อยู่ที่นี่ ฝ่าบาททรงอย่าได้เป็นกังวลเลย”
“ไท่เฟยก็ทรงพูดเกินไป ฝ่าบาททรงเติบใหญ่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของท่าน สำหรับพระองค์แล้ว ท่านเปรียบเสมือนพระมารดา ใยพระองค์จะไม่ทรงเป็นห่วงท่าน ท่านทนทุกข์มาหลายปีแล้ว ไม่มีวันใดที่ฝ่าบาทจะไม่ทรงรอรับท่านกลับ”
“เจ้าจงกลับไปทูลฝ่าบาทว่าข้าอยู่ที่นี่มีความสุขดี”
พอจิ้งไท่เฟยเอ่ยจบ กู้เจียวก็เคาะประตู
บทสนทนาจบลงอย่างกะทันหัน
จิ้งไท่เฟยเอ่ยถาม “ผู้ใดรึ”
“ข้าเอง” กู้เจียวตอบ
พอจิ้งไท่เฟยได้ยินเสียงของกู้เจียว จึงกล่าวอย่างอบอุ่น “แม่นางกู้เองรึ รีบเข้ามาสิ”
กู้เจียวแง้มบานประตูออก เดินเข้าไปด้านใน
ผู้คนในห้องต่างจ้องไปทางนาง ก่อนจะอุทาน “หมอ…”
หมอเทวดางั้นรึ
“เอ๋ ท่านเองรึ” กู้เจียวหันไปทางเว่ยกงกง
เว่ยกงกงเคยไปเยือนที่โรงหมอพร้อมกับฮ่องเต้ ซึ่งก็คือครั้งนั้นที่ฮ่องเต้ถูกเสี่ยวจิ้งคงกลั่นแกล้ง
กู้เจียวไม่รู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายคือฮ่องเต้ รู้แค่ว่าเขาเป็นพ่อของฉินฉู่อวี้ ให้ความรู้สึกแค่ว่าเป็นขุนนางใหญ่ในวัง
ส่วนเว่ยกงกง เขาแต่งกายเหมือนผู้ดูแลทั่วๆ ไป กู้เจียวจึงมองว่าเขาเป็นบ่าวของฉู่อวี้
ดูเหมือนว่า กู้เจียวจะคิดผิดเสียแล้ว
“พวกเจ้า…รู้จักกันรึ” จิ้งไท่เฟยมองพวกเขาสองคนอย่างงุนงง
เว่ยกงกงทำท่าตกใจประหนึ่งว่าเจอผีหลอก เอ๋ หมอเทวดามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร แล้วบทสนทนาเมื่อครู่นี้ นางคงไม่ได้ยินหรอกใช่ไหม นางคงไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้วหรอกใช่ไหม
หากนางรู้ว่าเขาคือกงกง ผู้ติดตามของฝ่าบาท เช่นนั้น ตัวตนของฝ่าบาทก็จะต้องถูกเปิดเผยด้วยสินะ
ทันใดนั้น เว่ยกงกงนึกครึ้มอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงรีบหันไปหาจิ้งไท่เฟย “ฝ่าบาทเคยมอบหมายให้กระหม่อมและนายใหญ่ฉู่ไปเยี่ยมคนป่วยที่โรงหมอ แม่นางผู้นี้คือหมอที่โรงหมอแห่งนั้น พวกเราสองคนเคยพบกันขอรับ”
“นาย…นายใหญ่ฉู่รึ” จิ้งไท่เฟยไม่เคยได้ยินชื่อคนๆ นี้มาก่อน
“เป็นขุนนางที่ฝ่าบาทแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ขอรับ” เว่ยกงกงยังคงเฉไฉจนหมดสิ้นหนทางแล้ว จึงรีบตัดบทแล้วหันไปทางกู้เจียว “แม่นางกู้มาที่นี่ได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งไท่เฟยคลี่ยิ้มพลางเอ่ยตอบ “นางคือหมอที่ข้าเคยพูดถึงอย่างไรล่ะ”
เว่ยกงกงถึงกับพูดไม่ออก
ช่างบังเอิญยิ่งนัก ถึงขั้นตามมารักษาจิ้งไท่เฟยเลยหรือนี่
“อะแฮ่ม” เว่ยกงกงกลัวความจะแตก จึงรีบเอ่ยลา “เวลาก็ล่วงเลยมานานมาแล้ว กระหม่อมขอตัวไปรายงายฝ่าบาทก่อน ไว้จะมาเยี่ยมท่านอีก”
แล้วเว่ยกงกงก็รีบเดินออกไป
กู้เจียวมองตามเขาไป ไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะไปที่จิ้งไท่เฟยแล้วลงมือตรวจร่างกาย
กู้เจียวคว้าหูฟังของหมอขึ้นมา
ครั้งก่อนกู้เจียวเคยใช้กับจิ้งไท่เฟยแล้ว พบว่าบริเวณปอดเต็มไปด้วยเสียงจี๊ดๆ แต่ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว
จากนั้นกู้เจียววัดชีพจรให้ ดูเหมือนจะคงที่แล้ว
