สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 225 ซวยแล้วท่าน
บทที่ 225 ซวยแล้วท่าน
“ได้ขอรับ!”
เสี่ยวซานจื่อจอดรถม้าลงตรงหน้าตรอก
ตรอกนี้เงียบสงัด แทบจะไม่มีคนเดินผ่านไปผ่านมา
รถม้าคันนั้นเองก็จอดลงเช่นกัน
เสี่ยวซานจื่อรู้สึกเสียววาบที่สันหลัง ราวกับรู้ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
เขาเอ่ยเรียกกู้เจียวด้วยความผวา “มะ แม่แม่ แม่…แม่ นางกู้…พะ พวกเรา…จอดรถไว้ตรงนี้จะดีหรือ หรือว่า…พวกเรารีบกลับไปที่โรงหมอก่อนจะดีกว่า”
กู้เจียวเอ่ย “ข้าไม่รีบ”
ไม่รีบก็จริง แต่นางขอสะสางเรื่องไม่เป็นเรื่องตรงหน้านี้ก่อน
กู้เจียวปิดหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ลง แล้วลงจากรถม้า
พอเสี่ยวซานจื่อเห็นกู้เจียวพุ่งตัวไปที่รถอีกคันก็เกิดผวา “แม่นางกู้ ท่านคิดจะทำอะไร”
กู้เจียวเอ่ยกับเสี่ยวซานจื่อ “รอข้าที่รถ!”
“…เอ่อ”
พอกู้เจียวเดินเข้าไป ไม่รู้ว่าสารถีรถคันนั้นกลัวนางหรือว่าอะไร จู่ๆ ดันหนีออกไปหน้าตาเฉย
ขณะที่กู้เจียวกำลังจะเข้าไปคว้าคอคนที่อยู่ในรถออกมา จู่ๆ คนในรถก็เปิดประตูออกมาเองแล้วคว้าเข้าที่ข้อมือของนาง
กู้เจียวไม่เคยเจอใครที่ทำเช่นนี้มาก่อน ที่จู่ๆ ก็เสนอตัวออกมาเองเสียอย่างนั้น
“เจ้าเองหรือ”
กู้เจียวประหลาดใจเมื่อได้เห็นชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า
อันจวิ้นอ๋องหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ใช่ ข้าเอง”
เสื้อผ้าของเขาขาวนวลดุจหยก เส้นผมของเขาดำขลับเหมือนผ้าไหม ท่าทางสง่างามโดนเด่น สูงโปร่งราวกับต้นอวี้ลู่ลม
บุรุษรูปงามท่ามกลางปุถุชน ทั่วหล้าหาใดเปรียบ คงหน้าตาประมาณนี้กระมัง
หากพูดเพียงแค่ว่าใบหน้าของเขาสดใสและอ่อนละมุนเพียงใดนั้น คงยังไม่เพียงพอที่จะสาธยายถึงความงามของเขา
แต่กู้เจียวไม่มีเวลามาชื่นชมความงามของใครในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นหากคุณสามีรู้เข้าคงได้มีน้ำโหอย่างแน่นอน
กู้เจียวรีบสะบัดมือเขาทิ้ง ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “สะกดรอยตามข้ามารึ”
อันจวิ้นอ๋องส่ายหัว พลางยิ้ม “ตอนแรกก็มิใช่ ข้าแค่ขึ้นไปไหว้พระบนเขา แล้วบังเอิญเจอกับเจ้าพอดี ก็เลยขอตามเจ้ามาด้วย”
เนี่ยนะที่เรียกว่าตามกลับมาด้วย พูดอย่างกับจะตามนางกลับเรือนยังไงยังงั้น
กู้เจียวหันไปทางสารถีของรถม้าอันจวิ้นอ๋องที่ทำท่าผลุบๆ โผล่ๆ พลางเอ่ย “เจ้าเปลี่ยนทั้งรถ เปลี่ยนทั้งคนขับรถม้า ข้าว่าเจ้ามิได้ไปไหว้พระหรอก”
ปกติแล้วอู่หยางจะอยู่กับอันจวิ้นอ๋องโดยตลอดจนเป็นที่ประจักษ์ แต่พอมาครั้งนี้ อู่หยางกลับไม่ปรากฏกาย นั่นก็แปลว่าเขาไม่อยากให้ใครรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
แต่กับแค่มาไหว้พระ ไฉนต้องปิดบังตัวตนด้วย
นอกเสียจากว่า เขามีเป้าหมายอื่น
อันจวิ้นอ๋องเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถึงกับหลุดหัวเราะ นางจะฉลาดเกิดไปแล้วนะ ไม่เหลือช่องว่างให้เขาได้อธิบายเลย
อันจวิ้นอ๋องเลือกที่จะไม่เล่าเรื่องของตัวเอง เพียงแต่อธิบาย “แต่ข้าไม่ได้จะสะกดรอยตามเจ้าตั้งแต่แรกจริงๆ ข้าแค่พบเจ้าโดยบังเอิญ ข้าสาบาน”
จะมาสาบานเพื่ออะไร
กู้เจียวมองคนตรงหน้าหนึ่งที ก่อนเอ่ย “ข้าไม่ชอบให้ใครมาสะกดรอยตาม เจ้าไปก่อนเลย”
อันจวิ้นอ๋องไม่อยากกระตุกหนวดเสือ จึงรีบขอโทษนาง “เอาละ เอาละ เจ้าอย่าโกรธข้าเลย ข้าไปก่อนก็ได้ ต่อไปข้าจะไม่ทำแล้ว”
พออันจวิ้นอ๋องขึ้นรถม้า สารถีที่เมื่อครู่รีบวิ่งไปซ่อนตัวก็กลับมา แล้วควบม้าออกไป
พอแน่ใจแล้วว่าอันจวิ้นอ๋องไปแล้ว กู้เจียวก็กลับมายังรถของตัวเอง
ขณะที่กู้เจียวกำลังเปิดม่านรถ จู่ๆ บนหัวก็มีมีดลอยลงมา กู้เจียวรีบผลักร่างเสี่ยวซานจื่อออกไปจนกระแทกกับรถม้า!
มีดเล่มนั้นปักเข้าไปที่บริเวณที่นั่งด้านนอกอย่างจัง
ขณะที่เสี่ยวซานจื่อก้นจ้ำเบาร้องโอยด้วยความเจ็บปวด ครั้นจะหันไปถามแม่นางกู้ว่าทำไมต้องทำเขาเช่นนั้น ก็เหลือไปเห็นมีดที่ปักอยู่ตรงเบาะนั่งพอดี “มีคน มีคนจะ ละ ลอบสังหารรึ”
กู้เจียวแหงนหน้ามองบริเวณหลังคา
นางเดินออกจากตรอก เลี้ยวซ้าย แล้วเดินเข้าไปในร้านแรกที่ตั้งอยู่หน้าตรอก เป็นร้านขายแป้งร่ำ บริเวณชั้นหนึ่งเป็นชั้นวางแป้งร่ำระดับทั่วไป มีผู้คนมากมายเข้ามาซื้อ ส่วนชั้นสองเป็นห้องรับรองแขกพิเศษ แทบไม่ค่อยมีคน
กู้เจียวรีบขึ้นไปยังชั้นสองทันที จากนั้นพุ่งตัวไปที่ห้องที่ปลายสุดของทางเดินด้านขวา พังประตูเข้าไปโดยไม่พูดอะไร คว้าผู้หญิงคนเดียวในนั้นแล้วโยนนางออกไปนอกหน้าต่าง!
“กรี๊ด”
หญิงผู้นั้นกรีดร้อง ก่อนจะล้มลงไปข้างๆ รถม้า
เสี่ยวซานจื่อตกใจสุดขีด เดินถอยกรูออกไปหลายก้าว
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าต่างที่เปิดอยู่ “แม่นางกู้”
จากนั้นกู้เจียวกระโดดตามลงมา แล้วเหยียบเข้าไปที่ข้อมือของสตรีคนนั้นอย่างไม่รอช้า
และแล้วก็มีกริชหล่นออกมาจากในแขนเสื้อของสตรีคนนั้น
กู้เจียวเหยียบเข้าไปที่ข้อแขนของสตรีคนนั้นจนหัก ก่อนจะใช้เท้าอีกข้างเหยียบขึ้นบนหน้าอกของนาง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ใครส่งเจ้ามา”
หญิงคนนี้อายุน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบ ดูเผินๆ อ่อนโยนเรียบร้อย แต่เป็นคนมีวิชา ก็เลยตกลงมาจากชั้นสองได้โดยที่ไม่เป็นอะไร
แต่ตอนนี้น่าจะเป็นแล้วล่ะ
กระดูกมือซ้ายของนางหัก และซี่โครงของนางก็มีแนวโน้มที่จะหักเช่นกัน
กู้เจียวมองดูคนตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดหยาม “ความอดทนของข้ามีจำกัด ถ้าไม่อยากตายก็รีบบอกข้าเสีย”
หญิงผู้นั้นกัดฟันแน่น
“ก็ดี! จะลองดีใช่ไหม!” กู้เจียวไม่รอช้า หยิบมีดขึ้นมา
นางพร้อมที่จะจบชีวิตสตรีคนนี้อย่างไร้ซึ่งความสงสารและความลังเลใดๆ
หญิงผู้นั้นเริ่มตกใจกลัว ครั้นกำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากอีกด้านของตรอก: “นั่นใคร หยุดนะ!”