“รู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ” กู้เจียวถาม
จิ้งไท่เฟยยิ้มตอบ “ข้ากินยาของเจ้าแล้วดีขึ้นเยอะเลย วันที่สองยังพอมีอาการอยู่ แต่พอวันที่สามก็เริ่มดีขึ้น”
กู้เจียวไม่แปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ เพราะยานี้เป็นยาของห้องทดลอง ไม่มียาตัวไหนเทียบชั้นได้ “ท่านพกยาพ่นไว้ใกล้ตัวด้วย พออาการกำเริบก็ใช้”
“ได้เลย” จิ้งไท่เฟยรับคำ ก่อนจะหันไปมองกู้เจียวด้วยความเอ็นดู “อุตส่าห์มาหาข้าถึงที่นี่เชียว”
กู้เจียวเอ่ยตอบ “ข้ารับเงินค่าตรวจจากรุ่ยอ๋องเฟยมาแล้วเพคะ”
จิ้งไท่เฟยทำหน้าตะลึง ก่อนจะเข้าใจความหมายที่เด็กสาวตรงหน้าต้องการจะสื่อ พอเห็นสีหน้าจริงจังของกู้เจียวแล้ว นางถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่
“เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ” จิ้งไท่เฟยหัวเราะอย่างหยุดไม่ได้ ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า “พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แม่นางกู้รีบกลับหรือไม่ หากยัง ข้าอยากจะขอให้เจ้าออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าเสียหน่อย ที่ผ่านมาข้าป่วยแทบไม่ได้ออกไปไหน อุดอู้ยิ่งนัก”
“ได้เลยเพคะ” กู้เจียวไม่รีบกลับอยู่แล้ว
จิ้งไท่เฟยสวมชุดคลุม จากนั้นเดินออกไปพร้อมกับกู้เจียว
สำนักแม่ชีไม่ได้มีพื้นที่เยอะนัก เดินไม่กี่ก้าวก็เป็นอันพ้นแล้ว จิ้งไท่เฟยพากู้เจียวเดินออกจากสำนักชี
หน้าสำนักชีมีเส้นทางหินอ่อน ซึ่งเป็นทางที่สะดวกแก่การเดิน แม้แต่กู้เจียวเองก็เพิ่งจะสังเกตเห็น
จิ้งไท่เฟยย่างเท้าช้าๆ พลางเชยชมทิวทัศน์ทั้งสี่ทิศ “แม่นางกู้คิดว่าทิวทัศน์ที่นี่เป็นเช่นไรบ้าง”
“ก็ดีเพคะ” กู้เจียวไม่ใช่คนที่ชอบมองภูเขาแม่น้ำลำธารอยู่แล้ว
พอได้ยินคำตอบ จิ้งไท่เฟยถึงกับหลุดหัวเราะ “ข้าว่ามันสวยนะ ดีกว่าอยู่ในวังเสียอีก มีแต่เด็กสาวต่อแถวกันอยากเข้าวังกันใจจะขาด แต่พอได้เข้าไปเท่านั้น ก็หมดเวลาไปอีกครึ่งชีวิตกับการคาดหวังให้ตัวเองหลุดออกจากที่นั่น”
กู้เจียวรู้สึกได้ว่าจิ้งไท่เฟยกำลังอธิบายเรื่องบทสนทนาของนางกับเว่ยกงกงก่อนหน้านี้
ด้วยความที่กู้เจียวไม่ใช่คนพูดเยอะ
ไม่ว่าจิ้งไท่เฟยจะเล่าแบบไหน อย่างไรเสีย กู้เจียวไม่มีทางแพร่งพรายออกไปแน่นอน
กระนั้น บทสนทนาของพวกเขาทำให้กู้เจียวได้รู้ว่า จิ้งไท่เฟยมาพำนักอยู่ที่สำนักชีโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างน้อยก็ในมุมมองของฝ่าบาท ฝ่าบาทจึงคิดอยากจะพาจิ้งไท่เฟยกลับวังโดยตลอด แต่ด้วยความที่อุปสรรคบางอย่างเลยทำให้ทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว
ขณะที่กู้เจียวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง จิ้งไท่เฟยกลับหยุดฝีก้าวลง
แม้จะไม่ได้หันไปมองตรงๆ แต่กู้เจียวก็สัมผัสได้ว่าคนข้างๆ ยืนตัวแข็งทื่อ จึงรีบหันไปทางจิ้งไท่เฟย ก่อนจะมองตามสายตาของจิ้งไท่เฟย
ตรงเส้นทางเบื้องหน้า ปรากฏชายชราสวมชุดผ้าดิบรูปร่างกำยำยืนอยู่ตรงนั้น
ด้วยความที่ชาติก่อนกู้เจียวเคยอยู่ในองค์กร มองปราดเดียวก็รู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้มาดีแน่นอน