เป็นท่านโหวคนนั้นนี่เอง
เขาลงจากรถม้าแล้วหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียวกับหญิงอีกคน ด้วยความที่ตอนที่อยู่สำนักชีเขาไม่ได้สนใจกู้เจียวเลย เขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองเพิ่งจะเจอกับกู้เจียวไปหยกๆ
แน่นอนว่ากู้เจียวรู้ว่าเขาคือใคร
ชายชราที่ทำให้อารมณ์ของจิ้งไท่เฟยปั่นป่วน
“เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ” ท่านเหล่าโหวขึ้นเสียง “เป็นสาวเป็นนาง มารังแกผู้หญิงด้วยกันได้อย่างไร”
“ไม่ใช่นะขอรับ…” เสี่ยวซานจื่อรีบเด้งตัวแก้ต่างให้ “นางต่างหากที่มาหาเรื่องพวกเราก่อน!”
“นางหาเรื่องอันใดล่ะ” ท่านเหล่าโหวหันไปมองด้วยสายตาเย็นเยือก
เสี่ยวซานจื่อเป็นแค่บ่าวตัวเล็กๆ มีหรือจะรับมือความแรงกดดันเช่นนี้ได้ เขาจึงเงียบเสียงลง
พอสตรีคนนั้นเห็นว่าได้โอกาส ก็รีบร้องขอความช่วยเหลือ “นายท่านผู้นี้ ช่วยข้าด้วย! ได้โปรด ช่วยข้าที! ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย จู่ๆ แม่นางผู้นี้ก็พุ่งตัวเข้ามาทำร้ายข้า…ข้ายังไม่รู้เลยว่าข้าไปทำอะไรให้นางเจ็บช้ำน้ำใจ…”
“เจ้า เจ้า เจ้า… เจ้าถือมีด… แล้วเขวี้ยงมันลงมา… จนพวกเรา… เกือบถูกมีดนั้น… ปักเขาที่หัวกบาล…” เสี่ยวซานจื่อพยายามรวบรวมความกล้าของตัวเอง แม้จะพูดตะกุกตะกัก “ถ้า…ถ้า… ถ้าไม่เชื่อ…ก็ดูสิ”
เสี่ยวซานจื่อชี้นิ้วไปทางเบาะนั่งรถม้าด้านนอกที่มีมีดปักอยู่
ขนาดเบาะนั่งยังทะลุลงไปตั้งเกือบนิ้ว ลองคิดดูถ้าหากเป็นหัวคนละก็ รับรองได้มีหัวแบะอย่างแน่นอน
แววตาท่านเหล่าโหวเริ่มนิ่งลง
หญิงผู้นั้นยังคงอ้างต่อ “ข้าไม่ได้ทำนะ! ข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย! นายท่านผู้นี้ ได้โปรดเชื่อข้าด้วยเถิด!”
“เป็นฝีมือเจ้าหรือไม่นั้น ทางการจะเป็นผู้ตรวจสอบเอง” ท่านเหล่าโหวหันไปทางกู้เจียว “ต่อให้เจ้าสงสัยนาง ก็ไม่ควรจะทำแบบนี้ ให้ทางการเป็นคนจัดการสิ”
กู้เจียวรู้สึกรำคาญสุดๆ อีกทั้งไม่สนใจคำพูดของท่านเหล่าโหว แล้วหันไปถามสตรีคนนั้นต่อ “ข้าจะให้โอกาสเจ้าพูดอีกครั้ง จะพูดหรือไม่พูด”
“ข้าไม่…”
ฉึบ!
มีดของกู้เจียวบินเฉือนเข้าไปยังพวงแก้มและตัดเส้นผมของสตรีคนนั้นขาดวิ่น
หญิงผู้นั้นเริ่มเหงื่อตก
ท่านเหล่าโหวเริ่มเดือด มันจะมากไปแล้วนะแม่นางคนนี้
เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งเก้า
กู้เจียวเอ่ยเตือนเขาเบาๆ “ตาแก่ ถอยออกไปจะดีกว่า”
ตา ตาแก่อย่างนั้นรึ
ท่านเหล่าโหวรู้ว่าตัวเองอายุเยอะแล้ว แต่เขายังไม่แก่เสียหน่อย บังอาจดูถูกเขารึ!