คนคนนี้เคย…ฆ่าคนมาก่อน
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตอย่างรุนแรงจากชายชราผู้นี้
ชายชราพอเห็นพวกนาง เขาเองก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน
เอ๋ รู้จักกันรึ
สายตาชายชราเต็มไปด้วยความสับสน ก่อนจะเดินเข้ามาทางนี้ แล้วยกมือถวายบังคมให้จิ้งไท่เฟย “จิ้งไท่เฟยขอรับ”
จิ้งไท่เฟยกำผ้าในมือแน่น แต่น้ำเสียงมิได้ผิดแปลกจากเดิมอย่างใด “ท่านเหล่าโหวมิต้องเกรงใจหรอก”
พอได้ยินคำว่าท่านเหล่าโหว กู้เจียวก็รีบละความสนใจไปโดยปริยาย พลางคิด ใครใช้ให้เมืองหลวงแห่งนี้มีท่านเหล่าโหวตั้งมากมายกันล่ะ
ท่านเหล่าโหวก็ดูเหมือนจะไม่สนใจกู้เจียวแต่อย่างใด แค่มองว่าเป็นเด็กรับใช้ของจิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยเอ่ยถาม “ท่านโหวเหย่มาไหว้พระหรือ”
ท่านเหล่าโหวทำหน้าครุ่นคิดพลางก้มหน้าลง “วันก่อนมีเหตุเกิดขึ้นที่สะพานแขวน ช่วงนี้เพิ่งจะซ่อมเสร็จ ข้าเลยถือโอกาสมาดูหน่อยขอรับ”
เดิมสะพานแขวนแห่งนี้คนที่รับผิดชอบคือท่านโหวกู้ แต่ด้วยความที่ตอนนี้เขาเจ็บหนักจากการถูกท่านเหล่าโหวสั่งสอนจนน่วม ท่านเหล่าโหวก็เลยต้องมาทำหน้าที่แทนเขา
แม้จิ้งไท่เฟยจะพยายามทำตัวเข้มแข็งอย่างไร แต่แม้แต่คนตรงหน้าเองก็สัมผัสได้ว่าจิ้งไท่เฟยหายใจหายคอยังไม่คล่องดีนัก “เช่นนั้น เจ้าไปธุระต่อเถิด”
โหวเหย่เฒ่าถวายบังคมอีกครั้ง “รักษาสุขภาพด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” จิ้งไท่เฟยเอ่ยตอบรับ
จากนั้นท่านเหล่าโหวก็เดินออกไป
จิ้งไท่เฟยมองตามเขาไปด้วยสายตาผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางกู้เจียว แล้วยิ้มให้ “กลับกันเถิด ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว”
หลังจากที่ส่งจิ้งไท่เฟยกลับห้องแล้ว กู้เจียวก็ขึ้นรถม้าไป
วันนี้เสี่ยวซานจื่อเป็นสารถีให้
เสี่ยวซานจื่อเอ่ยถาม “แม่นางกู้ พวกเรากลับโรงหมอเลยหรือไม่”
“อืม” กู้เจียวเอ่ย
“เช่นนั้นประจำที่เลยขอรับ!” เสี่ยวซานจื่อสะบัดบังเหียน “ไปเลย!”
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากสำนักชี ผ่านวัด ผ่านสะพานหิน
ทิวทัศน์ระหว่างทางสวยงามยิ่งนัก ทำให้กู้เจียวนึกถึงชีวิตตอนอยู่ในชนบท
หลังจากที่รถม้าของนางออกตัวไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีรถม้าอีกคันตามมา
ไม่ว่ากู้เจียวจะวิ่งถนนเส้นนั้น เลี้ยวเข้าตรอกไหน รถม้าอีกคันก็จะคอยตามอยู่ตลอด
ตอนแรกพวกเขานึกว่ารถม้าอีกคันจะกลับเข้าเมืองด้วยเช่นกัน แต่พอเสี่ยวซานจื่อจอดรถม้าที่หน้าร้านน้ำชา รถม้าอีกคันก็จอดด้วยเช่นกัน
พอเคลื่อนตัวออกไป ไม่นานก็พบว่ารถม้าปริศนานั้นตามมาอีกแล้ว
แม้แต่เสี่ยวซานจื่อเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง “แม่นางกู้ เหตุใดรถม้าคันนั้นถึงเอาแต่ตามพวกเรามาล่ะ”
อีกนิดเดียวก็จะถึงบริเวณชุมชนแล้ว พอผ่านตรอกแคบนี้ไปก็จะเป็นถนนฉาวอวี้ สุดถนนมีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ พอพ้นอนุสาวรีย์แล้วเลี้ยวต่ออีกที ก็จะเป็นถนนเสวียนอู่เหมิน
“เดี๋ยวจอดตรงหน้าตรอกนั้น” กู้เจียวเอ่ยเสียงแผ่วเบา