กู้เจียวรำคาญที่เขามาจุ้นจ้าน ถ้าไม่มีเขา ป่านนี้คงเค้นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ออกมาได้ตั้งนานแล้ว ส่วนเรื่องส่งให้ทางการนั้น คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ ทางการไม่มีทางจับได้อยู่หมัดหรอก
เกรงว่ายังไม่ทันได้สอบปากคำก็คงหนีไปไหนต่อไหนแล้วเสียก่อนน่ะสิ
กู้เจียวเห็นว่าเขาอายุเยอะแล้ว จึงไม่อยากทำร้ายเขา แต่คราวนี้ดูเหมือนเขาเตรียมจะเข้ามาขัดขวางกู้เจียวแล้วจริงๆ
“ดึงตัวนางออกมาเดี๋ยวนี้!”
สิ้นคำสั่งของท่านเหล่าโหว ก็มีทหารนายหนึ่งพุ่งตัวเข้ามา กู้เจียวยกเท้าขึ้นแล้วเตะกริชที่อยู่บนพื้นพุ่งไปทางทหารคนนั้นจนกระแทกเข้าไปที่ทรวงอกของทหารจนเซล้มลงไป
ท่านเหล่าโหวไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง ความโมโหเริ่มปะทุเดือดกว่าเดิม ก่อนจะคว้าแส้ขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ร่างของกู้เจียว!
กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงรีบคว้าร่างสตรีขึ้นมาบังให้
เพี้ยะ!
แส้นั้นกระทบเข้าที่ร่างของสตรี
“โอ๊ย”
หญิงผู้นั้นกรีดร้องด้วยความปวดร้าว!
ท่านเหล่าโหวโกรธจนควันออกหู พอเล็งได้ที่แล้ว ก็เขวี้ยงแส้ออกไปอีกครั้ง
เพี้ยะ!
แส้นั้นกระทบเข้าที่ร่างของหญิงสาวอีกครั้ง
หญิงสาวโมโห พลางนึกในใจ ตาแก่นี่ เล็งให้มันแม่นๆ หน่อยไม่ได้หรือยังไง!
ไม่ใช่ว่าท่านเหล่าโหวเล็งไม่ถูก แต่เป็นเพราะกู้เจียวเร็วกว่าต่างหาก
ท่านเหล่าโหวจึงคว้าร่างของสตรีออกจากกู้เจียวแทน
แล้วดึงร่างของนางมาไว้ด้านหลัง ก่อนจะเล็งและเขวี้ยงแส้ไปที่กู้เจียวอย่างไม่ปราณี
กู้เจียวหลบได้ทัน ก่อนจะหันไปเกาะที่ริมกำแพง
แส้ที่พุ่งออกไปครั้งนี้ ดูเหมือนจะกระทบเข้ากับร่างของใครบางคนเข้าให้แล้ว
วินาทีที่กู้เจียวหลบแส้นั้น จู่ๆ ก็มีร่างของบุรุษสวมชุดราคาแพงเดินออกมาจากตรอก
ท่านเหล่าโหวครั้นจะดึงแส้กลับมาก็มิทันเสียแล้ว
บุรุษอาภรณ์หรูหรานั้นมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเซวียนผิงโหวผู้เลื่องชื่อนั่นเอง
เซวียนผิงโหวพอเห็นดังนั้นก็อุทาน “ให้ตายสิ!”
ใครจะไปรู้ละว่าพอเดินออกมาจากตรอกแล้วจะเจอกับแส้เข้าให้ เขาจึงรีบหลบในทันใด!
และลืมไปว่ายังมีฮ่องเต้ที่เดินมากับเขาด้วย
ซึ่งฮ่องเต้ ไม่ใช่คนที่เก่งวิทยายุทธ์เท่าใดนัก
ใครจะไปคาดคิดละว่าเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เซวียนผิงโหวกลับไม่คุ้มกันเขา
เป็นขุนนางประสาอะไรกัน ทำงานกันอย่างไรกัน!!!
และแล้ว ในที่สุด แส้เส้นนั้นก็ฟาดเข้ากับหน้าผากของฮ่องเต้เข้าอย่างจัง!